ในปัจจุบันถ้าถามคนทั่วไปไม่ว่าจะประเทศไหนๆ ว่าภาษากลาง (Lingua Franca) ของโลก คืออะไร คงจะเดากันไม่ยากว่า คนส่วนใหญ่จะตอบว่าภาษาอังกฤษ
หากแต่ว่าท่านทราบหรือไม่ ภาษาอังกฤษเพิ่งจะแทนที่ภาษาฝรั่งเศสในฐานะภาษากลางของโลกเมื่อร้อยปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง
ภาษากลางยุคโบราณและยุคกลาง
ย้อนกลับไปที่สมัยจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) ภาษากลางที่ใช้กันในอาณาจักรก็คือ ภาษากรีก และ ภาษาโรมัน ส่วนในจีนก็ใช้ภาษาจีน ส่วนอินเดียก็มีภาษานับร้อยนับพัน
ดังนั้นเราน่าจะเรียกได้ว่า ในโลกยุคโบราณนั้นไม่มีภาษากลางแต่อย่างใด
หลังจากอาณาจักรโรมันตะวันตกล่มสลาย ดินแดนในยุโรปตะวันตกก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆในยุคกลาง หนึ่งในอาณาจักรที่เข้มแข็งและมีพลเมืองมากที่สุดของยุโรปก็คือ ฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสจึงเริ่มเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป
ในปี ค.ศ.1066 วิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) ได้ยกกองทัพนอร์มันจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองอังกฤษได้ หลังจากนั้นชนชั้นสูงของอังกฤษจึงใช้ภาษาฝรั่งเศสแบบนอรมันในการสื่อสาร และนี่เองเป็นที่มาของการที่คำในภาษาอังกฤษบางคำได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสมาเต็มๆ แต่ในโลกยุคนั้นก็ยังไม่มีภาษากลางอยู่ดี
ยุครุ่งเรืองของภาษาฝรั่งเศส
หลังจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ในปี ค.ศ.1634 พระคาร์ดินัลริเชลิว (Cardinal Richelieu) จัดตั้งสถาบัน Académie française ขึ้นเพื่อทำให้ภาษาฝรั่งเศสนั้นเป็นภาษามาตรฐาน และควบคุมการพูด และการเขียนภาษาฝรั่งเศสให้เป็นระเบียบแบบแผน

ด้วยเหตุนี้เองภาษาฝรั่งเศสจึงมีมาตรฐานมากกว่าภาษาอื่นที่ใช้กัน การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีระเบียบ ตรงประเด็น ไม่มีความหมายซ้อนกันไปมาเหมือนกับภาษาอื่น เช่น ภาษาอังกฤษ
ดังนั้นชนชั้นสูงโดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ในยุโรปจะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักในการสื่อสาร ปัญญาชนอย่างพวกนักปราชญ์ก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสโดยทั่วไป (เพราะฝรั่งเศสเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด Enlightenment) นอกจากนี้ภาษาฝรั่งเศสเองก็เป็นภาษากลางที่ใช้ในการต่อรองทางการทูต และกฎหมาย แทนที่ภาษาละตินตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา
หากแต่ว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ชาวฝรั่งเศสจำนวนมากถึง 75% ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสไม่ได้พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ จากผลการสำรวจพบว่าชาวฝรั่งเศสจำนวน 6 ล้านคนจากประชากร 28 ล้านคนไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศสเลย ในขณะที่อีก 6 ล้านคนไม่สามารถสื่อสารโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ ชาวดัชต์และชาวเยอรมันโดยทั่วไปกลับพูดฝรั่งเศสได้มากกว่าคนฝรั่งเศสเองเสียอีก!
หลังจากนโปเลียนได้ขึ้นสู่อำนาจ เขาได้ออกประมวลกฎหมายนโปเลียนขึ้น และได้สั่งให้มีการเผยแพร่ภาษาฝรั่งเศสให้กับชาวฝรั่งเศส ทำให้ชาวฝรั่งเศสนั้นสามารถพูดฝรั่งเศสได้มากยิ่งขึ้น

ในช่วงศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นช่วงที่ภาษาฝรั่งเศสได้รับความนิยมสูงสุด และเริ่มเผยแพร่ไปทั่วโลกจากการที่ฝรั่งเศสนั้นมีอาณานิคมอยู่ทุกทวีป หากแต่ว่าส่วนมากแล้วคนทั่วไปที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงหรือปัญญาชนก็มักจะพูดภาษาถิ่นของตนเองต่อไป เช่นคนรัสเซียธรรมดาก็พูดรัสเซียเป็นต้น ชาวสเปนทั่วไปก็พูดภาษาสเปน สำหรับสามัญชนทั่วไปจึงยังไม่มีภาษากลางขึ้นมา
เราอาจจะกล่าวได้ว่าภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษากลางเฉพาะสำหรับชนชั้นสูงและปัญญาชนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ภาษาฝรั่งเศสนั้นก็เผชิญกับคู่แข่งในไม่ช้า นั่นก็คือภาษาอังกฤษนั่นเอง
การเข้ามาของภาษาอังกฤษ
ในช่วงศตวรรษที่ 18 การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นที่อังกฤษเป็นที่แรก อังกฤษคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมาย ดังนั้นถ้าใครอยากจะเรียนรู้เทคโนโลยีเหล่านี้ไปเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษ ทำให้ภาษาอังกฤษเริ่มเป็นที่นิยมขึ้น
เมื่อยุคล่าอาณานิคมกำเนิดขึ้น อังกฤษหรือเกรทบริเตนได้กลายเป็นจักรวรรดิบริติช (British Empire) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชาวอังกฤษได้สร้างสถานีการค้าและมหาวิทยาลัยมากมายในดินแดนที่ตนเองยึดครองได้ ภาษาอังกฤษจึงเริ่มเป็นที่ใช้กันโดยทั่วไปในดินแดนแทบนั้น
นอกจากนี้เมื่อสหรัฐอเมริกา (อาณานิคมของอังกฤษ) ประกาศเอกราช และเริ่มเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจในโลก ชาติต่างๆมากมายจึงต้องการจะค้าขายกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ภาษาอังกฤษจึงเป็นที่ใช้กันโดยทั่วไปในทางการค้า ซึ่งแน่นอนว่าการค้านี้ไม่ได้ผูกขาดอยู่เพียงแต่ชนชั้นสูง การใช้ภาษาอังกฤษจึงแพร่หลายไปสู่ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างด้วยในส่วนต่างๆ ของโลก ต่างกับภาษาฝรั่งเศสที่ใช้กันในหมู่ปัญญาชนและชนชั้นสูงเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นภาษาที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง และสำหรับคนทั่วไปแล้ว เงินทอง (กินได้) สำคัญกว่า ปรัชญา (กินไม่ได้) ภาษาอังกฤษจึงเริ่มแย่งพื้นที่ของภาษาฝรั่งเศสในฐานะภาษากลางของโลกเรื่อยๆ
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 จบสิ้นลง สหรัฐอเมริกาได้กลายเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกอย่างเต็มตัว แทนที่อังกฤษและฝรั่งเศส ดังนั้นภาษาของชาวอเมริกัน หรือ ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นภาษากลางของโลกแทนที่ภาษาฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามภาษาฝรั่งเศสก็ยังคงใช้กันอยู่มากในทางการทูตและกฎหมาย รวมไปถึงประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส (เช่นในแอฟริกา)
หากแต่ว่าภาษาที่กำลังเป็นที่นิยมและมีผู้ใช้จำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษกำลังจะเดินตามรอยภาษาฝรั่งเศสไปหรือไม่ เราคงจะต้องดูต่อไปครับ