WordPress Theme คือหมู่ของ template และ stylesheet ต่างๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ หรือพูดง่ายๆ มันคือสิ่งที่กำหนดรูปร่างหน้าตาของเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง ทุกเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นจาก WordPress จะต้องมี theme เป็นของตนเองเมื่อมีผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาและเธอก็จะต้องใช้งานและอ่าน content ผ่าน theme ที่คุณเลือกใช้
ด้วยเหตุนี้ WordPress theme ที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าคุณสงสัยว่าจะเลือก theme อย่างไร สามารถอ่านได้ที่นี่
แต่สำหรับโพสนี้ เราจะมาดูกันว่า ถ้าคุณอยากจะซื้อ WordPress Theme ดีๆ มาใช้กับเว็บไซต์ของคุณจะซื้อที่แพลตฟอร์มไหนดีครับ เราไปดูกันเลยดีกว่า
1. Themeforest
Themeforest เป็นเจ้าตลาดในวงการขาย WordPress theme ก็ว่าได้ เพราะบนแพลตฟอร์มมี WordPress theme และ template ต่างๆ มากถึง 50,000 แบบด้วยกัน ด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ทำให้คุณสามารถหา theme ที่ตรงใจสำหรับเว็บไซต์ของคุณอย่างแน่นอน
ผมเองก็เคยซื้อ WordPress theme จากเว็บไซต์นี้มาแล้ว วิธีการลง theme เรียกได้ว่าง่ายถึงง่ายมาก โดยมีวิธีให้เลือกลงถึง 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่
- ใช้ Envato Market Plugin ของ WordPress (ง่ายที่สุดแล้ว แค่ลง Plugin ใส่ code ที่ซื้อมา หลังจากนั้นทุกอย่างจะทำของมันเองครับ รวมไปถึงการ update ด้วย)
- ดาวน์โหลดไฟล์แล้วไป Add theme ใส่ WordPress เอง (ยุ่งยากนิดหน่อย แต่ถ้า theme ที่คุณซื้อมีระบบ Autoupdate คุณจะทำขั้นตอนนี้แค่ครั้งเดียว แต่ถ้าไม่มีใช้วิธีแรกจะง่ายกว่าครับ)
- Install theme ผ่าน FTP/SFTP – วิธีนี้ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ไม่รู้เรื่อง FTP/SFTP เลย
สามารถอ่านวิธีการ Install อย่างละเอียดได้ที่นี่ครับ
สิ่งที่คุณควรคำนึงอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ใช่ว่า WordPress Theme ทุกแบบที่ขายใน Themeforest จะมีคุณภาพสูงเสมอไป Theme ที่มีคุณภาพต่ำที่เขียน code ออกมาได้แย่ก็มีเช่นเดียวกัน
ดังนั้นผมจึงใช้วิธีต่อไปนี้ในการเลือก WordPress theme จาก Themeforest ครับ หรือจริงๆ ใช้ได้กับทุกเว็บไซต์ที่ขาย theme เป็นจำนวนมากอื่นๆด้วย อย่างเช่น MOJO Marketplace
- Search รูปแบบ theme ที่คุณอยากได้ใน Google โดยเน้นไปที่รูปแบบของเว็บไซต์ของคุณ เช่นลองหาคำว่า “best WordPress theme for news/food blog/e-commerce website” เป็นต้น
- จากการ search จะพบว่ามี blog มากมายที่ให้ข้อมูลดังกล่าวอยู่ ผมจะไล่ดู theme ที่เค้าแนะนำทีละแบบเลยครับ และอ่านว่าทำไมถึงดี
- หลังจากอ่านเสร็จแล้ว ผมจะลองเข้าไปในเว็บไซต์ของแต่ละ theme เพื่อดูว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ยังมีการ update ให้เรื่อยๆ รึเปล่า (คุณไม่ควรใช้ theme ที่ developer ไม่ update แล้ว เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการโดน hack หรือ malware ครับ)
- ลองใช้ Demo (ถ้ามี)
- เปรียบเทียบ theme ต่างๆ ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร และอันไหนตรงใจเรามากที่สุด
- ไปอ่านรีวิวใน Themeforest หรือแพลตฟอร์มที่วางขายอื่นๆ ว่าผู้ใช้จริงรีวิวว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ theme ที่คุณซื้อควรจะได้คะแนน 4.5/5.0 ขึ้นไป และมีคนรีวิวหลายร้อยคนขึ้นไปครับ
- ถ้าทุกอย่างโอเคแล้วถึงจะกดซื้อครับ
สำหรับลูกค้าของ Themeforest หลังจากที่คุณซื้อแล้ว theme ของคุณจะเข้ามาอยู่ใน account ให้คุณใช้งานครับ ซึ่งในไฟล์จะมีทั้ง License, Purchase code และไฟล์ของ theme ที่คุณสามารถดาวน์โหลดเพื่อไปอัพโหลดลงใน WordPress อีกทีหนึ่ง
สิ่งที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือ หลังจากที่คุณซื้อ theme แล้วเรียบร้อย คุณจะได้ support จาก developer เป็นเวลานาน 6 เดือน กล่าวคือคุณจะสามารถขอความช่วยเหลือและสอบถาม developer ได้ แต่ถ้าหมดอายุแล้ว คุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ
ทั้งนี้การที่ไม่ได้รับ support แล้ว ไม่ได้แปลว่าไฟล์ของคุณจะไม่ได้รับการอัพเดตแต่อย่างใด อย่างของผมไม่ได้รับการ support มาเป็นปีแล้ว แต่ถ้ามี update ผมยังได้รับตรงเวลาตามปกติครับ
สำหรับใครที่ไม่พอใจ theme ที่คุณซื้อไป หรือว่าซื้อไปแล้วลงไม่ได้ คุณสามารถขอคืนเงินได้ครับ ผมเองก็เคยขอมาแล้ว ตอนนั้นผมใจร้อนไปหน่อย พอซื้อมาแล้วผมโง่เองลงแบบ manual ไม่ได้ เลยรีบขอคืนเงิน เมื่อส่งคำขอไปเท่านั้นแหละเลยพบทางสว่าง แต่ช้าไปแล้ว เค้าคืนเงินมาให้แล้ว ผมเลยต้องเอาเงินที่คืนมานั่นแหละไปซื้อ theme เดิม 555
ทั้งนี้คุณขอคืนเงินได้ที่ Request a Refund โดยกรณีต่อไปนี้เป็นกรณีที่คุณสามารถขอ refund ได้
- WordPress theme ที่คุณซื้อไปไม่ได้ทำงานเหมือนกับที่โฆษณา ซื้อไปแล้วลงไม่ได้ก็นับอยู่ในข้อนี้ครับ แต่ถ้าทำงานเหมือนกับที่โฆษณา แต่ห่วยกว่าที่คิดไว้ ในกรณีหลังจะไม่ได้ครับ
- Theme ที่คุณซื้อไปมีช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัย (Security Vulnerabilities)
- ผู้พัฒนาบอกว่าจะให้ support แต่จริงๆ แล้วไม่ให้
- คุณไม่ได้ดาวน์โหลด theme ที่ซื้อไปเลยเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน
เมื่อได้ Refund มา ทาง Themeforest จะถามว่าจะรับเป็น credit ใน account หรือว่าจะโอนเงินกลับเข้าบัญชีของคุณ ในส่วนนี้ก็แล้วแต่คุณเลือกเลยครับ
ข้อเสียของ Themeforest ที่ผมพบคือ การติดต่อและขอความช่วยเหลือจากทั้งตัว themeforest และ developer ค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้อีเมล์หรือโพสลงใน blog เท่านั้น ทำให้ขั้นตอนการแก้ปัญหาอาจใช้เวลาเป็นวัน
จริงๆ แล้วสำหรับเคสผมถือว่าเร็วอยู่นะสำหรับการติดต่อกับบริษัททางอีเมล์ เพราะขอคืนเงินไปวันเดียว เงินก็เข้า account แล้ว แต่ไม่ได้เร็วเท่าแบบ Live Chat เท่านั้นเองครับ
โดยทั่วไปแล้วผมไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยครับ ทำให้ Themeforest เป็นทางเลือกที่ดีในการซื้อ WordPress Theme อย่างมาก ถ้าสนใจไปซื้อกันได้เลยครับที่ Themeforest
2. Mojo Marketplace
Mojo Marketplace เป็นอีกหนึ่งตลาดขาย WordPress Theme ระดับพรีเมียมจำนวนมาก (รวมแล้วน่าจะมีนับพัน) ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีถ้าคุณไม่ชอบ Themeforest ครับ
อย่างไรก็ดีก่อนจะซื้อ WordPress theme ใดๆ ควรจะตรวจสอบให้ดีก่อนครับ (แบบที่ผมใช้กับ Themeforest ก็ได้ครับ) ซึ่งบนเว็บไซต์จะจัดเรียง Theme เป็นหมวดให้คุณเลือกซื้ออยู่แล้วครับ เวลาใช้งานก็ใช้ง่ายดีครับ
3. ซื้อจากผู้ให้บริการ WordPress Theme โดยตรง
ทั้งนี้ผู้พัฒนา WordPress Theme ระดับพรีเมียมหลักๆ อาจจะไม่ได้วางขาย theme ลงในตลาดอย่าง Themeforest หรือ Mojo Marketplace แต่เลือกขายที่เว็บไซต์ของตนเองโดยตรง ดังนั้นถ้าคุณต้องการ theme เหล่านั้น คุณจะต้องไปซื้อที่เว็บไซต์ดังกล่าวครับ
ผู้ให้บริการลักษณะนี้มีมากมาย อาทิเช่น
- Elegant Themes
- Studiopress
- Mythemeshop
- Themeisle
- CSSIgniter
- และอื่นๆ อีกมากมาย
ราคาของแต่ละผู้ให้บริการจะแตกต่างกันออกไป เพราะสามารถเลือกวิธีการคิดเงินด้วยตนเอง ผู้บริการจะใช้ระบบสมาชิกให้คุณจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ หรือว่าซื้อขาดก็ได้ (ต่างจะ themeforest ที่จะใช้ระบบซื้อขาดและแยก customer support เป็นแบบ optional)
ที่แน่ๆ คือถ้าคุณจากผู้ให้บริการโดยตรงคุณจะไม่ต้องเสียค่าอะไรเพิ่มอีกแล้ว เพราะสิ่งที่คุณซื้อไปจะรวมการ support จาก developer ไว้แล้วครับ นอกจากนี้การติดต่อทีม support ยังง่ายกว่าอีกด้วย (บางแห่งน่าจะมี Live Chat) บางเว็บไซต์จึงชอบการซื้อแบบนี้มากกว่า เพราะได้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอเป็นวันเหมือนกับ themeforest ครับ นอกจากนี้คุณภาพของ theme โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะดีกว่าด้วยครับ