ประวัติศาสตร์เอชไอวี (HIV) และเอดส์ (AIDS): โรคร้ายที่มาจากลิง

เอชไอวี (HIV) และเอดส์ (AIDS): โรคร้ายที่มาจากลิง

มักมีคำกล่าวขำๆ ใน Social Network ว่าการที่ต้องเลือกสิ่งหนึ่งระหว่างสองสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เปรียบได้กับการเลือกระหว่าง เอดส์ และ มะเร็ง

มะเร็งนี้ผมเคยเขียนประวัติของมันไว้แล้ว ท่านใดสนใจสามารถไปอ่านได้ ที่นี่

แล้วเอดส์ละคืออะไร?

โรคเอดส์นี้ทุกท่านน่าจะรู้จักกันนี้ AIDS ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndrome ตัวโรคมีชื่อภาษาไทยว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ด้วยความที่ Victory Tale ไม่ใช่แพทย์ ท่านที่ต้องการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับอาการต่างๆ วิธีการป้องกัน วิธีการตรวจสอบ วิธีการรักษา สามารถอ่านได้ที่ WebMD หรือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

จริงๆ แล้ว เอดส์เป็นขั้นสุดท้ายที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV (Human Immunodeficiency Virus) ดังนั้นแปลว่า การได้รับเชื้อไวรัส HIV ไม่ได้ทำให้เป็นเอดส์ทุกคนในทันที โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ยาต้านไวรัสมีประสิทธิภาพมาก ผู้ที่มีได้รับเชื้อจึงแทบไม่มีเชื้ออยู่ในระบบหมุนเวียนโลหิตเลย โอกาสเป็นเอดส์จึงเข้าใกล้ศูนย์

เรามาดูกันดีกว่า ว่าการระบาดของเชื้อโรคนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

เชื้อไวรัส HIV

ลิงในแอฟริกา

นักระบาดวิทยาได้ศึกษาหาต้นตอของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ในปี ค.ศ.1999 พวกเขาพบว่ามีสายพันธุ์หนึ่งของไวรัส SIV ซึ่งเป็นไวรัสในลิงชิมแปนซี ไวรัสที่ว่าคล้ายกับไวรัสเอชไอวี ในมนุษย์มาก ข้อสรุปที่ได้เริ่มแรกคือ ลิงชิมแปนซีน่าจะเป็นพาหะแพร่โรคนี้มาสู่มนุษย์

ต่อมาพวกเขาศึกษาว่า ทำไมไวรัส SIV ถึงพบในตัวลิงชิมแปนซี พวกเขาก็พบว่า ลิงชิมแปนซีได้ล่าลิงขนาดเล็กๆอื่นๆ สองชนิดมาเป็นอาหาร ทำให้พวกมันได้รับไวรัส SIV สองสายพันธุ์ด้วยกัน

ไวรัสทั้งสองตัวได้รวมตัวกัน และเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า SIVcpz ไวรัสตัวใหม่นี้สามารถถ่ายทอดกันระหว่างลิงชิมแปนซีด้วยกันได้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่ามันสามารถติดต่อมนุษย์ได้อีกด้วย

ลิงทั้งสามที่เป็นพาหะของเชื้อ HIV

ปัญหาคือ แล้วไวรัสนี้มันติดมายังมนุษย์ได้ยังไง?

นักระบาดวิทยาตั้งทฤษฎีหนึ่งขึ้นมาชื่อ ทฤษฎีนักล่าสัตว์ หรือ นายพราน

พวกเขาชื่อว่าน่าจะมีนักล่าสัตว์หรือนายพรานคนใดคนหนึ่งได้ล่าลิงชิมแปนซีที่มีเจ้าไวรัส SIVcpz นี้อยู่ ระหว่างการล่าสัตว์เชื่อได้ว่า พวกนักล่าน่าจะสัมผัสกับเลือดของพวกมันทางใดทางหนึ่ง เชื้อโรคเลยแพร่เข้าไปในบาดแผลตามตัวของเหล่านักล่า

หลังจากที่เชื้อไวรัส SIVcpz ได้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้ว มันก็จะขยายพันธุ์เล็กน้อย เกิดเป็นไวรัสตัวใหม่ที่ชื่อ HIV-1 ซึ่งเจ้าไวรัสนี้เองทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์อ่อนแอลง

เริ่มระบาดเมื่อใด

จริงๆ แล้วเอชไอวีเป็นเชื้อโรคที่ใหม่มากต่างกับเชื้ออื่นๆ ที่ให้กำเนิดโรคอย่างกาฬโรค ไข้ทรพิษ หรือ ไข้เหลืองที่ฆ่ามนุษย์มาแล้วมากมาย

เคสแรกที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็น HIV แน่ๆ คือ ชายคนหนึ่งในเมือง Kinshasa ในประเทศคองโก ไวรัส HIV ในตัวเขาถูกตรวจพบโดยการตรวจเลือดในปี ค.ศ.1959 หรือว่าไม่กี่สิบปีนี้เอง

นักระบาดวิทยาสำรวจต่อไปโดยการทำแผนผังการระบาดของโลก สุดท้ายพวกเขาก็พบว่า การระบาดของเชื้อ HIV น่าจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1920

แล้วมันระบาดไปทั่วโลกได้อย่างไร?

บริเวณ Kinshasa ในช่วงเวลานั้นมีธุรกิจค้าบริการที่กำลังเติบโต ตัวเมือง Kinshasa เองก็มีถนนหนทางที่จัดว่าดีในแอฟริกา ดังนั้นการระบาดจึงแพร่ไปในหมู่คนเดินทางที่ใช้บริการผู้หญิงบริการ

ด้วยความที่มันติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และมีระยะฟักตัวช้ามาก ทำให้มันติดต่อไปได้โดยที่ผู้ได้รับเชื้อไม่รู้ตัว ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่เทคโนโลยีการเดินทางก้าวหน้าแล้ว เชื้อ HIV จึงแพร่กระจายไปยังทุกทวีปในที่สุด

เมื่อเริ่มต้นทศวรรษ 1980 เชื่อกันว่า มีผู้ติดเชื้อ HIV ประมาณ 100,000-300,000 คน

สถานะโรคน่ากลัว

ในปี ค.ศ.1982 นักวิทยาศาสตร์อเมริกันค้นพบว่าเชื้อ HIV ติดต่อได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์ จากการศึกษาเคสกลุ่มชายรักร่วมเพศในรัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งปีต่อมา พวกเขาก็พบว่าเชื้อ HIV สามารถถ่ายทอดได้จากแม่สู่ลูกในครรภ์ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดได้จากอาหาร น้ำ การสัมผัส และ อากาศ

ช่วงทศวรรษ 80-90 มีการตื่นรู้เรื่องการติดเชื้อ HIV มากยิ่งขึ้นทั่วโลก ผลที่ดีคือ ทำให้สังคมตื่นตัวและระมัดระวังตนเองมากขึ้นเพื่อไม่ให้ติดโรค แต่ในทางกลับกัน การที่ยังไม่มีวิธีใดรักษาการติดเชื้อ HIV หรือ โรคเอดส์ให้หายขาดได้ทำให้เกิดกระแสหวาดกลัวโรคนี้ขึ้นมา อย่างเช่นคำกล่าวที่ว่า “เป็นแล้วต้องตาย”

ผลที่ตามมาคือสังคมมักแบ่งแยกและรังเกียจผู้ติดเชื้อ ประเทศไทยเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่มีปัญหาดังกล่าว

ในช่วงเวลานี้ไวรัส HIV ก็ยังแพร่กระจายไปเรื่อย แต่บริษัทยาต่างๆ ก็ได้เริ่มต้นผลิตยาต้านไวรัสชนิดต่างๆ ขึ้นมา เพื่อยับยั้งไวรัส และทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น

เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า

ในช่วงศตวรรษที่ 21 ยาต้านไวรัสตัวใหม่ๆ ถูกผลิตออกมาเรื่อยๆ แต่ละตัวมีความสามารถในการฆ่าเชื้อไวรัส HIV ที่ดีขึ้น การได้รับยาเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ HIV ได้

การติดเชื้อ HIV จึงไม่ได้น่ากลัวเช่นเดิมอีกต่อไป ผู้ที่ได้รับเชื้อ HIV ไม่จำเป็นต้องเป็นเอดส์ ถ้าได้รับยาตั้งแต่เนิ่นๆ และสม่ำเสมอ

ปัจจุบันผู้ติดเชื้อน่าจะมีประมาณ 35 ล้านคน แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในประเทศที่เข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็วอย่างประเทศพัฒนาแล้ว

ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอนาคต เราอาจจะพบวิธีรักษาการติดเชื้อ HIV และ โรคเอดส์ได้ในที่สุดก็เป็นได้

Sources: Avert

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!