ประวัติศาสตร์Dyatlov Pass Incident: การตายปริศนากลางหิมะที่ยังหาคำตอบไม่ได้

Dyatlov Pass Incident: การตายปริศนากลางหิมะที่ยังหาคำตอบไม่ได้

Dyatlov Pass Incident (Гибель тургруппы Дятлова) เป็นเหตุการณ์ที่นักสกีชาวรัสเซียจำนวนเก้าคนเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาดที่บริเวณช่องเขาแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเมืองเยกาเตรินเบิร์ก ประเทศรัสเซีย (เมืองเดียวกับเมืองที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวถูกปลงพระชนม์) ในปี ค.ศ.1959

เจ้าหน้าที่ไม่สามารถหาคำตอบใดๆ ได้ว่าพวกเขาทั้งเก้าคนตายเพราะสาเหตุอันใด เพราะหลักฐานที่มีอยู่คลุมเครือเกินกว่าที่จะสรุปได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ หรือ การฆาตกรรม การปิดคดีจึงจบลงแต่เพียงว่า “ไม่สามารถหาคำตอบได้”

ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นปริศนาอันดับ 1 ของประเทศรัสเซียว่าเกิดอะไรกับทั้งเก้าคนในคืนนั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างไรกันแน่?

การสูญหาย

ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1959 ครอบครัวของนักเล่นสกีทั้งเก้าคนแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า บุตรหลานของพวกเขายังไม่กลับจากการเทรกกิ้งที่ตอนเหนือของเมือง Sverdlovsk หรือ เยกาเตรินเบิร์ก (เมืองที่ครอบครัวซาร์ถูกสังหาร)

ทั้งๆ ที่ตามกำหนดการกลุ่มนักเล่นสกีจะต้องติดต่อมาตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ สาเหตุที่พวกเขาแจ้งเจ้าหน้าที่ช้าเช่นนี้ก็เพราะว่าการเทรกกิ้งมักมีการล่าช้าสองสามวันเป็นปกติ แต่การล่าช้าถึง 8 วันเป็นเรื่องที่ผิดสังเกตอย่างมาก

กลุ่มนักเล่นสกีทั้งเก้าล้วนแต่เป็นนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมวิทยุแห่งวิทยาลัยโปลีเทคนิคอูรัล หัวหน้าที่นำทีมไปชื่อว่า ไอกอร์ ดยัตลอฟ (Igor Dyatlov) สมาชิกในกลุ่มแต่เดิมมีสิบคน ชายแปดคน หญิงสองคน แต่ยูริ ยูดิน หนึ่งในสมาชิกในกลุ่มมีอาการปวดขาและข้อต่อ ทำให้ไม่ได้เดินทางไปด้วย เพราะฉะนั้นกลุ่มที่หายไปจึงมีแค่ 9 คน เท่านั้น

นักเล่นสกีกลุ่มนี้ไม่ใช่มือสมัครเล่น พวกเขามีประสบการณ์สูงมากในการเล่นสกีและการเทรกกิ้ง ทุกคนได้ประกาศนียบัตรการปีนเขาระดับ 2 และกำลังจะได้รับระดับ 3 (ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในสหภาพโซเวียต) เพราะฉะนั้นทุกคนจึงจัดว่ามีประสบการณ์สูง ไม่ใช่เป็นมือใหม่ที่จัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ไม่เป็น

ก่อนที่จะออกเดินทาง ดยัตลอฟ นักศึกษาที่เป็นหัวหน้าคณะได้บอกกับชมรมกีฬาว่า เมื่อพวกเขากลับมาถึงหมู่บ้าน Vizhai แล้ว ดยัตลอฟจะรีบส่งโทรเลขมาให้ชมรมกีฬาทราบทันที แต่กลับไม่มีโทรเลขใดๆ จากเขามาถึงชมรมกีฬาเลย

ชมรมกีฬาได้ส่งทีมออกไปค้นหาอยู่นานหลายวัน แต่ก็ยังไม่พบ ต่อมากองทัพโซเวียตและตำรวจได้เข้าร่วมการค้นหาด้วย เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์จำนวนมากถูกส่งขึ้นเพื่อบินหาคณะที่สูญหายไป

การค้นพบอันน่าฉงน

การค้นหาใช้เวลาเพียงหกวัน เจ้าหน้าที่ก็พบหลักฐานสำคัญ พวกเขาพบเต้นท์ของพวกเขาที่ถูกทิ้งร้างไว้บนยอดเขา Kholat Syakhl (แปลว่ายอดเขาแห่งความตายในภาษาท้องถิ่น) เต้นท์จะพวกเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เจ้าหน้าที่พบว่ามันถูกตัดออกจากด้านใน และถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภายในเต้นท์ไม่มีใครอยู่ แต่สิ่งของและรองเท้าของสมาชิกนักเล่นสกีถูกทิ้งเอาไว้ในเต้นท์ดังกล่าว

ใกล้กับเต้นท์ เจ้าหน้าที่พบรอยเท้าของคนแปดถึงเก้าคน จากการตรวจสอบพบว่า รอยเท้าเหล่านี้เป็นรอยเท้าของบุคคลที่ใส่เพียงถุงเท้า หรือ เท้าเปล่าเท่านั้น ทำให้มันสอดคล้องกับการพบรองเท้าภายในเต้นท์ รอยเท้าเหล่านี้ลากยาวไปไกลถึง 1.5 กิโลเมตร เข้าไปในแนวป่าซึ่งอยู่ตรงข้ามกับช่องเขา

ภาพเต้นท์ที่นักสำรวจพบ

เจ้าหน้าที่ติดตามรอยเท้าดังกล่าวไป และพบว่าใกล้กับบริเวณป่าไซบีเรียนไพน์ มีหลักฐานว่ามีกองไฟเล็กๆ เคยอยู่ที่นี่ ใกล้กับบริเวณนั้นมีร่างอยู่สองร่าง นั่นคือร่างของ คริโวนิสเชนโก และ โดโรเชนโก ทั้งสองร่างปราศจากรองเท้าและสวมใส่แต่กางเกงชั้นในเท่านั้น!

ความแปลกเกิดขึ้นทันที ทำไมนักเล่นสกีและนักเทรกกิ้งที่มีประสบการณ์กลับทิ้งรองเท้า และข้าวของไว้ในเต้นท์ และเดินออกมาข้างนอกที่มีอากาศเย็นจัด โดยสวมใส่แค่กางเกงชั้นในเท่านั้น

ใกล้กับบริเวณที่พบศพทั้งสอง เจ้าหน้าที่พบว่ากิ่งไม้บนต้นไม้หักลงจำนวนมาก จึงเป็นที่สันนิษฐานได้ว่า พวกเขาคนใดคนหนึ่งน่าจะปีนขึ้นไปเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ต่อมาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็พบศพอีกสามศพ ได้แก่ ดยัตลอฟ โคโมโกโรวา และ สโลโบดิน

ร่างของทั้งสามไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน แต่ห่างกันประมาณ 150-200 เมตร เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าพวกเขาน่าจะพยายามเดินทางกลับไปที่เต้นท์

เจ้าหน้าที่พบศพสมาชิกคณะเล่นสกีที่เหลือในอีกสองเดือนต่อมา แต่ความน่าฉงนก็เพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อสามในสี่ศพที่พบภายหลังกลับมีเครื่องแต่งกายที่จัดว่าดีกว่าห้าศพที่พบตั้งแต่แรก ศพของดูบินินาที่เป็นผู้หญิงสวมใส่เครื่องแต่งกายของ ควิโวนิสเชนโกอยู่

ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ว่า สามคนนี้ได้เสื้อผ้ามาจากเพื่อนคนอื่นที่ใส่แต่เพียงกางเกงใน แต่ทั้งหมดใส่รองเท้าไม่ครบ บางคนมีรองเท้าเพียงคู่เดียว หรือใส่แต่เพียงถุงเท้า

ศพทั้งหมดถูกนำไปตรวจสอบทางนิติเวชศาสตร์ ผลที่ได้ยิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตกตะลึงขึ้นไปอีก เพราะกระโหลกของหนึ่งในศพที่พบทีหลังได้รับความเสียหายอย่างมากจากแรงกระแทก ส่วนอีกสองศพที่พบทีหลังปรากฏชัดว่ามีแรงกระแทกเข้าที่หน้าอก แรงกระแทกที่ทำให้สภาพศพเป็นเช่นนี้ได้ต้องเทียบเท่ากับการถูกรถชนอย่างแรงเลยทีเดียว

หนึ่งในศพที่มีแรงกระแทกเข้าที่หน้าอกคือ ศพของผู้หญิงชื่อ ดูบินินา ศพของเธอแปลกประหลาดที่สุดเพราะลิ้น ดวงตา ส่วนของริมฝีปาก เนื้อเยื่อที่หน้าหายไป หากแต่ว่าศพที่เหลือล้วนแต่เสียชีวิตเพราะ Hypothermia หรือภาวะที่ร่างกายสูญเสียความร้อนเร็วเกินไป

ผลที่ออกมาทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่หัวหมุน เพราะไม่ทราบว่าจะเริ่มสอบสวนอย่างไรดี

การสอบสวนที่ยากลำบาก

เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบจากหลักฐานสำคัญอย่างไดอารี่และกล้องถ่ายรูปที่พวกเขาได้ทิ้งเอาไว้ในเต้นท์ กลุ่มนักเล่นสกีแต่ละคนได้บันทึกเหตุการณ์ทุกวันจนกระทั่งถึงวันที่เกิดเหตุ

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พวกเขาบันทึกไว้ว่าพวกเขาพบกับพายุหิมะทำให้พวกเขาเดินทางไปทิศตะวันตกจนถึงยอดของยอดเขา Kholat Syakhl ณ ที่แห่งนั้นพวกเขาจึงรู้ตัวว่ามาผิดทางเสียแล้ว พวกเขาตัดสินใจตั้งค่ายค้างคืนอยู่บนยอดนั้น

กระแสในช่วงแรกพุ่งเป้าไปที่ชนเผ่า Mansi ซึ่งเป็นชนเผ่าท้องถิ่นที่อยู่แถบนั้น พวกเขาอาจทำร้ายพวกนักเล่นสกีที่บุกรุกดินแดนของพวกเขา แต่เรื่องนี้ถูกปัดตกไป เพราะไม่มีร่องรอยอื่นของมนุษย์ที่อยู่ใกล้บริเวณเลย

ร่องรอยการต่อสู้ก็ไม่มี แรงกระแทกที่ทำต่อศพสามศพก็รุนแรงเกินกว่าที่จะเกิดจากมนุษย์โดยตรง พวกชาว Mansi เองก็เป็นเผ่าที่รักความสงบด้วย

เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เจ้าหน้าที่โซเวียตก็ยังไม่อาจจะปิดคดีได้ จนสุดท้ายต้องสรุปว่า พวกเขาตายเพราะ “พลังลึกลับที่รุนแรง”

สุสานของนักเล่นสกีทั้งเก้าคน

การที่รัฐบาลไม่สามารถปิดคดีได้ ทำให้ทฤษฎีต่างๆ เริ่มผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ตั้งแต่มนุษย์ต่างดาว การทดลองอาวุธของรัฐบาล เรื่องชู้สาว หิมะถล่ม ตัวเยติ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายมหาศาล มีหนังสือมากมายที่ถกเถียงกันในประเด็นเหล่านี้

ร่างของพวกเขาได้ถูกฝังลงในสุสานใกล้กับเมืองเยกาเตรินเบิร์ก ปัจจุบันช่องเขาที่พวกเขาสิ้นชีวิตได้รับการตั้งชื่อว่า ช่องเขาดยัตลอฟ ตามชื่อของหัวหน้ากลุ่มนักเล่นสกีที่จากไป

ในปี ค.ศ.2019 รัฐบาลรัสเซียได้เปิดการสอบสวนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โลกจะทราบคำตอบในท้ายที่สุดหรือไม่ว่าพวกเขาตายเพราะเหตุใด?

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!