ประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรมความรักที่ภูเขาอามากิ: ความรักที่เป็นไปไม่ได้ของหนุ่มญี่ปุ่นและเจ้าหญิงแมนจู

โศกนาฏกรรมความรักที่ภูเขาอามากิ: ความรักที่เป็นไปไม่ได้ของหนุ่มญี่ปุ่นและเจ้าหญิงแมนจู

โศกนาฏกรรมความรักที่ภูเขาอามากิ (Love Suicide at Mount Amagi) เป็นเหตุการณ์ที่เคยโด่งดังไปทั่วโลกเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป เรื่องนี้ก็จางหายไปตามกาลเวลา

เรื่องที่ผมเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหญิงแมนจูและหนุ่มญี่ปุ่นผู้หนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นด้วยความรักที่เบิกบาน แต่สุดท้ายกลับลงเอยด้วยความเศร้าที่สุดจะพรรณนา

เรามาดูกันดีกว่าครับว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ภูเขาอามากิ by hanamai/shutterstock

เจ้าหญิงแมนจู

ในปี ค.ศ.1937 ผู่เจี๋ย อนุชาของผู่อี๋ (หรือปูยี) จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับซากะ ฮิโระ สตรีชนชั้นสูงชาวญี่ปุ่นที่มีสายเลือดของทั้งจักรพรรดิญี่ปุ่นและตระกูลฟูจิวาระของญี่ปุ่น แม้ว่าในตอนแรกการแต่งงานนี้จะเกี่ยวพันทางการเมือง (ญี่ปุ่นต้องการให้มีสายเลือดญี่ปุ่นในเชื้อพระวงศ์แมนจู) แต่ทั้งสองก็ครองรักกันอย่างหวานชื่น ภายในเวลาไม่นานซากะ ฮิโระก็ให้กำเนิดบุตรสาวสองคน ได้แก่ ฮุ่ยเชิง และหู้เชิง

เจ้าหญิงที่เกี่ยวพันกับโศกนาฏกรรมนี้คือเจ้าหญิงฮุ่ยเชิง แม้ว่าในเวลานั้นราชวงศ์ชิงจะล่มสลายไปแล้ว แต่ญี่ปุ่นได้แยกดินแดนแมนจูเรียออกจากจีน แล้วให้ผู่อี๋เป็นประมุขของประเทศ ดังนั้นครอบครัวของผู่เจี๋ยจึงมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ไปโดยปริยาย

ชีวิตในวัยเด็กของเจ้าหญิงนั้นเรียกได้ว่า perfect เธอได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี และได้รับความรักจากบิดามารดา จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1943 ที่ญี่ปุ่นมีทีท่าว่าน่าจะแพ้สงคราม ฮุ่ยเชิงจึงถูกส่งตัวกลับไปอาศัยกับคุณตาและยายของเธอซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น เพื่อที่จะได้รับการศึกษาอย่างดี และตัวเธอเองจะได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วย

ฮุ่ยเชิงเติบโตขึ้นมาเป็นคนสวย เธอมีจิตใจดีและเป็นมิตรกับทุกคน และเติบโตเป็นสตรีญี่ปุ่นที่อยู่ในกรอบประเพณีทุกกระเบียดนิ้ว ครอบครัวฝั่งมารดาของเธอได้ส่งให้เธอเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นตั้งแต่ระดับประถมและมัธยม ซึ่งเธอก็มีคนที่มีความสามารถมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านวรรณกรรมจีนและญี่ปุ่นที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษ

ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองนั้น พ่อ แม่ และน้องสาวของฮุ่ยเชิงล้วนแต่ถูกคุมขังในค่ายกักกันเชลยศึกในดินแดนจีน ซึ่งมารดาและน้องสาวถูกปล่อยตัวและส่งมายังญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1947 มีแต่เพียงบิดาของเธออย่างผู่เจี๋ยคนเดียวที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว และไม่สามารถติดต่อใดๆ กับครอบครัวได้

ฮุ่ยเชิงในวัยสิบกว่าขวบจึงร่างจดหมายและส่งไปยังโจวเอินไหล โดยเธอขอให้นายกรัฐมนตรีจีนอนุญาตให้ผู่เจี๋ยติดต่อกับครอบครัว จดหมายที่เธอเขียนนั้นเป็นภาษาจีนทั้งหมด และเขียนได้ดีเยี่ยม ทำให้โจวเอินไหลรู้สึกประทับใจและอนุญาตให้ตามคำขอ

หลังจากที่จบการศึกษาระดับมัธยมแล้ว ในปี ค.ศ.1956 ฮุ่ยเชิงได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยกะคุชูอิน (Gakushuin) วิทยาลัยนี้แต่เดิมเป็นวิทยาลัยสำหรับเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงเท่านั้น แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้เปิดให้นักเรียนทั่วไปเข้าศึกษาได้ด้วย ซึ่งที่นี่เองเป็นสถานที่ที่เธอพบกับเขา

ฮุ่ยเชิงและโอคุโบะ

หลังจากที่ฮุ่ยเชิงเข้าเรียนได้ไม่นาน เจ้าหญิงแมนจูผู้นี้ก็ได้พบกับทาเคมิชิ โอคุโบะ หนุ่มชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นบุตรชายของผู้บริหารของบริษัทรถไฟแห่งหนึ่ง ซึ่งบ้านของโอคุโบะนั้นก็มีฐานะดีพอสมควร แต่ชาติกำเนิดของเขาเป็นสามัญชนที่ไม่ได้เป็นชนชั้นสูง ดังนั้นศถานะของทั้งสองจึงต่างกันอย่างมาก หรือพูดง่ายๆ ถ้าวิทยาลัยกะคุชูอินไม่ได้เปิดรับให้ใครก็ได้เข้ามาเรียน ฮุ่ยเชิงไม่มีทางที่จะพบกับโอคุโบะได้เลย

นิสัยของโอคุโบะก็แตกต่างกับฮุ่ยเชิงอย่างมาก โดยเขาเป็นชายหนุ่มที่เงียบขรึมและเพื่อนน้อย และไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกมาเสียเท่าใดนัก แถมเขายังมีสำเนียงอาโอโมริแบบชัดเจน (คนโตเกียวจะมองว่าพูดไม่ชัด) ดังนั้นคนจึงไม่ค่อยกล้าเข้าหา มีแต่เพียงฮุ่ยเชิงเท่านั้นที่พูดคุยกับเขาอย่างเป็นมิตร ซึ่งนี่เองทำให้โอคุโบะตกหลุมรักฮุ่ยเชิงในไม่ช้า

ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าความรักของทั้งสองดำเนินไปอย่างไร สำหรับโอคุโบะแล้ว เขาเป็นคนที่รักใครแล้วรักจริง เขาจึงแสดงออกออกมาอย่างชัดเจนว่าเขารักฮุ่ยเชิง เขาถึงกับเคยเขียนจดหมายรักว่า “เขาพร้อมที่จะตาย ถ้าได้รักฮุ่ยเชิง” และเริ่มต่อยตีกับชายคนอื่นที่สนใจฮุ่ยเชิง

ในเวลาไม่นาน ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็รู้ไปถึงครอบครัวของฝ่ายหญิง เพราะวันนั้นฮุ่ยเชิงป่วย โอคุโบะที่รู้สึกเป็นห่วงและร้อนรนใจมากจึงเดินทางมาหาที่บ้าน และยืนกรานว่าจะขอพบฮุ่ยเชิงให้ได้ไม่งั้นจะไม่ยอมกลับ ซึ่งปรากฏว่าโอคุโบะต้องนั่งรอในห้องรับรองของบ้านฮุ่ยเชิงตลอดทั้งวัน แต่สุดท้ายแล้วซากะ ฮิโระ มารดาของฮุ่ยเชิงนั้นใจแข็งกว่า เขาจึงต้องยอมกลับไป

ความหนักแน่นของโอคุโบะนั้นไม่ได้ทำให้ซากะ ฮิโระรู้สึกดีในตัวเขา ในทางตรงกันข้าม เธอกลับมองว่าเธอจะต้องตัดขาดบุตรสาวจากโอคุโบะให้จงได้ แน่นอนว่าเพราะเรื่องสถานะมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยเรื่องที่ฮุ่ยเชิงเป็นหนึ่งในผู้มีโอกาสจะอภิเษกสมรสกับมงกุฎราชกุมารอากิฮิโต (ในเวลานั้น) เป็นอันดับสอง ตามมาด้วยนิสัยของโอคุโบะที่เธอได้เคยพบพานแล้วไม่ถูกใจเสียเท่าไรนักเป็นลำดับสาม

สำหรับฮุ่ยเชิงนั้น ความรู้สึกของเธอที่มีต่อโอคุโบะในช่วงนี้น่าจะยังไม่แน่ชัด เธอนั้นเรียนในโรงเรียนหญิงล้วนมาโดยตลอด และไม่เคยพบพานกับเพศตรงข้ามมาตลอด ทำให้เธอวางตัวไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก แต่ที่แน่ๆ เธอได้ส่งจดหมายกลับไปให้โอคุโบะขอให้เขาอย่างแสดงออกอะไรที่ดูเกินเลยไปนัก

อย่างไรก็ดีในปี ค.ศ.1957 ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะพัฒนาขึ้นไปอย่างลับๆ ทั้งสองแอบไปพบกันหลายครั้ง และน่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะคนรัก แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับการขัดขวางจากทั้งครอบครัว รวมไปถึงเพื่อนสนิทของเธอเอง ในปีนั้นทั้งสองน่าจะตกลงกันว่าจะแต่งงานกัน

โศกนาฏกรรม

การแต่งงานระหว่างฮุ่ยเชิงและโอคุโบะไม่สามารถรับได้โดยซากะ ฮิโระอยู่แล้ว แต่จุดนี้เองที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม ในวันที่ 2 ธันวาคม ปี ค.ศ.1957 ซากะ ฮิโระได้โต้เถียงกับทั้งฮุ่ยเชิงและโอคุโบะอย่างรุนแรง แน่นอนว่าเธอปฏิเสธที่จะให้บุตรสาวของเธอพัฒนาความสัมพันธ์กับโอคุโบะไปมากกว่านี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือบ้างก็ว่าตระกูลของโอคุโบะเองก็ไม่อนุญาตเช่นเดียวกัน

ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.1957 ฮุ่ยเชิงไม่ได้เดินทางกลับบ้านในตอนเย็นอย่างที่เคย ทำให้ทั้งครอบครัวรู้สึกกระวนกระวายใจมาก ซากะ ฮิโระจึงแจ้งตำรวจ ซึ่งก็ได้พบว่าคนที่หายไปเหมือนกันคือโอคุโบะ ดังนั้นจึงชัดเจนว่าทั้งสองหายไปด้วยกัน

การสืบสวนจึงดำเนินต่อไปจนกระทั่งหกวันต่อมา ตำรวจได้พบร่างของโอคุโบะและฮุ่ยเชิงนอนอยู่เคียงข้างกันใกล้กับภูเขาอมากิ (Mount Amagi) โดยศีรษะของฮุ่ยเชิงนั้นอยู่บนแขนซ้ายของโอคุโบะ โดยเธอได้สวมใส่แหวนทองคำไว้ด้วย ส่วนมือขวาอีกข้างหนึ่งของโอคุโบะนั้นจับปืนอยู่ โดยใกล้กันกับร่างของทั้งสองนั้นมีกระดาษที่ใส่เศษผมและเล็บของฮุ่ยเชิง ตามพิธีกรรมชินจู (Shinju) หรือการปลิดชีพตนเองเพราะความรักของญี่ปุ่น

ดังนั้นหลักฐานจึงชี้ให้เห็นว่าทั้งสองน่าจะเดินทางมาที่นี่ และจบชีวิตตนเองด้วยความรัก โดยโอคุโบะน่าจะเป็นฝ่ายยิงฮุ่ยเชิงก่อน หลังจากนั้นก็ปลิดชีพตนเองตามไป

การสูญเสียทั้งคู่สร้างความเจ็บปวดยิ่งกับครอบครัวของทั้งสองฝั่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ยอมให้ทั้งสองแต่งงานกัน แต่ก็ยินยอมให้ฝังร่างของทั้งสองไว้ด้วยกันในสุสานของตระกูลไอ้ซินเจียหลัวในญี่ปุ่น

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!