ประวัติศาสตร์วาระสุดท้ายของศากยวงศ์ พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้า ตอนจบ

วาระสุดท้ายของศากยวงศ์ พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้า ตอนจบ

ในตอนที่แล้ว วิฑฑูภะได้ลั่นวาจาว่าจะสังหารเจ้าศากยะให้สิ้นเพื่อล้างแค้นที่เคยดูถูกตน แต่ก่อนที่พระองค์จะทำเช่นนั้นได้ วิฑฑูภะต้องประสบกับปัญหาอย่างหนึ่งเสียก่อน

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบความว่าเจ้าศากยะย้อมแมวพระองค์ก็พิโรธอย่างหนัก พระองค์ทรงริบสิ่งของพระราชทานทั้งหมดที่เคยมอบให้กับพระนางวสาภขัตติยาและเจ้าชายวิฑฑูภะ หลังจากนั้นพระองค์จึงมอบสิ่งของที่เหมาะสมกับทาสและทาสีให้กับทั้งสองเพียงเท่านั้น

สามวันต่อมา พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ รวมไปถึงเรื่องที่พระองค์ทรงริบข้าวของของพระมเหสีและพระโอรสด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า

มหาบพิตร พวกเจ้าศากยะทำกรรมไม่สมควร, ธรรมดาเมื่อจะให้ ก็ควรให้พระธิดาที่มีชาติเสมอกัน; มหาบพิตร ก็อาตมภาพขอทูลพระองค์ว่า ‘พระนางวาสภขัตติยาเป็นพระธิดาของขัตติยราช ได้อภิเษกในพระราชมนเทียรของขัตติยราช, ฝ่ายวิฑูฑภกุมาร ก็ทรงอาศัยขัตติยราชนั่นแลประสูติแล้ว, ธรรมดาว่า โคตรฝ่ายมารดาจักทำอะไร (ได้), โคตรฝ่ายบิดาเท่านั้นเป็นสำคัญ

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔

สรุปแล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าชาติกำเนิดของพระมารดาไม่สำคัญใดๆ เลย หลังจากนั้นพระองค์ทรงตรัสกัฏฐหาริยชาดกซึ่งเป็นชาดกที่เกี่ยวข้องกับ พระราชาในเมืองพาราณสีที่มอบตำแหน่งพระอัครมเหสีให้กับหญิงยากจน เมื่อได้ฟังชาดกจบแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงคืนสิ่งของทุกอย่างให้กับพระมเหสีและพระโอรสตามเดิม

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงมีบุญคุณกับเจ้าชายวิฑฑูภะ ทำให้เจ้าชายเคารพนับถือพระพุทธองค์อย่างมาก อย่างที่จะได้ปรากฏต่อไป

พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเยี่ยมพระพุทธเจ้า Cr:
Biswarup Ganguly

ความผิดของพระราชา

หลังจากวันนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงครองราชย์อย่างเป็นสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง

ภายในเมืองสาวัตถี ถึงแม้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะปกครองอย่างเป็นธรรม แต่เสนาบดีที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงยังมีอยู่มาก เสนาบดีเหล่านี้ไต่สวนให้ผิดเป็นถูก ทำให้มีเจ้าทุกข์จำนวนมากที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเจ้าทุกข์เหล่านี้จึงเดินทางไปหาพันธุละเสนาบดีให้ช่วยเหลือ

พันธุละเสนาบดีเป็นคนเก่งกล้าทั้งบู๊และบุ๋น ที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นคนซื่อตรง เขาตัดสินคดีความใหม่ทั้งหมดอย่างยุติธรรม ผู้ที่กระทำผิดต่างได้รับโทษ ผู้ที่โดนฉ้อโกงต่างได้รับทรัพย์สินกลับคืนมา ประชาชนเมืองสาวัตถีแซ่ซ้องสาธุการกันยกใหญ่ จนความทราบไปถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล

พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงดีพระทัยยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงมอบตำแหน่งทางการตัดสินคดีความให้กับพันธุละเสนาบดีทั้งหมด และถอดถอนเสนาบดีที่ฉ้อโกง ตัดสินคดีอย่างไม่เป็นธรรมจนหมดสิ้น

พวกเสนาบดีที่เสียประโยชน์ต่างชิงชังพันธุละเสนาบดีเป็นอย่างมาก พวกคนเหล่านี้จึงใช้วิธีสกปรกใส่ความพันธุละเสนาบดีว่า พันธุละเสนาบดีปรารถนาที่จะเป็นกษัตริย์ ในเวลาไม่นานเรื่องก็ทราบไปถึง พระเจ้าปเสนทิโกศล

ถึงแม้พระเจ้าปเสนทิโกศลจะรับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามามากมาย พระองค์กลับเชื่อถือในคำยุยงของพวกเสนาบดีเหล่านั้น พระองค์จึงปรารถนาจะสังหารพันธุละเสนาบดีเสีย แต่ในพระทัยก็เกรงว่า ถ้าสังหารพันธุละเสนาบดีแล้ว พระองค์จะต้องคำครหาจากเหล่าประชาชน เพราะพันธุละเสนาบดีไม่มีความผิดใดๆ

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงแสร้งให้คนจำนวนหนึ่งเข้าโจมตีเมืองชายแดน หลังจากนั้นพระองค์จึงสั่งพันธุละว่าให้ไปปราบโจรกลุ่มนี้ เมื่อพันธุละปราบโจรได้สำเร็จแล้วและกำลังเดินทางกลับมายังเมืองหลวง พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงสั่งให้ทหารหลวงดักซุ่มโจมตีขบวนของพันธุละเสนาบดีและบุตร พันธุละเสนาบดีและบุตรชายทั้งหมด 32 คนล้วนแต่ถูกสังหารจนหมดสิ้น

หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบความจริงว่า พันธุละเสนาบดีไม่มีความผิด พระองค์ก็สลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนนางมัลลิกา ภรรยาของพันธุละที่สูญเสียบุตรชายไปถึง 32 คน นางมัลลิกาทูลขออนุญาตให้นางได้ไปส่งลูกสะใภ้ทั้ง 32 คน กลับไปยังบ้านของนาง พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงอนุญาต

ในเวลานั้นหลานชายของพันธุละชื่อ ทีฆการายนะยังมีชีวิตอยู่ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้แต่งตั้งให้เขาเป็นเสนาบดี เมื่อพันธุละเสนาบดีและลูกทั้ง 32 คน ถูกสังหารโดยมิชอบเช่นนั้น ทีฆการายนะได้โกรธแค้นพระเจ้าปเสนทิโกศลอย่างมาก เขาตั้งตารอที่จะล้างแค้นแทนลุงของเขาอยู่ตลอดเวลา

วิฑฑูภะได้ราชสมบัติ

ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ไม่กี่ปี ทีฆการายนะได้ติดตามพระเจ้าปเสนทิโกศลไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นิคมเมทฬุปะของเจ้าศากยะ ระหว่างการเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฝากเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งห้าไว้กับทีฆการายนะแต่เพียงผู้เดียว

ฝ่ายทีฆการายนะเห็นเป็นโอกาส เขารีบนำกองทัพทั้งหมดเดินทางกลับสาวัตถี และประกาศให้วิฑฑูภะขึ้นเป็นกษัตริย์ทันที ส่วนพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น ทีฆการายนะได้ทิ้งม้าตัวหนึ่งและนางกำนัลหนึ่งนางไว้ที่นั่นเพื่อบอกเรื่องทั้งหมดแก่พระองค์

เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ไม่เห็นผู้ใดอยู่ภายนอก พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบจากนางกำนัลว่า พระองค์ถูกทีฆการายนะเล่นงานเข้าเสียแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงรีบเร่งเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ทันที โดยพระองค์ปรารถนาจะยืมกองทัพของพระเจ้าอชาตศัตรูเพื่อยกไปปราบพระโอรสของพระองค์เอง

หากแต่ว่าพระองค์เสด็จมาถึงราชคฤห์ก็เย็นแล้ว ประตูเมืองจึงปิดไปแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเหนื่อยอ่อนจำต้องพำนักที่ศาลาแห่งหนึ่งนอกเมือง ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและชราภาพ พระเจ้าปเสนทิโกศลสวรรคตที่หน้าประตูเมืองราชคฤห์นั่นเอง พระเจ้าอชาตศัตรูโปรดให้จัดงานเผาพระสรีระอย่างยิ่งใหญ่

ด้วยเหตุนี้ราชสมบัติจึงตกอยู่กับวิฑฑูภะโดยสมบูรณ์ เจ้าชายวิฑฑูภะจึงกลายเป็นพระเจ้าวิฑฑูภะ กษัตริย์แห่งอาณาจักรโกศล

พระพุทธรูปศิลปะคันธาระ

พระพุทธเจ้าทรงช่วยเหลือพระญาติ

เมื่อพระเจ้าวิฑฑูภะได้ราชสมบัติแล้ว พระองค์ก็ปรารถนาจะยกกำลังไปตีกรุงกบิลพัลดุ์ให้วอดวาย กองทัพทั้งหมดถูกจัดขึ้นและยกไปกรุงกบิลพัลดุ์ทันที

เช้าวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าพระเจ้าวิฑฑูภะกำลังนำกองทัพไปสังหารพระญาติวงศ์ของพระองค์เอง พระพุทธเจ้าดำริว่าพระองค์ควรจะกระทำ “ญาติสังคหะ” หรือการช่วยเหลือพระญาติ พระองค์เสด็จไปโดยไวไปยังหน้ากรุงกบิลพัลดุ์ (พระไตรปิฎกว่าเหาะไป)

พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับที่โคนไม้แห่งหนึ่งโดยไม่มีร่มเงาใดๆ เลย ฝ่ายพระเจ้าวิฑฑูภะยกกองทัพมาถึง เมื่อพระองค์เห็นเข้า พระเจ้าวิฑฑูภะเข้าไปถวายบังคมพระพุทธเจ้า การสนทนาระหว่างทั้งสองพระองค์เริ่มต้นขึ้น

วิฑฑูภะ: ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงประทับนั่งแล้วที่โคนไม้เงาปรุโปร่งนี้ ในเวลาร้อน เห็นปานนี้, ขอพระองค์โปรดประทับนั่งที่โคนไทร มีเงาอันสนิทนั่นเถิด พระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้า: ช่างเถิด มหาบพิตร, ชื่อว่าเงาของหมู่พระญาติเป็นของเย็น

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น พระเจ้าวิฑฑูภะก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทรงมาเพื่อช่วยเหลือพระญาติวงศ์ พระองค์จึงทรงยกทัพกลับไปเพราะเกรงพระทัยองค์พระพุทธเจ้า

เรื่องเป็นแบบนี้ไปอีกสองครั้ง เมื่อพระเจ้าวิฑฑูภะยกทัพมาใหม่ พระพุทธเจ้าก็เสด็จมานั่งที่นี่อีก พระเจ้าวิฑฑูภะก็ถอยทัพกลับไปอีก รวมแล้วสามครั้งที่เป็นเช่นนี้

หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าวิฑฑูภะก็เสด็จมาอีกเป็นครั้งที่สี่ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าไม่อาจจะห้ามปรามได้อีกต่อไป พระองค์จึงทรงวางอุเบกขา

ในคัมภีร์พุทธอธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นจากญาณของพระองค์ว่า พวกเจ้าศากยะเคยโปรยยาพิษลงในแม่น้ำทำให้ปลาจำนวนมากตายลง ในครั้งนี้กรรมดังกล่าวจึงมาสนองพวกเจ้าศากยะ พระพุทธเจ้าเองก็มิอาจจะห้ามผลของกรรมได้ พระองค์จึงจำต้องแสดงอุเบกขาในที่สุด

พระเจ้าวิฑฑูภะฆ่าพวกศากยวงศ์

กองทัพของพระเจ้าวิฑฑูภะยกเข้ามาประชิดกรุงกบิลพัลดุ์ หลักฐานพุทธอ้างว่าพวกเจ้าศากยะไม่ทำการต่อสู้เพราะว่า

พระญาติทั้งหลายของพระสัมมาสัมพุทธะ ชื่อว่าไม่ฆ่าสัตว์ แม้จะตายอยู่ก็ไม่ปลงชีวิตของเหล่าสัตว์อื่น 

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔

อ่าวงงละสิ บรรทัดก่อนหน้านี้เพิ่งเขียนว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นบุพกรรมว่าพวกเจ้าศากยะเหล่านี้เคยวางยาพิษลงในแม่น้ำ นั่นก็แปลว่าฆ่าสัตว์เห็นๆ นี่นา แต่พระพุทธเจ้าอาจจะทรงหมายความถึงชาติก่อนของเจ้าศากยะก็เป็นไปได้

กองทัพพระเจ้าวิฑฑูภะบุกเข้าไปในกรุงกบิลพัลดุ์ได้สำเร็จ พระเจ้าวิฑฑูภะสั่งว่าให้ฆ่าทุกคนที่เป็นเจ้าศากยะ ยกเว้นแต่คนที่อยู่ในห้องเดียวกับพระเจ้ามหานามเท่านั้น ส่วนประชาชนคนอื่นก็ไม่ได้สั่งให้แตะต้องใดๆ

พวกเจ้าศากยะบางคนเข้าไปซุ่มซ่อนปะปนกับประชาชนบ้าง บางคนก็ไปฉวยเอาหญ้าบ้าง ไม้อ้อบ้างมาถือ เมื่อถูกทหารของพระเจ้าวิฑฑูภะถามว่าเป็นเจ้าศากยะหรือไม่ เจ้าศากยะตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าศากยะ, หญ้า” หรือ “ไม่ใช่เจ้าศากยะ, ไม้อ้อ

พูดง่ายๆ เจ้าศากยะพวกนี้เรียกตนเองว่า “เจ้าศากยะหญ้า” กับ “เจ้าศากยะไม้อ้อ”ดังนั้นพวกนี้เล่นคำว่าไม่ใช่ “เจ้าศากยะ” แบบ Pure เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงตอบว่าไม่ได้เป็นเจ้าศากยะ สุดท้ายแล้วพวกเจ้าศากยะเหล่านี้รอดตายไปได้

หลักฐานพุทธอ้างว่าที่พวกเจ้าศากยะทำเช่นนี้เพราะ “เจ้าศากยะเหล่านั้น แม้จะตายก็ไม่พูดคำเท็จ” เลยใช้การเล่นคำเพื่อเอาชีวิตรอด ประเด็นนี้เราเห็นชัดว่าไม่จริง การเล่นละครหลอกพระเจ้าปเสนทิโกศลไม่ใช่การกล่าวคำเท็จหรืออย่างไร?

ถึงกระนั้นเจ้าศากยะที่ไว้ลายวรรณะกษัตริย์ก็มีเป็นส่วนใหญ่ พวกเขายอมรับว่าเป็นเจ้าศากยะ ทุกคนที่ยอมรับต่างถูกทหารของพระเจ้าวิฑฑูภะสังหารจนหมดสิ้น แม้แต่ทารกก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย แม่น้ำที่ไหลผ่านกรุงกบิลพัลดุ์กลายเป็นสีเลือด

พระเจ้าวิฑฑูภะได้ทรงปฏิบัติตามคำสาบานแล้วการนำเลือดที่คอพวกเจ้าศากยะมาล้างแผ่นกระดานที่พวกเจ้าศากยะเคยให้ล้างด้วยน้ำนม

สำหรับฉบับประวัติศาสตร์ไม่มีเรื่องอะไรเช่นนี้ พระเจ้าวิฑฑูภะได้ฆ่าล้างศากยวงศ์ทั้งหมดในกรุงกบิลพัลดุ์ และยังยกไปทำลายโกลิยวงศ์ด้วย พระญาติวงศ์ของพระพุทธเจ้าทั้งฝั่งบิดาและมารดาจึงถูกสังหารเกือบทั้งหมด ถึงกระนั้นได้มีศากยวงศ์จำนวนหนึ่งน่าจะหนีรอดไปได้

เหตุการณ์นี้ค่อนข้างคลุมเครือว่าเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะอรรถกถาอธิบายว่า พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ และตรัสเรื่องนี้กับพระสงฆ์สาวก

แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พวกเจ้าศากยะจะมาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะพวกตนถูกทำลายราบคาบไปแล้ว หรืออาจจะเป็นพวกที่รอดชีวิตมาขอแบ่งกระมัง

ชะตากรรมของพระเจ้ามหานาม

สำหรับพระเจ้ามหานาม พระเจ้าวิฑฑูภะโปรดให้อัญเชิญเสด็จมาเสวยอาหารเช้าด้วย แต่พระเจ้ามหานาม ผู้ที่หลักฐานพุทธว่าเป็นพระอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน แล้วกลับตั้งแง่รังเกียจไม่ยอมเสวยร่วมกับพระเจ้าวิฑฑูภะ โอรสของนางทาสี

พระเจ้ามหานามดำริว่าถ้าพระองค์ปฏิเสธ พระเจ้าวิฑฑูภะน่าจะปลงพระชนม์พระองค์เสีย พระองค์จึงปรารถนาที่จะฆ่าตัวตาย พระเจ้ามหานามทูลขอว่าจะทรงอาบน้ำ พระเจ้าวิฑฑูภะก็ทรงอนุญาต

ในช่วงที่พระเจ้ามหานามอาบน้ำ พระองค์ได้สยายผมของพระองค์ออก และใช้หัวแม่เท้าผูกเข้ากับผมสยายยาวของพระองค์ โดยหวังจะให้พระองค์สวรรคตด้วยการจมน้ำเสีย พระไตรปิฎกเถรวาทอ้างว่าพระองค์ทรงรอดชีวิตไปได้ เพราะพญานาคให้การช่วยเหลือ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้

หลักฐานมหายานอธิบายแตกต่างกันออกไป ในหลักฐานนี้ พระเจ้ามหานามได้ทูลขอให้พระเจ้าวิฑฑูภะทรงอนุญาตให้พวกศากยะหนีไปโดยปราศจากการฆ่าฟันในช่วงเวลาที่พระเจ้ามหานามทรงอยู่ใต้น้ำ

หลังจากพระเจ้าวิฑฑูภะอนุญาต พระเจ้ามหานามจึงผูกผมของพระองค์ไว้กับพืชใต้น้ำ การเสียสละของพระเจ้ามหานามทำให้พวกศากยะจำนวนมากหนีรอดไปได้ เพราะกว่าพระเจ้าวิฑฑูภะจะทราบว่าพระเจ้ามหานามสวรรคตแล้วด้วยการจมน้ำก็ใช้เวลานานโขอยู่

เคสนี้น่าสนใจมากเพราะหลักฐานพุทธรายงานตรงกันว่า พระเจ้ามหานามเป็นพระโสดาบัน แล้วพระองค์ทรงฆ่าตัวตาย (อันเป็นบาปหนัก) ได้อย่างไร?

บั้นปลาย

พระไตรปิฎกเล่าว่าพระเจ้าวิฑฑูภะได้ถูกน้ำท่วมสวรรคตหลังจากที่สังหารพวกเจ้าศากยะ แต่ในฉบับประวัติศาสตร์ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น พระเจ้าวิฑฑูภะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไปอย่างเฉยๆ อาณาจักรของพระองค์ได้ผนวกเข้ากับอาณาจักรมคธของพระเจ้าอชาตศัตรูในเวลาต่อมา

หลังจากนั้นได้มีบุคคลหลายกลุ่มอ้างว่าเป็นศากยวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากพระพุทธเจ้า เราไม่อาจจะชี้ชัดได้เลยว่า พวกเขาเป็นลูกหลานศากยวงศ์จริงๆ หรือไม่ หรือว่าอาจจะเป็นการสวมรอยที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากว่า 2,000 ปี สิ่งที่แน่ชัดคือศากยวงศ์ได้ถูกทำลายอย่างถอนรากถอนโคนไปแล้วในช่วงพุทธกาล

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!