สงครามอิมจิน (Imjin War) เป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก เพราะประเทศที่เข้าร่วมสงครามมาทั้งราชวงศ์หมิงของจีนและราชวงศ์โชซอนของเกาหลีฝ่ายหนึ่ง และต่อสู้กับญี่ปุ่นที่ในเวลานั้นอยู่ในการปกครองของฮิเดโยชิ โทโยโตมิอีกฝ่ายหนึ่ง โดยญี่ปุ่นนั้นเป็นฝ่ายรุกราน และยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในภูมิภาคเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 7 เลยครับ
เนื่องด้วยสงครามครั้งนี้มีชาวเกาหลี (หรือโชซอนในเวลานั้น) สิ้นชีวิตนับล้านคน ทำให้เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สำคัญมากในประวัติศาสตร์เกาหลี และมีส่วนที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศไม่ดีนักมาจนถึงปัจจุบัน
เรามาดูกันดีกว่าสงครามนี้มีปูมหลังเป็นอย่างไร
แรงปัจจัยของฝ่ายญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น (หรือ “วา (Wa)”) ในเวลานั้นเคยมีสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับแพ็กเจ หนึ่งในสามอาณาจักรโบราณของเกาหลี ดังนั้นเมื่อราชวงศ์ถังทำลายแพ็กเจในปี ค.ศ.661 จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงโปรดให้ยกทัพขนาดใหญ่ถึงกว่าสี่หมื่นคนข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยเหลือ แต่กลับถูกกองทัพเรือถังตีแตกยับเยินในยุทธนาวีแห่งแพ็กกัง ส่งผลให้ญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะความหวาดกลัวว่าจะถูกรุกรานเป็นเวลานานถึงหลายสิบปี
หลังจากนั้นญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์นอกประเทศอีก ด้วยเพราะปัญหาสงครามและความมั่นคงภายในที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ประกอบกับในเวลานั้นจีนเองก็เป็นมหาอำนาจที่มั่งคั่งและเข้มแข็งทางการทหาร ทำให้ญี่ปุ่นยากที่จะใฝ่ฝันที่จะรุกรานแผ่นดินมังกร
อย่างไรก็ดีสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ.1592 นั้นรวมเป็นปึกแผ่นอยู่ในอำนาจของฮิเดโยชิ ซึ่งมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ที่นอกเหนือจากญี่ปุ่นแล้ว เขาต้องการจะปกครองดินแดนจีนและเกาหลีด้วย แต่บ้างก็ว่าฮิเดโยชิต้องการทำปณิธานของโอดะ โนบุนากะ เจ้านายเก่าผู้ล่วงลับให้เป็นจริง หรือบ้างก็ว่าต้องการทำให้พวกไดเมียวในประเทศที่มีกำลังทหารอยู่มากมายอ่อนกำลังลง หรือไม่ก็ต้องการความสำเร็จเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีอีกมากมายที่อธิบายว่าทำไมฮิเดโยชิถึงต้องการรุกรานจีนและเกาหลีครับ
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญก็คือฮิเดโยชิเองมองว่าฝ่ายจีนและเกาหลีนั้นอ่อนแอ เพราะโจรสลัดญี่ปุ่นได้ปล้นสะดมเมืองชายทะเลของทั้งสองประเทศอย่างหนัก และรัฐบาลหมิงและโชซอนนั้นยังไม่สามารถปราบปรามพวกโจรสลัดได้อย่างเด็ดขาด ส่วนตัวฮิเดโยชิเองนั้นเพิ่งจะมีชัยในการศึก ดังนั้นจึงมั่นใจในเหล่าซามูไรเป็นพิเศษ
กำลังทั้งหมดของญี่ปุ่นในช่วงก่อนเริ่มสงครามครั้งแรกนั้นเชื่อว่าน่าจะมีประมาณ 500,000 คน (ทั้งซามูไรและอาชิการุ) แต่ยกไปตีเกาหลีทั้งหมดเลยก็คงไม่ได้ เพราะต้องใช้ประจำการรักษาปราสาทต่างๆ และป้องกันเหตุวุ่นวายภายใน ดังนั้นกำลังที่พอจะไปรุกรานเกาหลีได้น่าจะมีประมาณ 200,000 คนครับ
จีนและเกาหลี
จีนในช่วงที่เกิดสงครามนั้นอยู่ในรัชกาลของจักรพรรดิว่านลี่ จักรพรรดิที่ทรงมีชื่อเสียงว่าต้นดีปลายร้าย นั่นคือรัชกาลของพระองค์นั้นเริ่มต้นด้วยความรุ่งโรจน์ แต่เสื่อมถอยลงหลังจากที่พระองค์เริ่มละทิ้งราชการแผ่นดินในปี ค.ศ.1600 ซึ่งในช่วงที่ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีนั้น อยู่ในช่วงปลายยุครุ่งโรจน์พอดี
กองทัพหมิงนั้นแม้ว่าจะไม่ได้เกรียงไกรเหมือนกับต้นราชวงศ์ แต่ก็มีศักยภาพอยู่ไม่น้อย ทว่ากำลังส่วนใหญ่ต้องใช้ป้องกันชายแดนภาคเหนือจากอนารยชนเผ่าต่างๆ ตั้งแต่มองโกลไปจนถึงเผ่าอื่นๆ กองทัพหมิงนั้นน่าจะมีประมาณ 850,000 คน ซึ่งมากกว่ากองทัพญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ก็เหมือนกับญี่ปุ่นนั่นคือใช้ทั้งหมดในการศึกไม่ได้นั่นเอง
ฝ่ายเกาหลีนั้นไม่เคยเป็นมหาอำนาจในการทำศึกอยู่แล้ว กองทหารบกของโชซอนนั้นไร้ประสบการณ์แถมขวัญกำลังใจก็ต่ำ ซึ่งสาเหตุสำคัญคือโชซอนแทบจะไม่มีกำลังทหารประจำการแบบถาวร กล่าวคือรัฐบาลจะเกณฑ์ชายฉกรรจ์มาเป็นทหารเวลาที่มีสงครามเท่านั้น ถ้าถูกรุกรานนั้นโชซอนก็หวังว่าพี่ใหญ่อย่างราชวงศ์หมิงจะให้การช่วยเหลือนั่นเอง
อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นข้อด้อยของเกาหลีก็คือการคอรัปชั่นและปัญหาการบังคับบัญชาโดยรวม ไล่มาตั้งแต่กษัตริย์ซอนโจมาจนถึงระดับรัฐมนตรี แถมป้อมปราการต่างๆ ก็สร้างแบบไม่เสร็จสมบูรณ์เพราะร้างศึกมาเป็นเวลานาน ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องบูรณะซ่อมแซม รวมไปถึงบำรุงรักษาที่ถูกต้อง
ทว่าสิ่งหนึ่งที่เกาหลีแข็งแกร่งก็คือกองเรือ โดยเฉพาะเรือเต่าที่จะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการบดขยี้กองเรือญี่ปุ่นให้แหลกลาญไปครับ
การยาตราทัพ
ในปี ค.ศ.1592 ฮิเดโยชิได้เตรียมกองทัพและกองเรือขนาดใหญ่ได้แล้วเสร็จ โดยการรุกรานครั้งแรกนี้มีกำลังทหารญี่ปุ่นประมาณ 158,000 คน พร้อมด้วยกองหนุนพร้อมรบอีกประมาณ 21,000 คน การรุกรานครั้งนี้ถือว่าใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก่อนที่จะถึงช่วงศตวรรษที่ 20
ไดเมียวโคนิชิ ยูกินากะนำกองเรือญี่ปุ่นสี่ร้อยลำที่นำทหารมาประมาณ 19,000 คนนั้นมุ่งหน้าไปยังเมืองปูซาน เมืองท่าทางตอนใต้ของเกาหลี อันที่จริงกองเรือเกาหลีนั้นตรวจพบว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างประหลาดของกองเรือญี่ปุ่น แต่วอนกยุน (Won Gyun) กลับมองว่าเป็นเรือสินค้าทำให้ไม่ได้มีการสกัดกั้น กองทหารญี่ปุ่นจึงขึ้นฝั่งและตั้งหัวหาดได้โดยง่าย
ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นได้ยื่นคำขาดว่าให้ทหารในเมืองปูซานนั้นยินยอมให้ญี่ปุ่นยกกองทัพผ่านไปดินแดนจีนแต่โดยดี แต่แม่ทัพจองบัลที่รักษาเมืองอยู่กลับปฏิเสธ ทำให้ญี่ปุ่นทุ่มกำลังเข้าโจมตี
ในช่วงแรกนั้นญี่ปุ่นได้ทุ่มกำลังเข้าตีประตูเมืองด้านใต้ แต่ทหารในเมืองที่มีเพียงหกร้อยนายได้ต่อต้านอย่างแข็งแกร่ง ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียกำลังไปไม่น้อย ญี่ปุ่นจึงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีด้วยการไปตีประตูเมืองด้านเหนือแทน และขึ้นที่สูงเพื่อยิงปืนใหญ่และอาวุธปืนเข้าใส่ทหารเกาหลีที่ป้องกันเมือง
ฝ่ายเกาหลีนั้นยิ่งสู้ก็ยิ่งไม่เห็นทางชนะ เพราะทหารญี่ปุ่นมีมากกว่าหลายเท่า และอาวุธก็ดีกว่าด้วย (ทหารเกาหลีส่วนมากยังใช้ธนูอยู่เลย ณ เวลานั้น) ประกอบกับแม่ทัพจองบัลถูกกระสุนปืนญี่ปุ่นสิ้นชีวิต ทหารในเมืองจึงเสียกำลังใจ ทำให้ญี่ปุ่นเข้าเมืองได้สำเร็จ และได้สังหารราษฎรเกาหลีไปเป็นจำนวนหลายพันคนในเมืองครับ
หลังจากนั้นกองทัพใหญ่ของญี่ปุ่นก็ได้เดินทางมาที่ปูซาน โดยใช้ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับโจมตีหัวเมืองอื่นๆ ของเกาหลีทางตอนเหนือต่อไป ส่วนกองทัพหน้าของโคนิชิ ยูกินากะนั้นมุ่งหน้าไปยังป้อมตงแน (Dongnae Fortress) ป้อมที่ตั้งอยู่บนภูเขาที่คุมเส้นทางไปสู่เมืองฮันซอง (Hanseong) หรือโซล ซึ่งในเวลานั้นเป็นเมืองหลวงของโชซอน