คนทั่วไปมักทราบแต่เพียงว่าครอบครัวซาร์ถูกสังหารที่บ้านอิปาติเยฟในวันที่ 16-17 กรกฎาคม ค.ศ.1918 เท่านั้น
แต่จริงๆ แล้วครอบครัวของซาร์นิโคลัสที่ 2 ไม่ใช่ เชื้อพระวงศ์โรมานอฟกลุ่มแรกที่ถูกสังหารโดยพวกบอลเชวิค
แกรนด์ดยุคไมเคิล อเล็กซานดรอวิช หรือ มิคาอิล เป็นเชื้อพระวงศ์คนแรกที่สิ้นชีวิตด้วยเงี้อมมือของพวกบอลเชวิค เขาเป็นน้องชายคนสุดท้องของนิโคลัส และเป็นผู้ที่นิโคลัสมอบบัลลังก์ให้หลังจากสละบัลลังก์
ในโพสนี้ ผมจะเล่าว่าไมเคิลจากไปอย่างไร
ไมเคิลที่เปโตรกราด
สถานการณ์ของไมเคิลแตกต่างออกไปจากนิโคลัส ตัวไมเคิลอาศัยอยู่ที่เมืองกัตชินาใกล้กับกรุงเปโตรกราด หลังจากที่ราชวงศ์โรมานอฟล่มสลาย คีเรนสกี้เองก็ไม่ได้ให้ไมเคิลเดินทางไปยังไซบีเรียเหมือนกับนิโคลัส ไมเคิลมีเสรีภาพในระดับหนึ่ง เขาสามารถไปไหนมาไหนได้ตามที่ปรารถนา ต่างกับนิโคลัสที่ไม่มีเสรีภาพใดหลงเหลืออยู่ เห็นได้จากการที่เขาเดินทางมาเยี่ยมนิโคลัสที่พระราชวังอเล็กซานเดอร์ก่อนที่นิโคลัสและครอบครัวจะเดินทางไปยังทาบอสค์
หลังจากที่เกิดการปฏิวัติตุลาคม ไมเคิลคงมีเสรีภาพอยู่ แต่เขาถูกคุกคามจากพวกเรดการ์ดบางคนที่มักบังคับให้เขามอบไวน์และอาหารต่างๆ ให้ ไมเคิลตัดสินใจเดินทางไปยังออฟฟิศของพวกบอลเชวิคในกรุงเปโตรกราดเพื่อที่จะขอให้รัฐบาลบอลเชวิคสั่งห้ามไม่ให้เรดการ์ดยุ่งกับเขาเสียที
เจ้าหน้าที่บอลเชวิคจึงออกเอกสารที่ยอมรับว่าไมเคิลมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกับประชาชนรัสเซียทั่วไป ดังนั้นใครจะทำอันตรายเขาไม่ได้ หลังจากนั้นการคุกคามของพวกบอลเชวิคนอกระเบียบจึงไม่มีอีก
พวกบอลเชวิคปล่อยให้ไมเคิลมีชีวิตเงียบๆ อยู่สามเดือน เขากับนาตาเลีย (หรือนาตาชา) อาศัยอยู่ที่กัตชินา และเดินเล่นในเมืองอย่างสงบสุข ไมเคิลเป็นที่รักของชาวเมืองในระดับหนึ่ง พวกชาวเมืองจึงช่วยกันตรวจตราคนที่จะมาทำร้ายเขาอยู่เงียบๆ แต่เมื่อไมเคิลทราบ เขากลับปฏิเสธอย่างสุภาพว่าอย่าได้ทำเช่นนี้เลย
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขสำหรับไมเคิล ผู้ที่เดินทางไปแนวหน้าและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาแล้ว สิ่งเดียวที่รบกวนใจเขาคือโรคกระเพาะที่ไม่หายเสียที ไมเคิลมักทนทุกข์ทรมานอยู่กับการปวดท้องอยู่ร่ำไป
ถูกจับกุม
ในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ.1918 ไมเคิลพบว่ามีกลุ่มคนติดอาวุธกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาที่บ้านของเขา อีกไม่กี่นาทีต่อมากลุ่มคนดังกล่าวก็บุกเข้ามาในบ้านของไมเคิล พวกเขาประกาศว่า ไมเคิลและจอห์นสัน เลขานุการของเขาถูกจับกุมแล้ว
ผู้ที่สั่งให้จับกุมไมเคิลคือ อูริตสกี้ (Uritsky) ผู้บังคับบัญชาตำรวจลับ (Cheka) แห่งเปโตรกราด หน่วยเชกานี้เป็นหน่วยที่โหดเหี้ยมที่สุดในบรรดาพวกบอลเชวิค ตัวหน่วยนี้ถูกตั้งมาเพื่อกำจัด “ศัตรูของการปฏิวัติ”
ไมเคิลและจอห์นสันถูกนำตัวไปขังไว้ที่สถาบัน Smolny อดีตสถาบันสอนหญิงในกรุงเปโตรกราด ไมเคิลไม่ได้มีทีท่าเกรงกลัวอะไร เขายอมรับชะตากรรมอย่างกล้าหาญ
สิ่งที่แตกต่างไปจากนิโคลัสอีกอย่างหนึ่งคือ นาตาเลีย ภรรยาของไมเคิลไม่โดนจับพร้อมไมเคิล เพราะว่าเธอเป็นสามัญชน ต่างจากอเล็กซานดราที่เป็นซาริซา
นาตาเลียรีบมาเยี่ยมสามีในที่คุมขังทันที ช่วงที่เธออยู่กับสามี อูริตสกี้ก็ได้เข้ามาหาทั้งสองและบอกว่าเขาจะปรับปรุงอะไรๆ ให้ดีขึ้นกว่านี้ หลังจากนั้นเขาก็จากไป
สำหรับนาตาเลียแล้ว เธอไม่อยากให้สามีอยู่ในคุกอีกแล้ว เธอจึงทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเธอจะทำ เธอพุ่งไปหาเลนินโดยตรง อนึ่งเพราะเธอรู้ว่าออฟฟิศของเลนินก็อยู่ในสถาบัน Smolny นี่เอง แล้วทำไมเธอจะไม่ลองดูเล่า
นาตาเลีย vs เลนิน
นาตาเลียเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าเลนินอยู่ที่ห้องไหน แต่เธอสังเกตว่ามีอยู่ห้องหนึ่งที่มีทหารรักษาการณ์อยู่หน้าประตู เธอมั่นใจในบัดดลว่า วลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำของพวกบอลเชวิคจะต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
เธอพุ่งพรวดเข้าไปทันที เธอเร็วมากถึงขนาดที่ทหารสองคนสกัดเธอไว้ไม่ทัน เธอพบว่าเลนินกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะของเขา เธอจึงขอให้เขาปล่อยไมเคิลสามีของเธอเสีย เลนินได้แต่บอกเธอว่า เขาสัญญาว่าจะพิจารณาเรื่องดังกล่าว แต่ก็ย้ำกับเธอว่าทุกสิ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว
หลังจากนั้นเลนินก็ออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้นาตาเลียยืนอยู่ในห้องแต่เพียงผู้เดียว
เย็นวันนั้นนาตาเลียก็รู้ว่า เลนินจัดการอย่างไรกับไมเคิล
ไมเคิลถูกเนรเทศไปยังเขตอูรัล แต่ไม่ใช่เมืองเยกาเตรินเบิร์กที่นิโคลัสและครอบครัวอยู่ จะเป็นเมืองใดก็ให้อูริตสกี้เป็นผู้ตัดสิน อูริตสกี้ตัดสินว่าให้ไมเคิลไปอยู่ที่เมือง Perm และได้บอกนาตาเลียในเรื่องดังกล่าวด้วย
เมื่อนาตาเลียทราบข่าว เธอตกใจอย่างยิ่งแต่ก็ยังคุมสติไว้ได้ ส่วนไมเคิลที่อยู่ในคุกกลับไม่ตื่นตระหนกใดๆ เขาส่งจดหมายมาปลอบภรรยาของเขาว่าอย่าเป็นกังวล ในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ.1918 ไมเคิลก็ถูกนำตัวขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังเมือง Perm
ไมเคิลที่เมือง Perm
พวกบอลเชวิคที่เปโตรกราดเคยสัญญาไว้ว่าเมื่อไปถึง Perm ไมเคิลจะได้ใช้ชีวิตอิสระ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไมเคิลใช้ชีวิตอิสระได้เพียงสองวันเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวไปขังไว้ในคุก เพราะว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่ทราบว่ารัฐบาลบอลเชวิคจะเอาอย่างไรกับไมเคิล
หลังจากได้รับอนุญาต ไมเคิลส่งโทรเลขไปแจ้งนาตาเลียว่าตอนนี้เขาอยู่ในคุก และเขายังส่งไปหาอูริตสกี้ด้วยว่า อูริตสกี้ควรสั่งให้พวกบอลเชวิคที่ Perm ปล่อยตัวเขาทันที ตามที่อูริตสกี้ได้สัญญาไว้
สำหรับนาตาเลียแล้ว เธอไม่เคยยอมแพ้ นาตาเลียใช้ลูกตื้อเป็นอาวุธ เธอไปกระหน่ำเคาะประตูที่หน้าออฟฟิศของพวก Cheka เพื่อให้พวกเขาปล่อยตัวสามีของเธอ
ด้วยสาเหตุที่ไม่แน่ชัด พวกบอลเชวิคออกคำสั่งให้ปล่อยไมเคิลออกมาจากคุกในที่สุด รวมแล้วไมเคิลถูกขังอยู่นานสามสัปดาห์
ไมเคิลย้ายไปอาศัยอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง Perm ชื่อ Korolev Rooms เขารีบเขียนจดหมายถึงนาตาเลียทันที เพื่อขอบคุณเธอที่ช่วยเขาเสมอมา ไมเคิลรู้สึกว่าเรื่องร้ายๆ น่าจะผ่านพ้นไปแล้ว
พวกบอลเชวิคอนุญาตให้ไมเคิลไปไหนมาไหนได้ในเมืองตราบใดที่เขารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ทุกวัน ไมเคิลจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินเล่น ผู้คนบางคนในเมืองกลัวที่จะยุ่งกับเขาเพราะเกรงว่าพวกบอลเชวิคจะเล่นงาน แต่บางคนที่ใจกล้าหน่อยก็แสดงความเคารพต่อเขาอย่างเปิดเผย
ในปลายเดือนเมษายน นาตาเลียได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมไมเคิลได้ที่ Perm ทั้งสองมีความสุขมาก ไมเคิลและนาตาเลียเดินเล่นและไปดูภาพยนตร์ราวกับว่าเป็นคู่รักทั่วไป บรรยากาศช่างเหมือนฟ้าหลังฝนเสียจริงๆ
ทั้งสองไม่รู้เลยว่า พระเจ้าได้มอบโอกาสครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ร่วมกันไปแล้ว
ลาจากนาตาเลีย
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1917 ได้เกิดความวุ่นวายขึ้น เมื่อเชลยศึกชาวเช็กได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านพวกบอลเชวิค และได้ยึดเมือง Chelyabinsk เมืองสำคัญทางตอนใต้ของ Perm เอาไว้ได้
Perm อยู่ห่างจาก Chelyabinsk ไม่ไกลมากนัก ไมเคิลได้รับการแนะนำจากเพื่อนว่าให้ส่งนาตาเลียกลับเปโตรกราดไปก่อน เพราะว่าถ้าเธออยู่ที่นี่ต่อไป เธออาจจะเกิดอันตรายได้
ไมเคิลตัดสินใจทำตามนั้น เขาส่งนาตาเลียกลับเปโตรกราดโดยทางรถไฟในวันรุ่งขึ้น ไมเคิลยืนอยู่บนชานชาลา และมองดูรถไฟของนาตาชาออกไปจนลับตา นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ไมเคิลและนาตาชาได้พบหน้ากัน
คืนวันนั้น ไมเคิลบรรยายความรู้สึกของเขาลงในไดอารี่
การจากไปของนาตาเลียทำให้ฉันรู้สึกเศร้าและหมดสิ้นทุกอย่างเสียจริงๆ ทุกอย่างมันดูเปลี่ยนแปลงไป แม้กระทั่งห้องหับยังดูเปลี่ยนไปเลย
นาตาเลียที่อยู่บนรถไฟรู้สึกเศร้า แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ เธอตัดสินใจใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ถึงแม้ว่าชายวัยกลางคนที่มีศีรษะล้านผู้นั้นจะย้ายไปอยู่ที่มอสโกแล้วก็ตาม ในครั้งนี้เธอต้องการให้ชายผู้นั้นอนุญาตให้ไมเคิลเดินทางออกนอกประเทศได้
เธอตัดสินใจเดินทางไปหาเลนินที่มอสโก!
นาตาเลีย vs เลนิน V2
เลนินย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่มอสโก เมืองหลวงเก่าแก่ของรัสเซียก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก ออฟฟิศของเขาตั้งอยู่ที่พระราชวังเครมลิน การรักษาการณ์ที่สถานที่ดังกล่าวนับว่าเข้มงวดอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้เป็นผู้นำระดับสูง หรือไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ไม่มีทางที่ผู้ใดจะเข้าถึงตัวเลนินได้เลย
แต่ทว่าคำว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของนาตาเลีย
ไม่มีใครทราบว่าเธอทำได้อย่างไร บ้างว่าเธอใช้ “คำพูด” นำตัวเองเข้ามาถึงหน้าโต๊ะของเลนินอีกครั้งหนึ่ง
เลนินรู้สึกรำคาญไม่น้อยที่นาตาเลียมาโผล่ที่หน้าโต๊ะของเขาอีกครั้ง เขาจึงปฏิเสธคำขอของเธอ นาตาเลียยังไม่ยอมแพ้ เธอจึงไปตื้อสมาชิกระดับสูงของพวกบอลเชวิคคนอื่นๆ อาทิเช่น ทรอตสกี้ และสเวียตลอฟ แต่ก็ไม่เป็นผลอีกเช่นเดียวกัน
นาตาเลียจำต้องยอมแพ้ และเดินทางกลับไปยังเปโตรกราดแต่โดยดี
วันสุดท้าย
สถานการณ์ที่คับขันที่ Perm ทำให้สภาโซเวียตส่งมอบการดูแลความปลอดภัยของไมเคิลให้กับพวกเชกา ไมเคิลจึงต้องเปลี่ยนไปรายงานตัวต่อหน่วยงานนี้แทน
ระหว่างนี้ไมเคิลยังส่งจดหมายและโทรเลขหานาตาเลียอยู่เรื่อยๆ แต่เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่บนเตียง เพราะว่าเขาทุกข์ทรมานอยู่กับโรคกระเพาะที่เขาเป็นอยู่
ภายนอกห้องของเขา สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ลงอย่างช้าๆ
ช่วงต้นเดือนมิถุนายน พวกเชกาได้รับทราบข่าวลือว่ามีองค์กรนิยมกษัตริย์หลายกลุ่มต้องการช่วยเหลือไมเคิลให้พ้นจากเงี้อมมือพวกบอลเชวิค
พวกบอลเชวิครู้ดีว่าจะปล่อยให้ไมเคิลตกไปอยู่ในมือของพวกนิยมกษัตริย์ไม่ได้เป็นอันขาด ไมเคิลอาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่รวมฝ่ายที่ต่อต้านพวกบอลเชวิคให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ถ้าไมเคิลหนีไปได้ รัฐบาลบอลเชวิคอาจจะไม่รอด
นอกจากนี้พวกบอลเชวิคยังกังวลว่ากองทัพเช็กกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอาจจะยึดเมืองได้ในเร็วๆ นี้ มันจึงอันตรายอย่างยิ่งถ้าไมเคิลยังอาศัยอยู่ในเมือง Perm
วิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้คือนำตัวเขาไปที่อื่น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ระหว่างทางไมเคิลอาจจะถูกชิงตัวไปก็ได้ การเคลื่อนย้ายตัวเขามีความเสี่ยงอย่างยิ่งยวด
พวกบอลเชวิคจึงเหลือหนทางเดียว นั่นก็คือพวกเขาจะต้องสังหารไมเคิล แต่ต้องทำอย่างลับที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มิฉะนั้นอาจจะเกิดปัญหาตามมา
สมาชิกระดับสูงของพรรคบอลเชวิคที่ Perm ทุกคนต่างเห็นด้วย เช่นเดียวกับผู้นำระดับสูงของคณะกรรมาธิการแห่งอูรัลที่เยกาเตรินเบิร์ก ดังนั้นพวกเขาจึงสั่งให้พวกเชกาไปดำเนินการ
การเตรียมการสังหารไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครอยากจะลงมือสังหารผู้ที่ประชาชนทั่วไปชื่นชอบอย่างไมเคิล (เขาเคยเป็นฮีโร่ในสงครามมาแล้ว) ดังนั้นมิสนิคอฟ (Мяснико́в) หัวหน้าทีมสังหารจึงต้องเลือกมือสังหารที่เกลียดชังระบอบกษัตริย์มากที่สุด เพื่อทำงานสกปรกงานนี้
เขาได้ชายสี่คนที่พร้อมจะลงมือ ได้แก่ อิวานเชนโก จูชกอฟ มาร์คอฟ และโคลปาชิคอฟ
มิสนิคอฟสั่งให้ทั้งสี่มาประชุมกันในคืนนั้น และสั่งให้ทุกคนอย่าได้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด ทุกคต้องลงมือในคืนวันนั้นทันทีเพื่อป้องกันการรั่วไหลของแผนการ
คืนวันนั้นคือคืนวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ.1918
วาระสุดท้ายของไมเคิล
มิสนิคอฟได้ออกคำสั่งปลอมให้กับชายทั้งสี่นำไปยื่นให้ไมเคิลในคืนนั้น คำสั่งปลอมมีอยู่ว่าเพราะกองทัพเช็กกำลังใกล้เข้ามา ทำให้ไมเคิลต้องออกเดินทางทันที เพื่อความปลอดภัยของไมเคิลเอง
การปลอมแปลงเอกสารใช้เวลานานอยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่งถึงเวลา 23.45 น. ทุกอย่างก็แล้วเสร็จ พวกมือสังหารสี่คนพร้อมแล้วที่จะออกไปสังหารไมเคิล ส่วนตัวมิสนิคอฟไม่ได้เดินทางไปด้วย
ทั้งสี่บุกตรงไปที่ห้องในโรงแรมที่ไมเคิลพักอยู่ จูชคอฟได้ยื่นเอกสารที่ปลอมขึ้นให้กับไมเคิล แต่ไมเคิลกลับปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม เขาบอกทั้งสี่ว่าเขาต้องการพูดคุยกับหัวหน้าของพวกเขาเสียก่อน
ทั้งสี่คนยืนกรานให้ไมเคิลไปกับพวกตน แต่ไมเคิลยังคงปฏิเสธ เขาอ้างว่าป่วย ไม่สามารถเดินทางไปได้ สุดท้ายทั้งสี่จึงใช้กำลังบังคับ ไมเคิลเองก็สุดที่จะขัดขืนต่อไป เขาแต่งตัวให้เรียบร้อยและออกเดินทางไปกับชายทั้งสี่คนนั้น จอห์นสัน เลขานุการและเพื่อนสนิทที่สุดของเขาตัดสินใจติดตามไปด้วย
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ไมเคิลและจอห์นสันมีท่าทีสงบนิ่งและไม่ได้แสดงออกถึงความกลัวใดๆ เมื่อเขาและจอห์นสันเดินมาถึงรถ พวกเชกาทั้งสี่คนจึงผลักไมเคิลขึ้นรถม้าไปอย่างก้าวร้าว ส่วนจอห์นสันขึ้นรถม้าอีกคนหนึ่งตามหลังไป
ระหว่างนั้นเองตัวมิสนิคอฟได้ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เมื่อเห็นไมเคิลขึ้นรถไปแล้ว มิสนิคอฟจึงเดินทางกลับ เพราะคิดว่าทุกอย่างน่าจะจบลงอย่างเรียบร้อย
ภายในรถ ไมเคิลนั่งอย่างเงียบเชียบ แต่ก็สงสัยว่าตัวเขากำลังจะเดินทางไปที่ใด เขาจึงเอ่ยปากถามจูชกอฟ คำตอบที่เขาได้รับคือ เมือง Mogilev เมืองที่ห่างออกไป 1,400 กิโลเมตร และอยู่ทางทิศตะวันตกของ Perm
จูชกอฟให้ข้อมูลภายหลังว่าเขาตอบไปงั้นๆ เอง เพราะอีกไม่กี่นาที ไมเคิลก็ตายแล้ว
รถม้าของไมเคิลออกมาในบริเวณป่านอกเมือง Perm สถานที่ที่ถูกเลือกไว้ล่วงหน้าสำหรับการสังหาร พวกเชกาทั้งสี่จึงสั่งให้ไมเคิลลงจากรถม้า และเดินเข้าไปในป่า ทั้งสี่อ้างว่านี่เป็นทางลัดไปยังทางรถไฟ
ระหว่างที่ไมเคิลกำลังเดินเข้าไปในป่านั่นเอง จูชกอฟก็ยิงไมเคิลด้วยปืนพกบราวนิงของเขา ส่วนมาร์คอฟก็ยิงจอห์นสัน ปรากฏว่าทั้งไมเคิลและจอห์นสันยังไม่เสียชีวิตทันที ระหว่างนั้นไมเคิลกางแขนออกอย่างไม่ทราบสาเหตุ บ้างว่าเขารู้ตัวแล้วว่ากำลังจะตาย เขาจึงพยายามโบกมือลาจอห์นสัน ไมเคิลถูกยิงอีกนัดหนึ่งที่บริเวณศีรษะ เขาล้มลงทันที
เมื่อร่างของไมเคิลล้มลง เขาดึงจอห์นสันลงไปด้วย พวกเชกาเห็นว่าร่างของไมเคิลยังเคลื่อนไหวอยู่ หนึ่งในพวกเชกาทั้งสี่จึงยิงไมเคิลอีกนัดหนึ่งที่บริเวณขมับ เช่นเดียวกับจอห์นสัน ทำให้ทั้งสองสิ้นชีวิตในที่สุด
เวลาที่ทั้งสองจากไปคือ ตี 2 ของวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.1918
ทั้งสี่ได้ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงในการทำลายศพ พวกเขาช่วยกันขุดหลุมขนาดใหญ่และโยนร่างของทั้งสองลงไปในนั้น ก่อนที่จะโยนทั้งสองได้ถอดเสื้อผ้าและริบทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดเสียก่อน ในภายหลังเสื้อผ้าของไมเคิลและจอห์นสันถูกส่งให้มิสนิคอฟเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าไมเคิลสิ้นชีวิตแล้ว ภายหลังมิสนีคอฟได้นำเสื้อผ้าของทั้งสองไปเผาทิ้ง
ไมเคิลจึงเป็นสมาชิกราชวงศ์คนแรกที่ถูกสังหารโดยพวกบอลเชวิค แต่แน่นอนว่าไม่ใช่คนสุดท้าย ครอบครัวของนิโคลัสจะตามไปในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
ผู้ที่น่าสงสารที่สุดคือ นาตาเลีย เธอพยายามให้พวกบอลเชวิคอธิบายการหายตัวไปของสามีเธอ เธอไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นเดิม ก่อนหน้านี้นาตาเลียถูกค่อนขอดว่ามีสามีมาสองคนก่อนไมเคิล แต่ความรักที่เธอมีให้ไมเคิลเป็นความรักที่แท้จริง เธอไม่มีคนอื่นอีกเลย เธอรักเขาจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตเธอ
นาตาเลียหนีออกจากรัสเซียเช่นเดียวกับสมาชิกราชวงศ์คนอื่นที่รอดชีวิต เธอเสียชีวิตในปี ค.ศ.1952 เธอมีอายุได้ 71 ปี
ปัจจุบันรัฐบาลรัสเซียพยายามค้นหาร่างของไมเคิล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ร่างของเขายังคงหลับใหลในป่าใกล้กับเมือง Perm ไปตลอดกาล
Rest In Peace
อ่านตั้งแต่ตอนแรกและติดตามตอนต่อไป ได้ที่ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ
หนังสืออ้างอิงอยู่ ที่นี่