พระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles, Château de Versailles) เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ และอาจจะเรียกได้ว่าทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ ความสวยงามและอลังการของพระราชวังได้ทำให้กษัตริย์และจักรพรรดิหลายพระองค์ในยุโรปนำไปสร้างพระราชวังของตนหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในเยอรมนี ออสเตรีย หรือแม้กระทั่งรัสเซีย
ในโพสนี้เราจะมารู้จักพระราชวังแวร์ซายส์กันก่อน หลังจากนั้นผมจะแนะนำไฮไลท์เป็นอันดับต่อไปครับ
รู้จักพระราชวังแวร์ซายส์ (The Palace of Versailles)
พระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles) เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV) หรือ “The Sun King” แห่งฝรั่งเศส โดยเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ.1661
ก่อนหน้าที่จะมีการสร้างพระราชวัง พื้นที่บริเวณนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ และป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (Louis XIII) นิยมเดินทางมาล่าสัตว์ที่นี่จึงโปรดให้สร้างบ้านพักสำหรับพักผ่อนขนาดใหญ่เอาไว้หลังหนึ่ง
หลังจากที่หลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองราชย์ กษัตริย์พระองค์ใหม่โปรดปรานที่นี่อย่างมาก และปรารถนาจะอาศัยอยู่ที่นี่เป็นการถาวร การก่อสร้างจึงเริ่มดำเนินขึ้น เดิมทีนั้นตัวพระราชวังที่จะสร้างขึ้นตอนแรกไม่ได้จะใหญ่โตขนาดนี้ แต่เกิดจากการต่อเติมตามความปรารถนาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เอง
หลุยส์ที่ 14 เข้ามาอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ในปี ค.ศ.1682 จนกระทั่งสวรรคตในปี ค.ศ.1715 ตลอดช่วงเวลานั้นรัฐบาลของกษัตริย์ฝรั่งเศสตั้งอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าแวร์ซายส์ได้กลายเป็นเมืองแห่งหนึ่งเลยก็ว่าได้
The Petit Trianon หนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดในพระราชวังถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1768 โดยหลุยส์ที่ 15 เพื่อให้เป็นที่พำนักของภรรยาน้อยอย่าง Madame de Pompadour และ Madame du Barry แต่ว่าในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระองค์ได้มอบที่นี่ให้กับพระนางมารีอังตัวเนตนำไปใช้สอยเป็นพื้นที่ส่วนพระองค์
พระนางมารีอังตัวเนตโปรดปรานที่นี่มาก และใช้เวลาส่วนใหญ่ทั้งวันพำนักอยู่ในอาคาร และเป็นที่นี่เองที่พระนางทราบข่าวถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1789
การปฏิวัติทำให้หลุยส์ที่ 16 และมารีอังตัวเนตต้องจากพระราชวังแห่งนี้และเดินทางไปยังกรุงปารีส นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่กษัตริย์และราชินีแห่งฝรั่งเศสพระองค์ใดๆได้อาศัยอยู่ในแวร์ซายส์ ในปี ค.ศ.1793 รัฐบาลปฏิวัติได้ขายทรัพย์สินทั้งหมดในพระราชวัง รวมไปถึงงานศิลปะต่างๆ ด้วย หลังจากนั้นรัฐบาลก็ได้พระราชวังที่ถูกทิ้งร้างเป็นที่เก็บของที่ริบมาจากเหล่าชนชั้นสูง
ในศตวรรษที่ 19 นโปเลียนและกษัตริย์แห่งราชวงศ์ Bourbon หลายพระองค์เคยคิดจะย้ายกลับมาอยู่ที่แวร์ซายส์ แต่ทุกพระองค์ต้องล้มเลิกความตั้งใจ เพราะตัวพระราชวังได้รับความเสียหายมาก และค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการบูรณะย่อมมหาศาล แวร์ซายส์จึงไม่ได้รับการบูรณะกลับมาให้ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด
ต่อมาในปี ค.ศ.1871 กองทัพปรัสเซียมีชัยเหนือนโปเลียนที่ 3 และยาตราทัพเข้ากรุงปารีส รวมไปถึงแวร์ซายส์ด้วย ด้วยความฮึกเหิม วิลเฮล์มที่ 1 กษัตริย์แห่งปรัสเซียได้สถาปนาพระองค์เองเป็นจักรพรรดิแห่งเยอรมนีขึ้นที่นี่
หลังจากนั้นไม่กี่สิบปี พระราชวังก็มีส่วนในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อีก นั่นคือเหตุการณ์ที่คู่สงครามในสงครามโลกครั้งที่ 1 ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ (Treaty of Versailles) นั่นเองครับ
ตัวพระราชวังอยู่รอดปลอดภัยดีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเริ่มได้รับการบูรณะอย่างจริงจังในช่วงหลังปี ค.ศ.1950 รัฐบาลฝรั่งเศสหมายมั่นว่าจะบูรณะพระราชวังให้กลับมาสวยงามเหมือนกับสมัยที่หลุยส์ที่ 16 เสด็จออกจากพระราชวังในปี ค.ศ.1789
รัฐบาลจึงได้ทุ่มเงินจำนวนมากในการซื้อโบราณวัตถุที่ถูกขายทอดตลาดให้กลับมาตั้งประดิษฐานในสถานที่ที่มันเคยตั้งอยู่ ในปัจจุบันหลายส่วนของพระราชวังก็ยังถูกซ่อมแซมอยู่ แม้ว่าพระราชวังจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับไฮไลท์ของประเทศฝรั่งเศสก็ตาม
ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเกือบ 8 ล้านคนเดินทางมาพระราชวังแห่งนี้ทุกปี โดยแวร์ซายส์ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งในกรุงปารีส ยกเว้นแต่เพียงพิพิธภัณฑ์ Louvre ที่เดียวเท่านั้นครับ
ถัดไปเราไปดูกันดีกว่าครับ พระราชวังแวร์ซายส์มีไฮไลท์หรือสถานที่เที่ยวจุดไหนที่คุณห้ามพลาดบ้าง
1. Galerie des Glaces
Galerie des Glaces หรือ Hall of Mirrors เป็นห้องที่มีชื่อเสียงและหรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในพระราชวังแวร์ซายส์ ในอดีตห้องแห่งนี้เป็นห้องโถงที่นำไปสู่ห้องบรรทมของกษัตริย์และราชินีแห่งฝรั่งเศส และเป็นห้องที่จักรวรรดิเยอรมันถูกสถาปนาขึ้นอีกด้วย
ภายในห้องตบแต่งอย่างตระการตาด้วยกระจกหลายร้อยบาน ทำให้เมื่อแสงสว่างเข้ามาในห้อง มันจะกระจายไปทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อย่างที่จะหาห้องใดมาเปรียบได้ยากครับ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟคริสตัล (Chandeliers), รูปปั้นทองคำ รวมไปถึงงานศิลปะอีกมากมายเรียงรายกันไป
สองด้านของ Hall of Mirrors ติดกับห้องขนาดใหญ่อีกสองห้อง นั่นคือ Salon de Guerre ห้องที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บภาพเขียนต่างๆ ที่แสดงถึงชัยชนะในสงครามของฝรั่งเศส และ Salon de Paix ที่มีภาพเขียนของหลุยส์ที่ 16 ตั้งอยู่ครับ
2. Grands Appartements du Roi
Grands Appartements du Roi หรือ Appartement de Parade เป็นจุดที่กษัตริย์ฝรั่งเศสออกว่าราชการ รวมไปถึงประกอบพิธีกรรมต่างๆ ด้วย อย่างที่ทราบกันดีว่าหลุยส์ที่ 14 ย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นการถาวร ดังนั้นราชสำนักจึงต้องติดตามพระองค์มาด้วย ในทุกเช้าหลุยส์ที่ 14 จะว่าราชการตั้งแต่ 6 โมงถึง 10 โมงครับ
บริเวณนี้จะมีห้องรับรองหลายห้อง แต่ละห้องถูกตั้งชื่อโดยใช้นามของเทพเจ้ากรีกทั้งหลาย ห้องเหล่านี้เต็มไปด้วยผลงานศิลปะอันล้ำค่า ห้องที่น่าสนใจได้แก่
- Salon de Venus – ห้องเก่าแก่ที่หลุยส์ที่ 14 ใช้ในการแสดงความยิ่งใหญ่ของตน และเป็นไม่กี่ห้องที่ยังหลงเหลือความงดงามในอดีต
- Chambre du Roi – ห้องนอนของหลุยส์ที่ 14 และเป็นสถานที่ทำพิธี “ตื่นนอน” และ “เข้านอน” ทุกวัน
- Salon de Diane – ห้องที่มีภาพเขียนล้ำค่าอย่าง Diana at Versailles (ผลงานของ Bianchard) และรูปปั้นของหลุยส์ที่ 14 (ผลงานของ Bernini)
- Salon de Mars – ห้องที่มีรูปภาพอันโด่งดังของพระนางมารีอังตัวเนต
นอกจากนี้ยังมีห้องที่สวยงามอีกหลายแห่ง ได้แก่ Salon de Mercure, Salon d’Apollon และ Salon d’Hercule ซึ่งมีภาพเขียนประดับประดาอย่างตระการตาครับ
3. Appartements Prives des Rois
Appartements Prives des Rois เป็นห้องส่วนตัวของกษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายก่อนการปฏิวัติ นั่นคือหลุยส์ที่ 15 และหลุยส์ที่ 16 นั่นเอง คุณจะได้เห็นว่าทั้งสองพระองค์ดำรงชีพอย่างไรครับ
อย่างไรก็ดีบริเวณนี้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าชมได้ด้วยตนเอง เราจะต้องซื้อทัวร์เข้าไป พร้อมกับเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ ซึ่งทัวร์จะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง โดยมีค่าใช้จ่ายที่ 10 ยูโรครับ
ไฮไลท์ของบริเวณนี้คือ
- Salle a Manger des Procelaines – ห้องเก่าแก่ที่หลุยส์ที่ 16 และมารีอังตัวเนตเคยเสวยอาหารที่นี่ และยังใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองด้วย
- Salle a Manger des Retours de Chasse – ห้องที่หลุยส์ที่ 15 ใช้จัดเลี้ยงพวกผู้ติดตามที่เดินทางไปล่าสัตว์กับพระองค์
- Chapelle Royale de Versailles หรือ Royal Chapel – โบสถ์สำหรับกษัตริย์ฝรั่งเศสและเหล่าเสนาบดีในราชสำนัก หลุยส์ที่ 14 ให้ทั้งราชสำนักเข้าร่วมพิธีมิสซาที่นี่ ด้านในโบสถ์จะมีพื้นที่ส่วนพระองค์ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งจะมีเฉพาะสมาชิกในราชวงศ์ที่สามมารถเข้าไปได้เท่านั้น
- Opera Royal – โรงละครโอเปร่าส่วนพระองค์ที่สร้างขึ้นอย่างสวยงามด้วยสไตล์ Neoclassical และประดับประดาด้วยหินอ่อน สำริด และกระจก
- Chambre de Louis XV – ห้องสไตล์ Rococo ที่หลุยส์ที่ 15 ใช้พักผ่อนเป็นการส่วนตัว
ถ้าถามผมว่าน่าเข้าหรือไม่ ผมตอบได้เลยว่าน่าเข้าครับ โดยเฉพาะถ้าคุณสนใจและชื่นชอบในประวัติศาสตร์ เพราะไม่มีที่ไหนที่คุณจะสัมผัสชีวิตอันหรูหราของกษัตริย์ที่ฟุ้งเฟ้อขนาดนี้ได้อีกแล้ว
4. Grand Appartement du Reine
Grand Appartement du Reine เป็นเขตพื้นที่ส่วนพระองค์ของพระราชินี (แต่ไม่ใช่ว่าพื้นที่ทั้งหมดจะเป็นพื้นที่ส่วนพระองค์) การตบแต่งส่วนใหญ่จะใช้เป็นภาพเขียนลวดลายดอกไม้ แสดงถึงความงดงามอ่อนหวาน ต่างจากฝั่งของกษัตริย์ที่จะดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามครับ ทั้งนี้ลวดลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากยุคของมารีอังตัวเนต ไม่ใช่ของใหม่ที่ทำขึ้นแต่อย่างใด
จุดแรกที่น่าสนใจคือ Chambre de La Reine ห้องนอนของราชินีแห่งฝรั่งเศส และเป็นสถานที่พระนางจะต้อนรับแขกส่วนพระองค์ด้วย รูปแบบของห้องถูกสร้างขึ้นเป็นแบบ Rococo มารีอังตัวเนตพำนักอยู่ในห้องนี้จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติครับ
นอกจากนี้ด้านในยังมี Appartements de Marie-Antoinette หรือห้องพักส่วนพระองค์ที่มารีอังตัวเนตจะได้พักผ่อน และทำสิ่งที่พระนางชื่นชอบ รวมไปถึงใช้เป็นสถานที่พบเจอกับเพื่อนสนิท โดยไม่มีสายตาของผู้คนในพระราชวังที่จะจ้องมองมาที่พระนางครับ
ห่างออกไปไม่ไกลจะมีห้องที่ชื่อ Antichambre du Grand Couvert ห้องที่กษัตริย์และราชินีแห่งฝรั่งเศสจะเสวยพระกระยาหารกับพวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์อื่นๆ ห้องนี้จะเป็นห้องอาหารแบบเป็นทางการครับ
ถ้าคุณมีเวลา คุณสามารถไปชม Les Appartements des Mesdames ซึ่งเป็นส่วนที่พำนักของพระธิดาหกพระองค์ของหลุยส์ที่ 15 และ Madame de Pompadour ภรรยาน้อยคนโปรดของพระองค์ครับ
5. Petit Trianon
Petit Trianon เป็นพระราชวังขนาดเล็กที่เป็นพื้นที่แสนรักของพระนางมารีอังตัวเนต และเป็นสถานที่ที่พระนางผ่อนคลายและหลบหนีความกดดันของราชสำนักที่ต้องการให้เธอมีรัชทายาทให้กับบัลลังก์ฝรั่งเศส มารีอังตัวเนตมีอำนาจสิทธิ์ขาดในพระราชวังแห่งนี้ บ้างว่าแม้กระทั่งหลุยส์ที่ 16 เองก็ต้องขออนุญาตพระนางถ้าจะเข้ามาที่นี่
สถาปัตยกรรมของที่นี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดของสไตล์ Neoclassical ดังนั้นไม่ควรพลาดที่จะเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ภายในเขตพระราชวังยังมีสวนสวยๆ ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งสวนแห่งนี้เองเป็นสถานที่ที่พระนางทราบข่าวว่าเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส
6. Le Grand Trianon
Le Grand Trianon เป็นพระราชวังที่หลุยส์ที่ 14 สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พำนักของ Madame de Montespan หนึ่งในภรรยาน้อยของพระองค์ แม้ว่าจะมีชื่อคล้ายกันกับ Petit Trianon แต่ Le Grand Trianon มีขนาดใหญ่กว่ามาก และเก่ากว่าถึงหนึ่งร้อยปีครับ
ความสวยงามของที่นี่เกิดจากหินอ่อนสีชมพูที่ดูงดงามสะดุดตา เมื่อรวมกับสวนสไตล์ฝรั่งเศสขนาดใหญ่โตที่มีดอกไม้นานาชนิดแล้ว ที่นี่จึงเป็นจุดที่พลาดไม่ได้ถ้าคุณมาเยือนพระราชวังแวร์ซายส์ครับ
7. Les Jardins
Les Jardins คือสวนขนาดใหญ่ของพระราชวังแวร์ซายส์ที่มีความโดดเด่น สวยงาม และสะดุดตา ความงามของสวนแห่งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับกษัตริย์ทั่วทั้งยุโรปนำไปเป็นแบบอย่างในการสร้างพระราชวังมาแล้วหลายแห่ง
ต้นไม้แต่ในสวนจะถูกจัดเรียงอย่างสวยงามและมีความสมมาตรอย่างไร้ที่ติ ภายในสวนยังมีสระน้ำ น้ำพุ สวนดอกไม้ รวมไปถึงแปลงผักเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งหลุยส์ที่ 14 โปรดให้ปลูกส้ม บรรยากาศในสวนแห่งนี้จึงร่มรื่น สบายตา เหมาะแก่การพักผ่อน คุณจะไม่แปลกใจเลยที่สวนแห่งนี้จะเป็นสวนอันดับต้นๆ ของโลกครับ
ในช่วงเดือนปลายเดือนมีนาคมถึงปลายเดือนตุลาคม ภายในสวนจะมีจัดแสดงโชว์น้ำพุแสงสีเสียง ตัวโชว์ชื่อว่า Les Grandes Eaux Musicales ถ้าใครสนใจก็สามารถไปชมได้ครับ
8. Musée de l’Histoire de France
Musée de l’Histoire de France เป็นส่วนของพระราชวังแวร์ซายส์ที่นโปเลียนที่ 3 จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสโปรดให้บูรณะเป็นพิพิธภัณฑ์ในช่วงศตวรรษที่ 19 ทุกวันนี้สถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ โดยจะเก็บรักษาโบราณวัตถุ งานศิลปะ และของมีค่าจากสมัยยุคกลางจนถึงสมัยศตวรรษที่ 19 ครับ
ไปเที่ยวพระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) อย่างไรดี?
บริษัทไทยทุกทัวร์ที่นำคุณไปเที่ยวกรุงปารีสจะนำลูกทัวร์ไปยลโฉมของพระราชวังแวร์ซายส์อยู่แล้ว แต่เวลาที่ให้ในพระราชวังอาจจะไม่มากนัก ทำให้คุณไม่ได้ชมความงามของสถานที่อย่างที่ต้องการ การเดินทางไปเที่ยวเองจึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย
ตัวพระราชวังห่างจากกรุงปารีสประมาณ 17 กิโลเมตร ซึ่งวิธีการไปที่ง่ายที่สุดก็คือการนั่งรถไฟไปครับ เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงคุณก็มาถึงสถานีรถไฟแล้ว การเช็ครอบรถไฟ ราคา และจองตั๋วรถไฟสามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ Omio ครับ
[sc name=”travelthai” ][/sc]