Yosemite National Park หรือ Yosemite (โยเซมิตี) เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา อุทยานแห่งนี้มีโด่งดังในเรื่องธรรมชาติที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นภูเขาหิมะอันสง่างาม น้ำตกอันยิ่งใหญ่ หรือแม้ป่าไม้ที่เต็มไปด้วยต้น Sequoia ต้นไม้ยักษ์ที่มีอายุนับพันปี
สิ่งเหล่านี้ได้ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนจากทั่วทุกสารทิศให้มาเยี่ยมเยือนทุกปีครับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโยเซมิตีเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา
ในโพสนี้เราจะมาดูกันว่าอุทยานแห่งนี้มีจุดหรือไฮไลท์ไหนที่คุณไม่ควรพลาดบ้าง เราไปเริ่มต้นกันเลยดีกว่าครับ
ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติโยเซมิตีอย่างไรดี?
การไปเที่ยวอุทยานโยเซมิตีให้สนุกและครบถ้วนนั้น ผมมองว่าควรจะต้องใช้เวลา 3-4 วันขึ้นไป ดังนั้นจึงยากที่หาบริษัทไทยที่จัดทริปลักษณะนี้ให้กับคุณได้ การไปเดินทางไปเที่ยวเองจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปโยเซมิตีคือช่วงฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) เพราะบางส่วนในอุทยานจะเปิดในช่วงนี้เท่านั้น ช่วงฤดูหนาวเส้นทางจะอันตรายจากหิมะและสภาพอากาศทำให้ไม่สามารถเปิดได้ ดังนั้นถ้าอยากจะชมทุกอย่างในอุทยาน คุณควรจะไปในช่วงฤดูร้อนครับ
อย่างไรก็ดีการเดินทางไปอุทยานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เมษายน-พฤษภาคม) หรือฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-ตุลาคม) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะทั้งสองฤดูนี้อาจจะเป็นช่วงที่อุทยานสวยที่สุดก็ว่าได้
คุณสามารถบินจากประเทศไทยมายังซานฟรานซิสโก (San Francisco) หรือลอสแองเจลิส (Los Angeles) หลังจากนั้นก็เช่ารถและขับมายังอุทยาน หรือว่านั่งรถบัสมาก็ได้ครับ โดยจะใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมงครับ (ถ้ามาจาก LA จะใช้เวลามากกว่าประมาณ 1-2 ชั่วโมง)
ถ้าเปรียบเทียบสองตัวเลือกแล้ว ผมมองว่าการเช่ารถขับน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก เพราะคุณจะต้องใช้รถยนต์สัญจรไปมาในอุทยานอยู่ดี คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอรถบัสในอุทยานและเบียดกับคนเยอะๆ ด้วยครับ
ไม่เพียงเท่านั้นถ้าคุณมีรถส่วนตัว ค่าเข้าอุทยานจะอยู่ที่ $35 ต่อคันต่อสัปดาห์ (ไม่คิดรายหัวเพิ่มแล้ว) แต่ถ้าคุณไม่มีรถ ทางอุทยานจะคิดหัวละ $20 ต่อสัปดาห์ ดังนั้นถ้าคุณไปกับเพื่อนหรือแฟน ค่าเข้าอุทยานแบบไม่มีรถจะแพงกว่ามีรถครับ สรุปคือถ้าคุณไม่ได้ไปคนเดียว ผมมองว่าการเช่ารถคุ้มกว่าแน่นอน
ถ้าคุณสนใจที่ขับรถเที่ยวเอง ผมแนะนำให้คุณใช้เว็บไซต์/แอพ Roadtrippers ครับ เพราะใช้วางแผน Trip ทุกอย่างง่ายมากๆ ชนิดที่ว่าแทบไม่ต้องหาข้อมูลเลยก็ว่าได้ คุณสามารถใช้แพลนทริปยาวๆ ได้อย่างไม่มีสะดุดเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับ Yosemite National Park คุณสามารถหาเพิ่มเติมได้ที่ nps.gov เว็บไซต์ทางการของ National Park Service ของประเทศสหรัฐอเมริกาครับ ข้อมูลละเอียดและมีแผนที่ให้คุณใช้ได้พร้อมเลย
Yosemite Valley
เราจะมาเริ่มต้นกันด้วย สถานที่สวยๆ ใน Yosemite Valley (หุบเขาโยเซมิตี) ซึ่งเป็นหุบเขาที่มีชื่อเสียงและสวยที่สุดในอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี ทั้งนี้ไฮไลท์ของอุทยานเกือบทั้งหมดอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ครับ
1. Tunnel View
Tunnel View เป็นจุดชมวิวใน Yosemite Valley ที่มีชื่อเสียงที่สุด วิวบริเวณนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ Yosemite ที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี ถ้าคุณมาถึงอุทยานแห่งนี้แล้ว คุณจะพลาดที่ไหนก็ได้ แต่จะพลาด Tunnel View ไม่ได้เป็นอันขาดครับ
จากจุดนี้ คุณสามารถเห็นไฮไลท์ของ Yosemite Valley ได้เกือบทั้งหมด ด้านซ้ายของจุดชมวิวคือภูเขาหินขนาดยักษ์นามว่า El Capitan ด้านขวาคือน้ำตกที่สวยงามอย่าง Bridalveil Falls และมองไปไกลๆ คุณจะเห็นขุนเขารูปโดมอย่าง Half Dome ตั้งอยู่พร้อมกับป่าสีเขียวสุดลูกหูลูกตาครับ (แต่ถ้าไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีอย่างเช่นรูปด้านบน)
ด้วยความที่จุดนี้เป็นที่นิยมสุดๆ ถ้าคุณจะไป โปรดทำใจไว้เลยว่าคนเยอะแน่ๆ โดยเฉพาะในช่วงบ่ายที่แสงแดดจะอาบขุนเขาแกรนิตทั้งหมด นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจุดนี้อาจมากถึง 6,000-7,000 คนต่อวันเลยครับ
2. El Capitan
El Capitan เป็นภูเขาแกรนิตที่มีความสูง 910 เมตรและเป็นส่วนหนึ่งของแนวเขา Sierra Nevada อันเกรียงไกร ลักษณะของภูเขาลูกนี้เป็นหน้าผาอันสูงชันจนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งฉากเลยก็ว่าได้
ในอดีตเคยมีความเชื่อว่า ภูเขาหินแห่งนี้อันตรายเกินกว่าที่จะพิชิตมันได้สำเร็จ แต่ในปัจจุบันมีนักปีนเขาจำนวนมากที่พิชิตมันได้แล้ว แถมบางคนยังปราศจากอุปกรณ์เซฟตี้ใดๆ ด้วย ทุกวันนี้ที่นี่จึงเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาหรือนักไต่หินต่างๆ เพราะว่ามันท้าทายความสามารถเหลือเกินครับ
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะกหยุดรถและถ่ายรูปสั้นๆ จากจุดที่เรียกว่า El Capitan Meadow หรือไปนั่งปิกนิกที่ El Capitan Picnic Area ครับ
3. Bridalveil Falls
Bridalveil Falls เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของ Yosemite Valley และมีความสูงถึง 188 เมตร หรือใกล้เคียงกับตึก 60 ชั้นเลยครับ (ประมาณ 2 ใน 3 ของตึกมหานครในกรุงเทพ)
คุณสามารถเดินไปที่น้ำตกได้โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีจากที่จอดรถ เส้นทางเดินไม่ยากเท่าไรยกเว้นช่วงที่ใกล้จะถึงน้ำตกที่ค่อนข้างชัน แต่เมื่อคุณได้สัมผัสกับละอองน้ำที่กระจายมาน้ำตกแล้ว ความเหนื่อยล้าก็จะหายไปเลยครับ
Bridalveil Fall จะสวยงามที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะน้ำของน้ำตกจะมาก เนื่องจากมีหิมะที่ละลายเข้ามาสมทบครับ
4. Half Dome
Half Dome เป็นภูเขาหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ให้มีรูปทรงที่โดดเด่น นั่นคือคล้ายกับโดมนั่นเอง คุณสามารถเห็น Half Dome ได้ไกลๆจาก Tunnel View แต่ถ้าอยากเห็นชัดๆ ต้องไปชมที่ Glacier Point หรือจุดชมวิวอื่นๆครับ
ภูเขาลูกนี้เป็นสวรรค์ของสายปีนเขาเช่นเดียวกับ El Capitan เพราะความชันของมันแทบจะตั้งฉากเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าคุณปีนเขาไม่ไหว แต่ต้องการจะชมภูเขาลูกนี้ให้ใกล้ชิดมากขึ้น คุณสามารถเลือกเดินเทรคกิ้งแทนได้ครับ
5. Yosemite Falls
Yosemite Falls หรือน้ำตกโยเซมิตีเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมีความสูงถึง 739 เมตร (สูงเกือบเท่าตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Burj Khalifa ที่มหานครดูไบ) ทำให้ที่นี่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศเลยครับ โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่เป็นช่วงน้ำมากจากหิมะที่ละลาย
คุณสามารถเดินเข้าไปชมน้ำตกใกล้ๆโดยไม่ยากเย็นอะไร แต่การชมจากจุดชมวิวอย่างเช่นที่ Swing Bridge ก็สวยเช่นกันครับ
6. Glacier Point
ถ้าตัด Tunnel View ออกไปแล้ว Glacier Point คือจุดชมวิวอันดับ 1 ที่คุณพลาดไม่ได้ภายใน Yosemite National Park แห่งนี้ ที่นี่เป็นจุดที่คุณสามารถมองเห็น Yosemite Valley ได้แบบพาโนรามา และจะได้เห็นยอด Half Dome ในความสูงจากระดับเดียวกันครับ
7. Vernal Falls
Vernal Falls เป็นน้ำตกใน Yosemite Valley ที่มีความสูง 97 เมตร ซึ่งถ้าเทียบกับน้ำตกอื่นๆ ในอุทยานแล้วก็ถือว่าไม่สูงมากนัก แต่ความพิเศษของน้ำตกแห่งนี้คือ คุณสามารถปีนขึ้นไปชมน้ำตกจากยอดของมันได้ครับ
นักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมปีนชมความสวยงามข้างบน แต่ต้องบอกไว้เลยว่าคุณจะต้องขึ้นบันไดไปประมาณ 500 ขั้น และต้องระวังลื่นด้วย เพราะละอองน้ำจากน้ำตกจะทำให้ทางเดินเปียกครับ
Mariposa Grove
Mariposa Grove เป็นบริเวณทางตอนใต้ของอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี และตั้งอยู่บริเวณปากทางเข้าของอุทยานเลยก็ว่าได้ครับ ที่นี่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าสูงที่มีทั้งพืชที่อุดมสมบูรณ์มากๆ โดยเฉพาะต้น Sequoia หนึ่งในพืชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บางต้นมีอายุมากกว่า 3,000 ปีเลยครับ
ไฮไลท์ของที่นี่คือเส้นทางเทรคกิ้งต่างๆ ที่จะนำคุณไปชมต้นไม้เหล่านี้ครับ
8. Mariposa Grove Trail
Mariposa Grove Trail เป็นเส้นทางยาวประมาณ 11.3 กิโลเมตร (7 ไมล์) ที่นักท่องเที่ยวมักจะเดินสำรวจป่าสูงอันสวยงามแห่งนี้ คุณจะได้เห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้คนโอบหลายสิบคน และอยู่ยืนยงมาหลายสิบชั่วอายุคนแล้ว
อย่างไรก็ดีเส้นทางนี้ค่อนข้างจะสมบุกสมบันพอสมควร ถ้าคุณไม่ไหวสามารถเลือกเส้นทางที่ง่ายกว่าอย่างเช่น Big Trees Loop Trail หรือ Grizzly Giant Loop Trail ครับ
Tioga Road/Tuolumne Meadows
Tioga Road เป็นถนนที่จะนำคุณเข้าไปสู่ Tuolumne Meadows ทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไปทางตะวันออกของ Yosemite National Park
ตัวทุ่งหญ้าและตลอดสองข้างทางของ Tioga Road มีธรรมชาติสไตล์อัลไพน์ที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก เพราะใช้เวลาเดินทางไกลจากปากทางเข้าอุทยาน ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวต้องมีเวลาในอุทยานหลายวันถึงจะเข้ามาเที่ยวที่นี่กันครับ
อย่างไรก็ดีใครที่ชอบการตั้งแคมป์แล้วนั้น White Wolf Campground ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Tuolumne Meadows เป็นจุดที่คุณสามารถมาตั้งเต้นท์นอนพักได้ และเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นฐานสำหรับการสำรวจธรรมชาติในยามค่ำคืนด้วยครับ
9. Olmsted Point
Olmsted Point เป็นจุดชมวิวที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Tioga Road ที่นี่เป็นสถานที่ที่คุณสามารถชม Yosemite Valley ได้จากอีกมุมหนึ่ง และยังเห็นทะเลสาบที่สวยงามอย่าง Tenaya Lake ด้วยครับ
10. Lembert Dome
Lembert Dome เป็นภูเขาหินอันสวยงามที่คุณสามารถเห็นได้จาก Tumlumne Meadows ถ้าคุณมีเวลา 2-3 ชั่วโมงและความฟิตของร่างกายที่เหมาะสม คุณสามารถพิชิตยอดของมันได้โดยไม่ยากนัก เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้ว วิวของ Tuolumne Meadows จะทำให้คุณตกตะลึงได้ไม่ยากเลยละครับ
11. Tenaya Lake
Tenaya Lake เป็นทะเลสาบสีใสที่นักท่องเที่ยวนิยมมาปิกนิก ว่ายน้ำ พายเรือ และเล่นกิจกรรมทางน้ำอื่นๆ วิวบริเวณนี้สวยงามไม่เบาเลยทีเดียวครับ