กรณีพระยันตระ อมโรภิกขุ เป็นกรณีอันโด่งดังที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการพระพุทธศาสนาในไทย และสร้างความตื่นตระหนกในหมู่พุทธศาสนิกไทยเป็นอย่างมาก
คุณจะคิดอย่างไรถ้าคุณรู้ความว่าพระรูปหนึ่งที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนจำนวนมากในประเทศ แท้จริงแล้วเป็นพระทุศีลที่ต้องอาบัติหนักที่สุดอย่างอาบัติปาราชิก!
ความรู้สึกของชาวพุทธไทยในเวลานั้นเต็มไปด้วย ความเสียใจ และตกใจ
พระรูปนี้เป็นใครกันแน่?

พระยันตระคือใคร?
พระยันตระมีชื่อเดิมว่า นายวินัย ละอองสุวรรณ เขาเกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปี พ.ศ.2494 การเข้าสู่พระพุทธศาสนาของนายวินัยแตกต่างจากพระที่มีชื่อเสียงรูปอื่น เพราะพระวินัยเคยบวชเป็นฤาษีอยู่หลายปี จนเป็นที่รู้จักดีในภาคใต้ในระดับหนึ่ง
ด้วยความที่ศาสนาพุทธไม่มี “ฤาษี” ดังนั้นเราอาจจะกล่าวได้ว่านายวินัยเป็นนักบวชในศาสนาอื่นมาก่อนด้วยซ้ำไป
ในปี พ.ศ. 2518 นายวินัยลาพรตจากการเป็นฤาษีแล้วเข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา เขาได้ชื่อว่า “พระวินัย อมโร”
หลังจากบวชเป็นพระแล้ว พระวินัยกลับเรียกตนเองว่า “พระยันตระ” คำว่ายันตระนี้แปลว่า “ผู้ห่างไกลจากกิเลส” ซึ่งเป็นชื่อที่พระวินัยใช้เรียกตนเองมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฤาษี ผู้คนที่รู้จักหรือนับถือพระวินัยจึงพากันเรียกเขาว่า “พระยันตระ” ตามไปด้วย
จะว่าไปการที่พระวินัยใช้คำๆนี้ขนานนามของตัวเองน่าจะคาบเกี่ยวกับการต้องอาบัติ “อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน” เพราะพระวินัยไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ถ้าพระวินัยต้องอาบัติข้อนี้จริง เขาน่าจะขาดจากความเป็นพระไปตั้งนานแล้ว
รุ่งโรจน์
จากภายนอกพระยันตระเป็นพระหนุ่มที่มีวัตรปฏิบัติดีงาม เขามีความสามารถในการเทศน์และสอนธรรมะสูงมาก และยังสอนวิปัสสนากรรมฐานให้เข้าใจได้ง่ายด้วย
ไม่เพียงเท่านั้นน้ำเสียงของพระยันตระยังนิ่มนวลไพเราะน่าฟัง ชาวพุทธที่ติดใจการเทศน์ของพระยันตระจึงมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหาของพระยันตระมากมาย จำนวนศิษยานุศิษย์เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
ภายในเวลาไม่กี่ปี พระยันตระก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศไทย
ตลอดช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรือง พระยันตระรับนิมนต์ไปเทศน์และสอนทั้งในและต่างประเทศอย่างไม่หยุดหย่อน ทั่วทั้งประเทศมีวัดต่างๆ มากมายที่สอนวิปัสสนากรรมฐานตามแบบพระยันตระ วัดที่สังกัดสำนักของพระยันตระจะใช้คำว่า “สุญญตาราม” ทุกแห่ง
ช่วงปี พ.ศ.2530-2535 ความนิยมของพระยันตระพุ่งขึ้นสูงสุด มีอยู่วันหนึ่งพระยันตระมีกำหนดจะเดินทางมาเทศนาแสดงธรรมที่สนามหลวง เหล่าสานุศิษย์ที่เข้ามาจองที่ฟังธรรมนั้นแน่นขนัดเต็มพื้นที่ราวกับว่าเป็นคอนเสิร์ตของวงอย่าง BTS หรือ Blackpink!
แต่แล้วดวงดาวที่ชื่อพระยันตระก็ดับแสงไปในปี พ.ศ.2537
ถูกร้องเรียน
ในปี พ.ศ.2537 กลุ่มสีกากลุ่มหนึ่งได้ร้องเรียนต่อมหาเถรสมาคมว่า พระยันตระมีท่าทีอันไม่เหมาะสมต่อเหล่าสีกาโดยเฉพาะเมื่อพระยันตระเดินทางไปต่างประเทศ
คดีแรกมีการร้องเรียนว่า พระยันตระแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อสุภาพสตรีเมื่อระหว่างลงเรือเดินสมุทรที่ยุโรป
ข้อกล่าวหานี้เหมือนกับปลดล็อกความฉาวโฉ่ของพระยันตระ หลังจากนั้นไม่นานข่าวลือทางลบของพระยันตระจำนวนมากก็ถูกเผยแพร่ออกมา
ก่อนที่ผู้เขียนจะเล่าต่อไป ผู้เขียนขออธิบายอาบัติของพระสงฆ์ให้ท่านผู้อ่านทราบคร่าวๆ
ถ้าพระจับเนื้อต้องตัวสตรี หรือ พูดจาเกี้ยวพาราสีสตรี แต่ไม่ได้เสพเมถุน พระรูปนั้นจะต้องอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งเป็นอาบัติหนัก พระที่ต้องอาบัติต้องไปปริวาสถึงจะทำศีลให้บริสุทธิ์ได้ แต่พระรูปนั้นยังไม่ขาดจากความเป็นพระ
ถ้าพระเสพเมถุนกับสตรีในกรณีนี้พระจะต้องอาบัติปาราชิก ทำให้พระรูปนั้นจะขาดจากความเป็นพระทันที
“ทันที” ในที่นี้คือไม่ต้องทำพิธีสึกอะไร พระที่ต้องอาบัติปาราชิกสามารถถอดสบง จีวร สังฆาฏิ และออกจากวัดไปได้เลย เพราะไม่ใช่พระตั้งแต่ต้องอาบัติดังกล่าวแล้ว
กลับมาที่กรณีของพระยันตระ ถ้าพระยันตระแสดงท่าทีอันไม่เหมาะสมในกรณีเรือเดินสมุทร อย่างมากพระยันตระก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเท่านั้น เท่ากับว่าพระยันตระยังไม่ขาดจากความเป็นพระ
มรสุมเริ่มซัดเข้าฝั่ง เมื่อมีผู้กล่าวหาว่าพระยันตระได้ล่อลวงสีกาผู้หนึ่งไปเสพเมถุนจนตั้งครรภ์ และคลอดบุตรสาวออกมาคนหนึ่ง โดยมีหลักฐานเป็นเทปเสียงระหว่างพระยันตระกับสีกาผู้นั้น
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับล้วนแต่ลงข่าวนี้เป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะพระยันตระมีชื่อเสียงระดับประเทศ หรือถ้าสมัยนี้ก็คงจะติดเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทยกันไปยาวๆ
ที่ติดเทรนด์กันยาวๆ เพราะมีมรสุมลูกใหม่มาถล่มพระยันตระอีก
ตั้งแต่มีหลักฐานเทปบันทึกเสียงพระยันตระพูดคุยเกี้ยวพาราสีทางโทรศัพท์ และหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าพระยันตระมีเสพเมถุนกับสตรีมากหน้าหลายตาในต่างประเทศ
ทั้งหมดนี้ถ้าเป็นจริง ถือว่าพระยันตระต้องอาบัติปาราชิกและขาดจากความเป็นพระ
ขาดจากความเป็นพระ?
พระยันตระปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและพยายามต่อสู้ว่าตนเองไม่ผิดวินัยสงฆ์ข้อใดเลย พระยันตระยืนกรานว่าตนเองเป็นพระที่มีศีลบริสุทธิ์ เหล่าลูกศิษย์เองก็แน่นอนว่าต้องช่วยปกป้องพระยันตระ
แม้พระยันตระจะไม่ยอมรับ แต่หลักฐานต่างๆ บีบพระยันตระมากขึ้นตามลำดับ ส่วนหนึ่งเพราะสื่อมวลชนในเวลานั้นช่วยกันทำข่าวแฉพระยันตระ ทำให้ความจริงปรากฏออกมาในเวลาไม่นาน
สีกาที่มีลูกกับพระยันตระนำตัวบุตรสาวที่อ้างว่าเกิดกับพระยันตระออกมาแสดงตัวต่อสื่อมวลชน และแสดงหลักฐานรูปถ่ายที่ว่าเธอและพระยันตระอยู่ร่วมชายคาเป็นสามีภรรยาอย่างเปิดเผย แต่พระยันตระก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง ทำให้สีกาคนดังกล่าวท้าพระยันตระให้ตรวจ DNA เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างพระยันตระกับบุตรสาว พระยันตระกลับไม่ยินยอมที่จะตรวจตามคำท้า
พระยันตระจนมุมเมื่อมีผู้ออกนำใบเสร็จมาแสดงว่าพระยันตระได้ใช้เงินบริจาคของญาติโยมไปเที่ยวสถานบริการในต่างประเทศ เหล่าสานุศิษย์ของพระยันตระต่างตกตะลึง และไม่สามารถช่วยแก้ต่างได้อีกต่อไป
หลังจากนั้นไม่นานมหาเถรสมาคมตัดสินว่าพระยันตระต้องอาบัติปาราชิกข้อเสพเมถุน ทำให้พระยันตระพ้นจากความเป็นภิกษุ แต่พระยันตระกลับไม่ยอมรับมติของมหาเถรสมาคม เขาใช้คงสวมใส่เครื่องแต่งกายคล้ายพระสงฆ์อยู่เช่นเดิม แต่เปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว
ดังนั้นพระยันตระได้กลายเป็น “สมี” ซึ่งแปลว่า “อดีตพระที่พ้นจากความเป็นนักบวชเพราะต้องอาบัติปาราชิก” ผู้ที่เป็นสมีไม่สามารถบวชเป็นพระภิกษุได้อีกเลยตลอดชีวิต สื่อต่างๆ จึงเรียกอดีตพระยันตระว่าสมียันตะ หรือ จิ้งเขียว
หลังจากได้รับคำตัดสินจากมหาเถรสมาคมไม่นาน ยันตระก็ได้หลบหนีออกจากประเทศไทยไปขอลี้ภัยทางการเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกา เขาใช้ชีวิตอยู่เงียบๆที่นั่น จนกระทั่งคดีความในประเทศไทยของเขาทั้งหมดหมดอายุความ
20 ปีผ่านไป เมื่อคดีหมดอายุความแล้ว ยันตระเดินทางกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2557 เพื่อมาเยี่ยมบ้านเกิดและกราบพระอุปัชฌาย์
ยันตระเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาไปและไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยเป็นการถาวรแต่อย่างใด เขายังคงมีชีวิตอยู่และตั้งสำนักอยู่ที่สหรัฐอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้