ท่านสงสัยหรือไม่ว่าเพราะสาเหตุอะไรที่ประชาธิปไตยในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว เลือกที่จะให้ความสำคัญกับเสียงส่วนใหญ่ ยอมรับความเป็นไปได้ที่จะเกิดทรราชของคนหมู่มาก (Tyranny of the Majority) และก้าวข้ามประชาธิปไตยแบบโบราณซึ่งให้ความสำคัญกับทุกๆ เสียงไป
หนึ่งในสาเหตุคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มากแห่งหนึ่งในช่วงศตวรรษที่ 18 นั่นคือ Polish-Lithuanian Commonwealth หรือ อาณาจักรโปแลนด์-ลิทัวเนีย ผมขอเรียกสั้นๆว่า PLC อาณาจักรนี้ไม่ค่อยมีใครเคยได้ยินชื่อเลย เป็นอาณาจักรที่ถูกลืมอย่างแท้จริง
ปูมหลังของ PLC
PLC เกิดจากการที่ประมุขของอาณาจักรใหญ่สองอาณาจักรในยุโรปตะวันออกได้มีอภิเษกสมรสกัน (Personal Union) นั่นก็คือ อาณาจักรโปแลนด์และแกรนด์ดัชชีแห่งลิทัวเนีย ในช่วงศตวรรษที่ 14-15 ทั้งโปแลนด์และลิทัวเนียเป็นมหาอำนาจในยุโรปตะวันออกมีพื้นที่มากมาย ตามรูปด้านล่าง

ราชวงศ์ที่เกิดจากการสมรสของสองอาณาจักรก็คือราชวงศ์ Jagiellon ในสมัยของราชวงศ์นี้ กษัตริย์คนเดียวปกครองทั้งสองอาณาจักร (ทั้งสีแดงและสีชมพู) กองทัพโปแลนด์และลิทัวเนียสามารถเอาชนะมัสโควี (Muscovy) ซึ่งต่อมากลายร่างเป็นรัสเซียได้หลายครั้ง
แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1569 เมื่อ Sigismund กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ Jagiellon ไม่มีบุตรทั้งชายและหญิง ถึงแม้จะพระองค์จะอภิเษกสมรสถึงสามครั้งก็ตาม
Sigismund อยากจะให้ราชวงศ์สืบทอดต่อไปจึงเปลี่ยนระบบกษัตริย์ใหม่เป็นระบบที่เรียกว่า Elective Monarchy หรือ ระบอบเลือกกษัตริย์โดยการเลือกตั้ง และรวมอาณาจักรทั้งโปแลนด์และลิทัวเนียเข้าด้วยกันเป็นรัฐคู่ที่มีกษัตริย์ที่ได้รับเลือกมาปกครองแต่เพียงผู้เดียว
รัฐคู่นี้เองคือ Polish-Lithuanian Commonwealth หรือ PLC
สภา Sejm
ระบบเลือกกษัตริย์โดยการเลือกตั้งจริงๆก็ไม่ซับซ้อนอะไรนัก นั่นคือชายคนใดก็ได้ที่เป็นชนชั้นสูงในอาณาจักรและนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เขาสามารถที่จะมาเสนอตัวกับสภาชนชั้นสูงที่เรียกว่า Sejm
สมาชิกสภาดังกล่าวจะทำการเลือกคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเป็นกษัตริย์ นอกจากนี้เจ้าชายแห่งอาณาจักรอื่นๆ ยังมีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ของ PLC ได้อีกด้วย
ถ้าดูจากวิธีการก็ดูจะยุติธรรมดี เพราะถ้าเป็นลูกขุนนางธรรมดาก็อาจจะเป็นประมุขสูงสุดของประเทศได้ แต่นั่นมันในทางทฤษฎี ในความเป็นจริงพวก Sejm จะเลือกเฉพาะชนชั้นสูงที่มีอำนาจสูงมากในอาณาจักร หรือเจ้าชายจากต่างแดนเท่านั้น
วิธีการดังกล่าวทำให้สภา Sejm มีอำนาจมาก เพราะนอกจากจะเลือกกษัตริย์ได้แล้ว กษัตริย์ของ PLC ยังไม่สามารถผ่านกฎหมายใดๆได้ถ้าพวก Sejm ไม่ยินยอม ผลที่ตามมาคือพวก Sejm นี้มีอำนาจสูงสุดในทางปฎิบัติมากกว่ากษัตริย์
เหล่าสมาชิกสภา Sejm นี้ได้รับตำแหน่งมาจากการเลือกของสมาชิกสภาท้องถิ่นในแต่ละมณฑลของอาณาจักร แต่คนที่จะได้รับเลือกจะต้องเป็นชนชั้นสูงเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นชนชั้นสูงในระดับท้องถิ่นก็ได้
วิธีการปกครองของ PLC จึงจัดว่าเป็นประชาธิปไตยมากแบบหนึ่ง ถึงแม้ว่าเฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกสภา Sejm ก็ตาม แต่อย่าลืมว่าในตอนนี้อยู่ในศตวรรษที่ 16 เท่านั้นเอง ประเทศอื่นๆ แม้กระทั่งอังกฤษยังไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยเท่ากับ PLC เลย
การผ่านกฎหมายของ PLC ในช่วงแรกใช้ระบบเสียงส่วนมาก (Majority Voting) ฝ่ายใดมีผู้เห็นด้วยมากกว่าก็ถือว่าเป็นผู้ชนะ สภาก็จะออกเป็นกฎหมายตามมติเสียงส่วนใหญ่
ในช่วงร้อยปีแรกที่ใช้การปกครองแบบนี้ ปรากฎว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะพวกสมาชิกสภา Sejm ต่างคานอำนาจกันดี พวกเขาออกกฎหมายที่ให้เสรีภาพทางศาสนา ตรงกันข้ามกับอาณาจักรอื่นในยุโรปที่กำลังทำสงครามกันเนื่องจากความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างชาวคาทอลิกและโปแตสแตนท์
ดังนั้นดินแดน PLC จึงเปรียบเสมือนแดนสวรรค์ของผู้อพยพที่หนีตายจากการกวาดล้างทางศาสนา ในสงครามสามสิบปี PLC ก็ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม และยังยอมรับทุกเชื้อชาติศาสนาเข้ามาในดินแดนของตน ในช่วงดังกล่าวนี้นักประวัติศาสตร์จัดว่าเป็นยุคทองของ PLC ตัวอาณาจักรมีดินแดนและพลเมืองเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป
หากแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป สภา Sejm ก็เริ่มเดินไปผิดทาง ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ PLC ถูกลบหายไปจากแผนที่โลก
ระบอบฉันทามติ
การเดินไปผิดทางของสภา Sejm เกิดจากการเรืองอำนาจขึ้นมาของพวกชนชั้นสูง พวกเขานำหลักการเห็นเป็นเอกฉันท์ หรือ ฉันทามติ (Unanimity) ขึ้นมาใช้ แต่การใช้นั้นค่อนข้างสุดโต่งเพราะว่าได้ไปรวมกับสิทธิพิเศษของชนชั้นสูงของการวีโต้ในสภาที่เรียกว่า Liberum Veto
หลักการใหม่นี้มีวิธีการใช้อย่างไร?
หลักการใหม่นี้อนุญาตให้สมาชิกสภา Sejm คนใดก็ได้สามารถสั่งให้หยุดการประชุมของสภา และห้ามไม่ให้ข้อกฎหมายที่กำลังประชุมอยู่ผ่านได้ในทันที ถึงแม้ว่าจะมีแค่เสียงเดียวก็ตาม
คือเอาแบบง่ายกว่านั้นก็คือ ถ้านาย A เป็นสมาชิกสภา Sejm แล้วนาย A ไม่ชอบกฎหมายนี้ นาย A จะตะโกนว่า “หยุด ผมไม่ให้ผ่าน“
เพียงเท่านั้น กฎหมายใดๆที่พิจารณาอยู่ในสภาจะต้องตกไปทันที โดยที่สมาชิกคนอื่นไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะมีสมาชิกคนหนึ่งทำการคัดค้านไปแล้ว แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกฉันท์ เพราะฉะนั้นกฎหมายดังกล่าวจะผ่านไม่ได้
กฎหมายนี้มันเกิดขึ้นมาจากแนวคิดในสมัยศตวรรษ 17 ที่ว่าชนชั้นสูงชาวโปลเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นการผ่านกฎหมายควรจะต้องทำแบบที่ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ (Unanimously) หรือเป็นเอกฉันท์ ถ้าอาศัยเสียงส่วนมากเป็นหลักก็อาจจะละเมิดเสียงส่วนน้อยได้
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือในช่วงเวลาร้อยกว่าปีที่หลัก Liberum Veto ถูกใช้งานนั้น สภา Sejm แทบไม่สามารถผ่านกฎหมายใดๆ ได้เลย เพราะว่าจะมีคนใช้วิธีการนี้ยับยั้งไว้ตลอด พวกสภา Sejm เองก็เริ่มจะแตกแยกกัน ทำให้ไม่สามารถตกลงเลือกกษัตริย์เชื้อสายโปลิช-ลิทัวเนียขึ้นมาได้ แต่จำต้องเลือกราชนิกูลแคว้นอื่นขึ้นมาเป็นกษัตริย์ติดต่อกัน
ในเมื่อตกลงกันไม่ได้ว่าหนึ่งในพวกเราจะเป็นกษัตริย์ ให้ชาวบ้านมาเป็นแทนเลยดีกว่า ง่ายดี
นี่จึงเป็นปัญหาภายในของอาณาจักรที่เรื้อรังของ PLC ในระยะหลัง พอเข้าศตวรรษที่ 18 PLC เริ่มประสบกับการรุกรานครั้งใหญ่ อันเนื่องมาจาก อาณาจักรรอบข้างนั่นก็คือ ปรัสเซีย (Prussia), ออสเตรีย (Austria-Hungary) หรือแม้กระทั่งศัตรูเก่าที่ PLC ปราบได้อย่างรัสเซีย (Russia) ได้กลายเป็นมหาอำนาจ ทั้งสามอาณาจักรต่างต้องการดินแดนของ PLC ทั้งสิ้น PLC จึงถูกศัตรูล้อมจากทุกด้าน

วาระสุดท้ายของ PLC
ทั้งสามอาณาจักรล้วนแต่กลายเป็นมหาอำนาจเพราะการปฎิรูปแก้สิ่งที่ล้าสมัยออกไป ซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงปฏิรูปรัสเซีย เฟอเดอริกมหาราชปฏิรูปปรัสเซีย พระนางมาเรีย เทเรซาทรงปฏิรูปออสเตรีย
แต่ทว่าการปฏิรูปกลายเป็นสิ่งที่ PLC ทำไม่ได้ เพราะพวก Sejm ไม่เคยผ่านกฎหมายปฏิรูปได้เลย ถึงแม้กษัตริย์ PLC บางพระองค์จะทรงสนับสนุนอย่างมากก็ตาม สาเหตุก็มาจาก Liberum Veto นั่นเอง
เมื่อปราศจากการปฏิรูป PLC จึงอ่อนแอลงมากในทุกๆด้าน และเป็นคนป่วยที่แย่ยิ่งกว่าอาณาจักรออตโตมันที่ได้ชื่อว่าเป็นคนป่วยของยุโรปเสียอีก แต่ที่ไม่ได้รับการขนานนามเช่นนั้นน่าจะเพราะว่าพวกชาติมหาอำนาจในยุโรปคิดว่า PLC ไม่มีชีวิตแล้วนั่นเอง
หลังปี ค.ศ.1750 ประชาชนใน PLC ต่างเรียกร้องให้ปฎิรูปประเทศให้เข้มแข็ง และกษัตริย์ก็ทรงสนับสนุนอีกเช่นเคย แต่ทว่าพวกมหาอำนาจทั้งสามต่างเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Liberum Veto ด้วยการลักลอบติดสินบนพวกสมาชิกสภา Sejm การติดสินบนเพียงคนเดียวก็ทำให้กฎหมายปฏิรูปประเทศเป็นหมันได้แล้ว PLC จึงไม่มีวันที่จะปฏิรูปได้สำเร็จ
ในช่วงปี ค.ศ.1765 ได้มีการเรียกร้องให้ปฎิรูประบบการเมืองครั้งใหญ่ ภายใต้การนำของ Stanislaw II กษัตริย์พระองค์ใหม่ พระองค์ทรงริเริ่มการยกเลิก Liberum Veto ในกฎหมายบางฉบับ และนำระบบเสียงส่วนใหญ่กลับเข้ามาใช้ รวมไปถึงทำการปฎิวัติอุตสาหกรรมให้เข้มแข็ง
การเปลี่ยนแปลงประเทศให้เข้มแข็งของ PLC เป็นสิ่งที่มหาอำนาจทั้งสามมองดูอย่างไม่สบายใจ โดยเฉพาะรัสเซียที่มีอิทธิพลและผลประโยชน์มากที่สุดใน PLC ชาวรัสเซียเองตั้งแต่ซาร์ลงไปถึงประชาชนระดับล่างต่างไม่ปรารถนาให้ PLC เข้มแข็งเป็นหนามยอกอก

ชาติมหาอำนาจทั้งสามฝ่ายจึงตกลงเริ่มแผนการขั้นเด็ดขาดในการทำลาย PLC ด้วยการข่มขู่แบ่งแยกดินแดน โดยรัสเซียเป็นประเทศที่ลงแรงมากที่สุด
ซารินาแคทเทอรีนมหาราชทรงบังคับให้ PLC ตัดดินแดนจำนวนมหาศาล และยังประกาศอีกว่า PLC เป็นรัฐในอารักขาของรัสเซีย ในขณะที่ออสเตรียกับปรัสเซียก็ได้ดินแดนคนละนิดคนละหน่อย แต่ก็คุ้มเพราะไม่ได้ทำไรเลย
พวกสภา Sejm เห็นการคุกคามของรัสเซียเช่นนั้นก็หวาดกลัว ในปี ค.ศ.1791 PLC จึงรีบทำสัญญาพันธมิตรกับหนึ่งในมหาอำนาจอย่างปรัสเซีย โดยหวังจะให้ปรัสเซียเป็นไม้กันหมากันอีกสองมหาอำนาจไว้ในช่วงที่ PLC กำลังปฎิรูปประเทศ ในปีเดียวกัน PLC ก็ได้ยกเลิก Liberum Veto ออกไปจากกฎหมายของประเทศ
ซารินาแคทเทอรีนมหาราชแห่งรัสเซีย ทรงเห็น PLC ปฎิรูปประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัสเซีย และมิหนำซ้ำยังไปให้ปรัสเซียช่วยเหลือ พระนางจึงพิโรธใหญ่ ทรงมีรับสั่งให้กองทัพรัสเซียบุก PLC ในทันที
เมื่อกองทัพรัสเซียมาถึง พวก Sejm ก็ได้รู้ตัวว่าเสียค่าโง่ครั้งยิ่งใหญ่เพราะปรัสเซียทรยศไม่ช่วยเหลือ PLC ตามสนธิสัญญา พระเจ้าเฟดเดอริกวิลเลียมที่ 2 แห่งปรัสเซียทรงแอบไปต่อรองกับรัสเซีย เมื่อรัสเซียบุก PLC ปรัสเซียเองก็ไม่ได้ช่วยเหลือ ท้ายที่สุดรัสเซียจึงมอบดินแดนส่วนหนึ่งให้ปรัสเซียเป็นรางวัล
ทหารของ PLC อ่อนแอเพราะไม่ได้รบมานาน ดังนั้นถึงแม้จะต่อสู้อย่างเข้มแข็งก็สู้รัสเซียไม่ได้อยู่ดี ท้ายที่สุดทั้งปรัสเซียและรัสเซียจึงเข้ามาแบ่งดินแดน PLC ที่เหลือไปอีกและยกเลิกการปฎิรูปทั้งหมด เพียงเท่านั้น PLC ก็ทำอะไรไม่ได้ พวกสภา Sejm ได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาแห่งความเศร้าตัดดินแดนให้กับรัสเซียและปรัสเซีย
สองปีต่อมาบรรดาราษฎรชาวโปลใน PLC ต่างเจ็บแค้นกับเรื่องนี้มาก ความเกลียดชังของชาวโปลทั่วไปพุ่งเป้าไปที่พวกชนชั้นสูงในสภาที่ไร้ความสามารถ สุดท้ายแล้วพวกเขาจึงพากันก่อกบฎในประเทศต่อต้านอิทธิพลของชาวต่างชาติ ภายใต้การนำของ Tadeusz Kościuszko
ทั้งรัสเซียและปรัสเซียจึงใช้การกบฎของชาวโปลเป็นโอกาสในการส่งกองทัพเข้ามาทันที พวกกบฎถูกปราบปรามราบคาบในเวลาไม่นาน พวกชาติมหาอำนาจทั้งสามเห็นว่า PLC ไม่ควรจะมีสถานะเป็นประเทศอีกต่อไปแล้ว รัสเซีย ปรัสเซีย และออสเตรียจึงพากันแบ่งดินแดนของ PLC ที่เหลืออยู่
ในปี ค.ศ.1795 Polish-Lithuanian Commonwealth (PLC) ก็หายไปจากแผนที่โลก หลังจากที่สามชาติมหาอำนาจตกลงแบ่งดินแดนของ PLC ในครั้งที่สาม (Third Partition of Poland)
นั่นจึงเป็นบทสุดท้ายของอาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ การก้าวพลาดไปใช้หลักการอย่าง Liberum Veto เป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง นั่นทำให้หลักการเสียงส่วนใหญ่กลายเป็นหลักการหลักในประชาธิปไตยปัจจุบัน
โปแลนด์กลับมาได้เอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากตกอยู่ภายใต้มหาอำนาจทั้งสามอยู่นานกว่าร้อยปี ส่วนลิทัวเนียได้เอกราชเช่นกัน แต่ก็ถูกโซเวียตกลืนกลับเข้าไป จนกระทั่งได้เอกราชอีกครั้งหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย