ประวัติศาสตร์ไข้หวัดสเปน หนึ่งในโรคร้ายที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ไข้หวัดสเปน หนึ่งในโรคร้ายที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีโรคระบาดหลายโรคด้วยกันที่ระบาดในพื้นที่ต่างๆ ของโลกเช่นไข้หวัดนก (Avian Flu), ไข้ซิกา (Zika), ซาร์ส (SARS) หรือ อีโบลา (Ebola) โรคเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปจำนวนหนึ่ง แต่การกักกันโรคและการพัฒนายารักษาโรคที่พัฒนาขึ้น ทำให้โรคเหล่านี้สามารถควบคุมไว้ได้

อย่างไรก็ตามความร้ายแรงของโรคเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้กับโรคที่มีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ว่า “ไข้หวัดสเปน” หรือ “Spanish Flu” ทั้งในเรื่องความร้ายกาจในการสังหารผู้ติดเชื้อ และความง่ายในการติดต่อของมัน

ไข้หวัดสเปนทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมหาศาล แพทย์และพยาบาลจึงต้องใช้โรงละครเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว

ต้นกำเนิด

ไม่มีใครทราบว่าไข้หวัดสเปนถือกำหนดมาได้อย่างไร นักระบาดวิทยาเชื่อว่าโรคนี้มาจากจีน แล้วไปกลายพันธุ์ที่อเมริกา แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนคือ มันน่าจะแพร่จากสัตว์มาสู่มนุษย์คล้ายกับไข้หวัดนก และไวรัส HIV ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์

เมื่อทหารอเมริกันเดินทางไปรบในยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงปี ค.ศ.1917-1918 เชื้อดังกล่าวก็ติดไปยุโรปด้วยจากการที่ไวรัสนี้สามารถติดต่อได้ทางอากาศ โรงทหารที่แออัด และโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนไข้ ทำให้เชื้อโรคนี้ระบาดได้อย่างรวดเร็ว พวกทหารจำนวนมากก็อ่อนแอทำให้พวกเขาถูกเชื้อโรคชนิดนี้สยบได้ง่ายดายขึ้นอีก

ในช่วงแรกไม่มีใครทราบว่าทำไมทหารจำนวนมากถึงล้มตายอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปลายปี ค.ศ.1917 นักระบาดวิทยาก็ได้ทราบว่ามีเชื้อโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อสูงได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว

ไวรัสไข้หวัดสเปน

จากการศึกษาในยุคหลังพบว่าไวรัส Influenza A H1N1 เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดสเปน แต่โรคนี้เป็นที่เรียกกันในเวลานั้นว่า Influenza เฉยๆ

เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อไม่นานจะมีอาการไข้ จาม คลื่นไส้ ปวดตามลำตัว และท้องเสีย ซึ่งก็เป็นอาการปกติของไข้หวัดใหญ่ธรรมดาๆทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมันร้ายกว่านั้นมาก เพียงแต่มันยังไม่แสดงออก

ด้วยความที่มันเหมือนไข้หวัดนี้เอง ทำให้มันสามารถติดต่อได้ทางอากาศ พวกทหารต่างไอรดกัน และอยู่แออัดกันในสมรภูมิและโรงทหาร ทำให้การระบาดลามไปอย่างรวดเร็ว

นักระบาดวิทยาสันนิษฐานว่าเจ้าไวรัสที่ให้กำเนิดโรคนี้สามารถวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว ในช่วงปี ค.ศ.1918 มันจึงกลายพันธุ์เป็นไวรัสใหม่ที่ก่อโรคได้แรงกว่าเดิม ต่อมาไม่นานมันเริ่มแสดงความร้ายกาจของเวอร์ชันอัพเกรดให้มนุษย์ได้รับรู้

ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสที่ผ่านการวิวัฒนาการมาแล้วมีอาการเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว แก้มของพวกเขาเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน (เพราะไวรัสทำให้เกิดเลือดออกในส่วนต่างๆของร่างกาย) หลังจากนั้นผู้ป่วยจะเริ่มหายใจไม่ออก และจะเสียชีวิตด้วยสองสาเหตุได้แก่

  • Cytokine Storm หรือการที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองรุนแรงเกินไปต่อไวรัส ทำให้มันทำลายส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย
  • Pneumonia หรือการติดเชื้อในปอด
ทหารจำนวนมากล้มป่วยด้วยไข้หวัดสเปน

โรคระบาดลุกลาม

จากสถิติที่เก็บรวบรวมมาได้พบว่า ไข้หวัดสเปนสังหารผู้ติดเชื้อร้อยละ 20 ภายในสามสัปดาห์ เรื่องแปลกของไวรัสชนิดนี้คือมันมักเล่นงานผู้ที่มีสุขภาพดีด้วย บางรายงานอธิบายไว้ว่าส่วนใหญ่ไวรัสเล่นงานวัยรุ่นที่เพิ่งเป็นผู้ใหญ่เป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่เสียชีวิตร้อยละ 92 คือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี

หนึ่งในคำอธิบายคือ ภูมิคุ้มกันของคนรุ่นหนุ่มสาวดีกว่าผู้สูงอายุ ดังนั้นเมื่อเกิด Cytokine Storm ทำให้มันสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้อย่างรุนแรงมากกว่าภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุมาก

การระบาดของไข้หวัดสเปนรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในทั้งสหรัฐอเมริกาและในสมรภูมิในยุโรป ในสหรัฐอเมริกาสถานที่สาธารณะอย่างโรงภาพยนตร์ถูกสั่งให้ปิดทั้งหมดเพื่อหยุดการระบาด

ส่วนในยุโรปมีความพยายามที่จะปิดข่าว เพราะอยู่ในช่วงสงคราม และเกรงว่าทหารจะเสียขวัญ ทั้งๆที่ทหารนับล้านป่วยเป็นโรคนี้แล้ว ประเทศที่รายงานข่าวเรื่องโรคนี้ในยุโรปมีประเทศเดียวนั่นคือ สเปน เพราะเป็นประเทศที่เป็นกลางในช่วงสงคราม ดังนั้นโรคนี้จึงได้ชื่อว่า “ไข้หวัดสเปน”

ตำรวจในเมือง Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับคำสั่งให้สวมใส่หน้ากากเพื่อป้องกันเชื้อโรค

โรคนี้ได้ระบาดไปทั่วโลกในช่วงปี ค.ศ.1918-1919 เชื่อว่าในบริติชอินเดีย มีประชากรสิบกว่าล้านคนเสียชีวิต นับเป็น 5% ของประชากรทั้งหมด เช่นเดียวกับในอิหร่านที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีอย่างน้อยหนึ่งล้านคน หรือมากกว่า 10% ของประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตามในประเทศอย่างญี่ปุ่น แม้จะมีอัตราการติดเชื้อสูง แต่อัตราการเสียชีวิตกลับต่ำกว่าที่อื่น กล่าวคือจาก 23 ล้านคนที่ติดเชื้อมีผู้เสียชีวิตประมาณ 400,000 คน

ภายในเวลาสามปีของการระบาด ไข้หวัดสเปนได้สังหารชีวิตมนุษย์ไปถึง 100 ล้านคน มากกว่าผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายเท่า และทำให้มีผู้ติดเชื้อรวมแล้วถึงหมดประมาณ 500 ล้านคน

หนังสือเก่าๆ มีตลกร้ายว่า ทหารบางนายพยายามรักษาตัวให้รอดจากในสนามเพลาะที่โหดร้ายในช่วงสงคราม แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านที่เขาหวังจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เขากลับล้มป่วยและเสียชีวิตลงเพราะไข้หวัดสเปน

ความหวาดกลัวไข้หวัดสเปนทำให้สังคมมนุษย์แตกกระเจิง ผู้คนส่วนใหญ่เก็บตัวอยู่กับบ้าน ร้านค้าต่างปิดหน้าร้าน และให้ลูกค้ายื่นออเดอร์โดยใช้กระดาษเข้ามาเท่านั้น แม้ว่าในบางที่จะมีการระบาดเบาบางก็ตาม ตามถนนหนทางล้วนแต่ปราศจากผู้คน

สำหรับสถานที่ที่มีการระบาดรุนแรงนั้นมีปัญหายิ่งกว่า เพราะว่าร่างผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสมีมากเกินไปที่จะทำพิธีศพให้ได้ ทำให้พวกเขาถูกฝังลงใต้พื้นดินโดยปราศจากพิธีกรรมทางศาสนาและโลงศพ

หน่วย Red Cross เป็นหน่วยที่สำคัญยิ่งในช่วงไข้หวัดสเปนระบาด พวกเขานอกจากรักษาพยาบาลผู้ป่วยแล้ว พวกเขายังต้องจัดการกับร่างของผู้เสียชีวิตที่มีมหาศาลด้วย

หายไปอย่างลึกลับ

ปลายปี ค.ศ.1919 การระบาดของไข้หวัดสเปนกลับลดน้อยลง และหายไปโดยสิ้นเชิงโดยปราศจากร่องรอยในช่วงปลายปี ค.ศ.1920

ไม่มีใครทราบแน่ชัดอีกเช่นกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างกลายเป็นปริศนา ทฤษฎีที่พยายามอธิบายประเด็นดังกล่าวผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด หนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจอธิบายว่า ในเมื่อไวรัสดังกล่าวกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มันกลายพันธุ์เป็นไวรัสที่อันตรายน้อยลงในเวลาไม่นาน ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์จึงสามารถจัดการไวรัสได้อย่างง่ายดายในที่สุด

นักวิทยาศาสตร์ได้เก็บตัวอย่างของไวรัสตัวนี้ไว้ในห้องแล็บเพื่อใช้ศึกษามาจนทุกวันนี้ ในอนาคตเราอาจจะทราบมากขึ้นก็เป็นได้ว่าไวรัสที่น่ากลัวนี้มีความเป็นมาอย่างไร

วอร์ดในโรงพยาบาลทหารเต็มไปด้วยผู้ที่เจ็บป่วยจากไข้หวัดสเปน

Sources:

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!