อาบัติปาราชิกเป็นอาบัติที่ร้ายแรงที่สุดของพระภิกษุ พระรูปใดต้องอาบัติปาราชิกจะขาดจากการเป็นพระทันทีโดยไม่มีข้อแม้ ในทางทฤษฎีแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำพิธีสึกด้วยซ้ำไป เพราะถือว่าขาดจากความเป็นพระตั้งแต่ต้องอาบัติแล้ว
ตามพระวินัยปิฎก อาบัติปาราชิกมี 4 ข้อได้แก่
- เสพเมถุนธรรม (มีเซ็กส์)
- อทินนาทาน (ลักขโมย)
- มนุสสวิคคหะ (ฆ่ามนุษย์)
- อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน (โม้ว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ ทั้งๆที่ตัวเองไม่มี)
สำหรับอาบัติปาราชิกข้อ 1 เป็นอาบัติที่หลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด เพราะธรรมชาติของมนุษย์ย่อมต้องมีอารมณ์ทางเพศ พระบางรูปก็บวชตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม แน่นอนว่ายังมีราคะหรือความต้องการทางเพศอยู่
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงออกสิกขาบทห้ามเอาไว้ พระทุกรูปจึงไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับอิสตรีได้ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับพระบางรูปที่หัวหมอ และพยายามหลบหลีกอาบัติข้อนี้ด้วยวิธีต่างๆ นาๆ
เรามาดูกันครับว่าพระเหล่านี้จะใช้วิธีใดบ้าง และจะหลบได้หรือไม่
เรื่องลิงตัวเมีย
หลังจากที่พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทข้อนี้แล้ว มีภิกษุรูปหนึ่งอยู่ที่เมืองเวสาลีเกิดมีอารมณ์ทางเพศ เขาจึงนำเหยื่อไปล่อลิงตัวเมียมาได้ตัวหนึ่ง หลังจากนั้นพระรูปนั้นจะมีเพศสัมพันธ์กับมันอยู่เสมอ โดยแอบมันไว้ในกุฏิ เมื่อถึงเวลาเช้า ภิกษุรูปนี้จะสวมใส่สบง จีวร สังฆาฏิ และออกไปบิณฑบาตตามปกติ
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ความก็แตกจนได้เพราะมีพระกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านกุฏิที่แอบลิงไว้ พระเหล่านั้นเห็นลิงตัวนั้นทำท่าประหลาดเหมือนกับท่าร่วมเพศ ทุกรูปจึงคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าของกุฎิน่าจะร่วมเพศกับลิงตัวนี้เป็นแน่ แต่ยังไม่แน่ใจเท่าไรนัก
ทุกรูปจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณนั้น รอเวลาที่พระต้นเรื่องกลับมา
เมื่อพระต้นเรื่องกลับมาถึง พระรูปนั้นจึงได้เสพสุขกับลิงตัวเมียอย่างที่คิดไว้จริงๆ พระที่แอบอยู่จึงออกมาจากที่ซ่อนและต่อว่าพระต้นเรื่องอย่างมากมาย
พระต้นเรื่องรับสารภาพว่าร่วมเพศกับลิงตัวเมีย แต่ตนเองไม่ได้ละเมิดสิกขาบทของพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด เพราะว่าพระบัญญัติครอบคลุมเฉพาะอิสตรีที่เป็นมนุษย์ ไม่นับรวมสัตว์เพศเมีย
พระรูปอื่นยังคงต่อว่าพระต้นเรื่องต่อไป จนสุดท้ายเรื่องก็ไปถึงพระพุทธเจ้า ทำให้พระองค์ต้องสอบถามความจริง พระต้นเรื่องยอมรับสารภาพทั้งหมด พระพุทธเจ้าทรงติเตียนพระภิกษุรูปนั้นยกใหญ่
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตระหนักว่าสิกขาบทที่บัญญัติไว้ยังมีช่องโหว่ พระองค์จึงบัญญัติพระอนุบัญญัติเพิ่มเติมความว่า
อนึ่ง ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็น ปาราชิก หาสังวาสมิได้. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการ ฉะนี้.
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ เรื่องลิงตัวเมีย
เรื่องปลอมตัว
เดียรถีย์คือนักบวชนอกพระพุทธศาสนา พวกเดียร์ถีย์มีหลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดเชื่อกันว่าคือ ศาสนาเชนของมหาวีระ หลักฐานพุทธทั้งหลายให้ข้อมูลว่าเดียรถีย์พยายามโจมตีศาสนาพุทธหลายครั้ง อาทิเช่นกรณีของนางจิญจมาณวิกาเป็นต้น
แต่ในครั้งนี้ พระภิกษุต่างหากที่ปลอมตัวเป็นเดียรถีย์เพื่อที่ตนเองจะได้หลบอาบัติปาราชิกข้อ 1 พระไตรปิฎกเล่าว่ามีภิกษุถึง 7 รูปที่ปลอมตัวเป็นเดียรถีย์เพื่อจะได้เสพเมถุน
ภิกษุแต่ละรูปปลอมตัวเป็นเดียรถีย์ด้วยการนุ่งผ้าที่ดูเหมือนพวกเดียรถีย์ (เช่นห่มหนังเสือเหมือนฤาษี) แล้วออกไปเสพเมถุนธรรมด้วยความมั่นใจว่าตนเองจะไม่ละเมิดอาบัติปาราชิกดังกล่าว
แต่สุดท้ายเมื่อเรื่องไปถึงพระพุทธเจ้า ทรงตัดสินว่าทุกรูปต้องอาบัติปาราชิก และขาดจากความเป็นภิกษุทันที
นอกจากนี้ยังมีพระภิกษุที่ปลอมตัวเป็นคฤหัสถ์และไปเสพเมถุนธรรมด้วย พระเหล่านี้ไม่รอดเช่นเดียวกับรูปที่ปลอมตัวเป็นเดียรถีย์
เรื่องศพ
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติห้ามเสพเมถุนกับสิ่งมีชีวิตใดๆ แล้ว พระหลายรูปจึงหันไปเสพเมถุนกับศพ พระไตรปิฎกได้อธิบายเคสแต่ละเคสไว้อย่างละเอียดมาก ภิกษุที่ทำผิดมี 5 รูป แต่ละรูปเสพเมถุนกับศพที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
- ศพที่ยังไม่ถูกสัตว์กัด
- ศพที่ถูกสัตว์กัดไปบางส่วน
- ศพที่ถูกสัตว์กัดไปจนยับเยิน
- ศพที่เหลือแต่ศีรษะ
สภาพศพมี 4 แบบ แต่มีพระภิกษุที่ทำเรื่องจำนวน 5 รูป รูป 1-3 พระพุทธเจ้าตัดสินว่าต้องอาบัติปาราชิกทั้งหมด แต่ปัญหาอยู่ที่เคสที่ 4 กับ 5
เคสที่ 4 และ 5 พยายามเสพเมถุนกับศีรษะของศพด้วยการนำองค์กำเนิด (อวัยวะเพศ) ของตนเองเข้าไปในปากศพที่มีแต่หัว เคสที่ 4 ไม่รอดอาบัติปาราชิกเพราะองค์กำเนิดกระทบปากของศพ ส่วนเคสที่ 5 รอดเพราะองค์กำเนิดไม่โดนปากของศพ
เรื่ององค์กำเนิด
เรื่องนี้จริงๆ เป็นสองเรื่อง แต่เนื่องจากมีความคล้ายกันหลายอย่าง ผมเลยขออนุญาตรวมเป็นเรื่องเดียว
เรื่องแรกเกิดกับพระรูปหนึ่ง พระรูปนี้มีหลังอ่อน เขาจึงสามารถก้มตัวลงมาที่องค์กำเนิดของตนเองได้ และใช้ปากอมมันเข้าไปเพราะราคะที่เขามีอยู่ในเวลานั้น
เช่นเดียวกับพระรูปหนึ่ง พระรูปนี้มีองค์กำเนิดยาว เขาจึงใช้องค์กำเนิดสอดเข้าไปในทวารหนักของตนเอง (ฟังดูไม่น่าเชื่อแต่พระไตรปิฏกก็เขียนเอาไว้เช่นนี้จริงๆ)
ทั้งสองเคสพระพุทธเจ้าตัดสินว่าพระภิกษุทั้งสองรูปต้องอาบัติปาราชิกแล้ว และต้องขาดจากความเป็นพระอย่างถาวร
นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องที่หลายท่านอาจจะไม่เชื่อว่าเกิดขึ้นจริงๆ แต่มันปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ท่านที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
Sources:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑