ประวัติศาสตร์มรณกรรมของมหาตมะ คานธี ศูนย์รวมจิตใจของชาวอินเดีย

มรณกรรมของมหาตมะ คานธี ศูนย์รวมจิตใจของชาวอินเดีย

มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) เป็นหนึ่งในวีรบุรุษคนสำคัญของประเทศอินเดีย และของโลก คานธีใช้หลักอหิงสาต่อต้านอังกฤษ และมีส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้อินเดียได้รับเอกราช ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทำให้คานธีเป็นผู้นำที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างมาก

แต่ทว่าหลังจากอินเดียได้รับเอกราชไม่นาน คานธีกลับถูกสังหารโดยมือสังหารชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?

คานธี

มูลเหตุของการสังหาร

อินเดียเป็นดินแดนที่ประกอบไปด้วยหลายศาสนิก อาทิเช่น ชาวฮินดู ชาวมุสลิม ชาวซิกข์ ชาวเชน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ศาสนิกที่มีจำนวนมากที่สุดคือ ชาวฮินดูและชาวมุสลิม

ความขัดแย้งของทั้งสองศาสนิกในอินเดียมีมานานหลายร้อยปีแล้ว เมื่ออังกฤษจะให้เอกราชแก่บริติชอินเดีย ความขัดแย้งเริ่มบานปลายเพราะปัญหาพรมแดนของประเทศเกิดใหม่อย่าง อินเดีย และปากีสถาน จนกลายเป็นการสังหารหมู่ที่โหดร้ายหลายแห่ง รวมๆ แล้วมีผู้เสียชีวิตสองแสนคน หรืออาจจะมากถึงสองล้านคนด้วยซ้ำไป

คานธีไม่ปรารถนาจะเห็นชาวฮินดูและชาวมุสลิมฆ่าฟันกัน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1947 คานธีใช้วิธี “อดอาหาร” เหมือนเดิมอย่างที่เขาเคยใช้ได้ผลมาแล้ว เพื่อประท้วงและทำให้ทั้งสองฝ่ายได้สติว่าควรจะหยุดเลิกฆ่าฟันกันเสียที

วิธีการของคานธีได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากชาวโลก และชาวอินเดียส่วนใหญ่ แต่ทว่าชาวฮินดูคลั่งศาสนาบางส่วนกลับรู้สึกไม่พอใจคานธี พวกเขารู้สึกว่าคานธีพยายามปกป้องชาวมุสลิม และปากีสถานที่เป็นศัตรูของอินเดีย

หลังจากนั้น ชาวฮินดูกลุ่มนี้มักมาตะโกนไล่ให้คานธีไปตายเสียที่หน้าบ้าน Birla ที่พำนักของคานธีในกรุงนิวเดลลี

ต้นปี ค.ศ.1948 อินเดียและปากีสถานทำสงครามกัน แต่ว่าอินเดียยังติดค้างเงินบางส่วนที่ต้องมอบให้กับปากีสถาน แต่รัฐบาลอินเดียก็เฉยเสีย เพราะว่าไม่อยากให้เงินดังกล่าวกับคู่สงคราม

คานธีไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของรัฐบาล เขาจึงใช้วิธีอดอาหารเพื่อกดดันรัฐบาลให้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับปากีสถานไป ผลที่ตามมาคือรัฐบาลอินเดียยอมปฏิบัติตามความต้องการของคานธี

สำหรับชาวฮินดูคลั่งศาสนาที่ได้ทราบข่าวนี้ต่างรู้สึกเกลียดชังคานธีมากขึ้นไปใหญ่ พวกเขาเห็นว่าคานธีกำลังใช้อิทธิพลที่เขามีอยู่สร้างผลร้ายกับอินเดีย ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องกำจัดวีรบุรุษของชาวอินเดียผู้นี้เสีย

คานธีถูกปองร้ายครั้งแรก

วันที่ 13 มกราคม ค.ศ.1948 คานธีเอ่ยว่าเขาฝันที่จะเห็นชาวฮินดู ชาวซิกข์ ชาวคริสต์ และชาวมุสลิมอยู่ด้วยกันอย่างสงบและเป็นหนึ่งเดียวในอินเดีย คานธีว่าเขาปรารถนาที่จะตาย ดีกว่าที่จะได้พบเห็นความพินาศของอินเดีย และศาสนาเหล่านี้โดยไม่สามารถช่วยเหลืออันใดได้

เจ็ดวันต่อมา ความพยายามในการสังหารของคานธีก็เริ่มต้นขึ้น พวกมือสังหารตามคานธีไปยังสวนสาธารณะที่เขากำลังปราศรัยอยู่ หนึ่งในพวกมือสังหารโยนระเบิดเข้าไปที่ด้านข้างของฝูงชนที่กำลังยืนฟังคานธี เสียงระเบิดดังสนั่นทำให้ผู้คนมากมายตื่นตระหนก ทุกคนแตกฮือกันไปคนละทาง เหลือแต่เพียงคานธีผู้เดียวเท่านั้นที่อยู่บนเวที

ตามแผนการที่ตกลงกันไว้ ระเบิดลูกแรกจะไม่ทำร้ายใคร แต่จะสร้างความวุ่นวายที่จะทำให้ฝูงชนหนีไป และทิ้งให้คานธีอยู่แต่เพียงผู้เดียวในบริเวณดังกล่าว หลังจากนั้นพวกมือสังหารจะปาระเบิดลูกที่สองเพื่อสังหารคานธีเสีย

หากแต่ว่าหนึ่งในมือสังหารที่รับหน้าที่ปาระเบิดลูกที่สองกลับไม่กล้าลงมือ เขากลับวิ่งหนีตามฝูงชนไปด้วย ทำให้พวกมือสังหารทุกคนต้องสลายตัวไป มีแต่เพียงหนึ่งในมือสังหารเท่านั้นที่ถูกตำรวจจับกุมไว้ได้

คานธีไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดขึ้นว่า

ถ้าฉันจะตายด้วยกระสุนของพวกคนบ้า ฉันจะต้องยิ้มรับมัน เพราะฉันไม่มีความโกรธอยู่เลย พระเจ้าต้องอยู่ในหัวใจและบนริมฝีปากของฉัน

คานธีรู้ตัวว่ากำลังจะตาย?

เช้าวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1948 มานู คานธี หลานสาวของคานธีได้บันทึกไว้ว่า ในเช้าวันนั้นคานธีฟังบทสวดภควัตคีตาตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำงานตามปกติ ในเวลาแปดโมงเช้า คานธีได้อาบน้ำและรับการนวดเฟ้นตามปกติ แต่สิ่งที่แปลกออกไปคือ คานธีได้บอกให้เธอดูแลตัวเองให้ดี เพราะสุขภาพของเธอไม่เหมือนกับเด็กสาวที่อายุ 18 ปีเลย

คานธีรับประทานอาหารกลางวัน พบปะกับผู้ที่มาเยี่ยม และนอนกลางวันจนถึงเวลาบ่าย หลังจากตื่นนอน มานูแจ้งคานธีว่ามีผู้นำจากเมือง Kathiawar สองคนต้องการจะพบเขา แต่คานธีกลับกล่าวเป็นลางว่า

บอกพวกเขาว่า ถ้าฉันยังมีชีวิตรอด พวกเขาสามารถคุยกับฉันได้หลังจากที่ฉันออกไปเดินสวดมนต์

หลังจากนั้นคานธีเดินออกจากบ้านที่พักไปกับ มานู และอับหา บุตรเลี้ยงของเขา ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น

วาระสุดท้ายของคานธี

คานธีมีกำหนดการจะเดินทางไปพบปะผู้คนและสวดมนต์ร่วมกัน เขา มานู และอับหาเดินไปอย่างช้าๆ ในสวนของบ้าน Birla บ้านที่เป็นที่พำนักของคานธี กลุ่มคนมากมายรอเขาอยู่แล้ว และห้อมล้อมคานธีเอาไว้ ทำให้เขาเดินทางมายังสถานที่สวดมนต์ช้ากว่ากำหนด

จุดที่คานธีถูกสังหาร By Wilson Loo Kok Wee – Flickr: Delhi, CC BY-SA 2.0,

ในเวลา 17.17 น. มีชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามาหาคานธี เขาดันฝูงชนที่ล้อมรอบคานธีอยู่ออกไป และเดินเข้ามาใกล้คานธีเรื่อยๆ เมื่อมานูเห็นเขาเข้า เธอพยายามดันเขาออกไป แต่เขากลับผลักเธอออกไปอย่างแรงทำให้สิ่งของที่เธอถือให้คานธีอยู่หล่นกระจายไปหมด

ชายผู้นั้นตรงเข้าไปที่คานธี เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย คานธีโบกมือทักทายเขาแบบปกติทั่วไป

เขากลับยิงคานธีในระยะเผาขนด้วยปืนเบเร็ตต้าจำนวนสามนัดที่บริเวณท้องและหน้าอก คานธีทรุดฮวบลงทันที เลือดอันมากมายไหลท่วมเครื่องแต่งกายสีขาวของเขา ในจังหวะนั้นบางหลักฐานว่า คานธีเอ่ยขึ้นว่า

ราม! ราม!

“ราม” ในที่นี้น่าจะเป็น “พระราม” หรือองค์อวตารของพระวิษณุในศาสนาฮินดูนั่นเอง

ผู้คนโดยรอบวิ่งเข้ามาหาคานธีทันที ทุกคนต่างกรีดร้องด้วยเสียงอันดัง ร่างของเขาถูกนำตัวกลับเข้าไปในบ้านที่พัก เรื่องแปลกก็เกิดขึ้น

ไม่ว่าคนรอบตัวคานธีจะพยายามโทรไปยังโรงพยาบาลสักเท่าใด พวกเขากลับไม่สามารถติดต่อหาแพทย์มาช่วยเหลือคานธีได้ ภายในบ้านก็มีแต่กล่องปฐมพยาบาลเบี้องต้นที่ไม่สามารถเยียวยาอาการของคานธีได้เลย

มานูและคนอื่นๆ จึงอ่านบทภควัตคีตาให้กับคานธี ราวกับว่าเป็นการส่งเขาไปยังสรวงสวรรค์ คานธีจากไปอย่างไม่มีวันกลับครึ่งชั่วโมงหลังจากถูกยิง คานธีมีอายุได้ 78 ปี

ชะตากรรมของมือสังหาร

มือสังหารพยายามจะปลิดชีพตนเองด้วยอาวุธปืน แต่ไม่เป็นผล เขาถูกฝูงชนรุมประชาทัณฑ์ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมตัวเขาเอาไว้ได้

จากการสอบสวน พบว่าเขาชื่อ นาธุราม โกสซ (ฺ์Nathuram Godse) หนึ่งในชาวฮินดูคลั่งศาสนา และผู้สนับสนุนพรรคฮินดูมหาสภา พรรคการเมืองขวาจัดในอินเดีย นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ขยายผลจับกุมผู้ให้ความร่วมมือด้วยอีก 7 คน

นาธุราม โกสซ

การตัดสินในชั้นศาลดำเนินไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ เชื่อกันว่าเพราะรัฐบาลกลัวจะถูกครหาว่าไม่สามารถปกป้องคานธีได้ดีพอ

โกสซถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ แม้บุตรชายสองคนของคานธีพยายามขอให้รัฐบาลอินเดียละเว้นโทษประหารชีวิตให้กับเขาก็ตาม แต่นายกรัฐมนตรีเนห์รูปฏิเสธ การประหารชีวิตเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1949

ผลที่ตามมา

การจากไปของคานธีเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชาวอินเดีย งานศพของเขาเป็นงานที่มีผู้เข้าร่วมแสดงความเสียใจหลายล้านคน ผู้นำทั่วโลกต่างแสดงความเสียใจมายังรัฐบาลอินเดีย

เนห์รูใช้การสังหารคานธีในการปรามพวกฮินดูคลั่งศาสนา ทำให้กระแสเกลียดชังระหว่างสองศาสนาในอินเดียลดลงไปมาก และเสียงสนับสนุนรัฐบาลสายกลางก็เพิ่มขึ้นด้วย การเสียสละของคานธีจึงไม่สูญเปล่าแต่อย่างใด

ปัจจุบันบ้าน Birla (Birla House) บ้านที่เคยเป็นที่พำนักของคานธี และเป็นจุดที่เขาสิ้นชีวิตด้วยได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์คานธี และเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมได้

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!