เธอเคยเป็นสาวในฝันของชายหนุ่มทั่วโลก เธอเป็นดาวค้างฟ้าผู้มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล เธอเป็นแบบฉบับแห่งความเซ็กซี่ ด้วยใบหน้าที่งดงาม ผมบลอนด์ และเรียวขาที่ทรงเสน่ห์ เธอเป็นสัญลักษณ์ของกามารมณ์ (Sex Symbol) มาอย่างยาวนาน ถึงแม้เธอจะล่วงลับไปแล้วกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม
เธอผู้นี้คือ มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe)
มาริลินวัยเยาว์
มาริลิน มอนโรเกิดเมื่อปี ค.ศ.1926 ภายใต้ชื่อว่า Norma Jeane Mortenson เธอเกิดในครอบครัวที่ไม่ดีนัก แม่ของเธอมีนิสัยมากชู้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบว่าพ่อที่แท้จริงของเธอนั้นคือใคร
แม่ของมาริลินมอบเธอให้สามีภรรยาครอบครัวโบเลนด์เดอร์ (Bolender) เป็นผู้เลี้ยงดูเธอระหว่างที่เธอไปทำงาน แม่ของเธอมักจะมาเยี่ยมเธอในช่วงวันหยุด และพาเธอไปชมภาพยนตร์ในเมืองลอสแองเจลิส
ครอบครัวโบเลนด์เดอร์ต้องการจะรับมาริลินเป็นบุตรบุญธรรม แต่แม่ของเธอกลับปฎิเสธ เมื่อมาริลินอายุได้ 6 ขวบ แม่ของเธอก็คิดว่าเธอสร้างฐานะได้เพียงพอที่จะเลี้ยงมาริลินได้ เธอจึงพามาริลินไปอยู่กับเธอในบ้านพักแห่งหนึ่งในฮอลลีวู้ด
หากแต่ว่าไม่นาน แม่ของมาริลินกลับมีอาการของโรคทางจิตเวชอย่าง Paranoid Schizophrenia ทำให้เธอต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่เสมอ และเป็นผู้ไร้ความสามารถ มาริลินจึงต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้พิทักษ์ตามกฎหมาย
เกรซ ก็อดดาร์ด เพื่อนของแม่เธอจึงเป็นผู้ดูแลเธอ เธอส่งมาริลินไปอยู่กับครอบครัวที่รับเด็กมาเลี้ยงหลายครอบครัว ช่วงชีวิตของมาริลินช่วงนี้ไม่ดีนัก เธอถึงกับถูกลวนลามโดยสมาชิกครอบครัวบุญธรรมครอบครัวหนึ่ง รวมไปถึงสามีของเกรซเองด้วย
มาริลินจึงต้องกลับไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ชีวิตที่แย่ในช่วงนี้ทำให้เธอมีการเจริญเติบโตที่ไม่ดี เธอพูดติดอ่างและมีนิสัยชอบปลีกตัวออกจากสังคม
สุดท้ายแล้วมาริลินจึงได้ไปอยู่กับป้าของเกรซชื่อ อนา แอชชินสันเป็นเวลา 4 ปีและได้เข้าเรียนหนังสือ มาริลินเป็นเด็กที่มีหัวปานกลาง แต่มีความสามารถในการเขียนอยู่บ้าง
ในช่วงปี ค.ศ.1942 ครอบครัวของเกรซ ผู้พิทักษ์ทางกฎหมายของมาริลินจำต้องย้ายไปอยู่ที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย กฎหมายแคลิฟอร์เนียห้ามไม่ให้มอนโรเดินทางออกนอกรัฐ มาริลินจึงสุ่มเสี่ยงที่จะต้องกลับไปสู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง
มาริลินไม่เคยชอบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลย ในขณะนั้นเธออายุ 16 ปีแล้ว เธอจึงแต่งงานกับพนักงานในโรงงานชื่อ James Dougherty หรือจิม เพื่อตัดปัญหาทั้งหมด มาริลินจึงออกจากโรงเรียนแล้วมาทำงานเป็นแม่บ้านอย่างเต็มตัว
ชีวิตการแต่งงานของเธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เพราะว่าเธอและสามีก็ไม่ได้พูดคุยกันเท่าไร เธอกับเขาเองก็ไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก ด้วยเหตุนี้มาริลินจึงเบื่อหน่ายมาก หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี จิมก็เข้ารับราชการเป็นทหารเรือและถูกส่งไปสมรภูมิแปซิฟิก มาริลินจึงมาอยู่กับพ่อแม่สามีของเธอ และทำงานเป็นพนักงานในโรงงานผลิตอาวุธ
เข้าสู่วงการบันเทิง
ปลายปี ค.ศ.1944 มาริลินพบกับเดวิด โคโนเวอร์ ผู้ถูกส่งมาโดยกองทัพสหรัฐเพื่อมาถ่ายภาพสาวโรงงานเพื่อนำไปใช้เป็นโฆษณาปลุกใจแก่คนงานผู้หญิง มาริลินได้รับเลือกให้เป็นแบบในการถ่ายภาพดังกล่าว
โคโนเวอร์ประทับใจในความสวยของมาริลิน เขาจึงเป็นนางแบบให้กับโคโนเวอร์และเพื่อนของเขาหลายคนในการถ่ายภาพเวลาต่อมา จุดนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมาริลินในวงการบันเทิง ในเวลาต่อมาเธอก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบกับค่าย Blue Book Model Agency
มาริลินทำงานทุกชิ้นอย่างตั้งใจ เอเจนซี่ของเธอกล่าวว่าเธอเป็นนางแบบที่ตั้งใจทำงานและมีความทะเยอทะยานมากที่สุดคนหนึ่ง เธอจึงได้งานมากมายตั้งแต่โฆษณาไปจนถึงนิตยสารปลุกใจเสือป่า ในปี ค.ศ.1946 เธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารกว่า 33 ฉบับ
เอเจนซี่ของมาริลินเห็นเธอเริ่มมีชื่อเสียงจึงแนะนำให้เธอเข้าสู่วงการการแสดง เธอได้รับการสัมภาษณ์โดยค่ายหนังอย่าง Paramount Pictures แต่กลับถูกปฎิเสธ
เธอจึงไปรับการแคสกับ 20-Century Fox ซึ่งผู้บริหารใหญ่ของบริษัทก็ไม่ได้ชื่นชอบเธอมากนัก แต่กลัวเธอจะไปเซ็นสัญญากับบริษัทอื่น เขาจึงเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงเป็นเวลาเพียงหกเดือนให้กับเธอ
ในช่วงนี้เองเธอก็ได้หย่ากับ จิม สามีของเธอเพราะว่าจิมคัดค้านการเป็นนักแสดงของเธอ อีกประการหนึ่งคือเธอก็ไม่มีความสุขกับชีวิตคู่กับเขาอยู่แล้ว การหย่าขาดดำเนินไปด้วยดี
มาริลินใช้เวลาหกเดือนทั้งหมดไปกับการเรียนการแสดง เต้นและร้องเพลง เธอได้พยายามทำอย่างสุดความสามารถ ผู้บริหารจึงเซ็นสัญญาใหม่กับมาริลินเพื่อให้เธอได้เป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว ในช่วงนี้มาริลินจึงได้เลือกชื่อในการแสดงว่า “มาริลิน มอนโร” ซึ่งจะเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักเธอไปตลอดชีวิต
เธอได้รับบทตัวประกอบ 2 เรื่อง แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอะไรมากนัก สัญญาของเธอก็ไม่ได้ถูกต่อออกไป มาริลินจึงต้องกลับไปรับงานนางแบบอีกครั้งหนึ่ง
ดาวจรัสแสง
หากแต่ว่าในขณะนั้นเธอหลงใหลในงานการแสดงเสียแล้ว เธอพยายามทุกหนทางที่จะกลับมาเป็นนักแสดงให้จงได้ เธอจึงไปตีสนิทกับผู้บริหารระดับสูงหลายคน รวมไปถึงมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย โดยเฉพาะกับ Joseph M. Schenck ผู้บริหารของฟ็อกซ์ ทำให้เธอได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงกับ Columbia Pictures ในปี 1948
ในช่วงนี้ผมของมาริลินได้ถูกย้อมเป็นสีแพลตินัมบลอนด์ และได้เล่นบทนำครั้งแรกในหนังทุนสร้างต่ำอย่าง Ladies of the Chorus แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด สัญญากับ Columbia Pictures ก็ไม่ได้ถูกต่อแต่อย่างใด
มาริลินจึงไปตีสนิทและมีความสัมพันธ์กับจอห์นนี่ ไฮด์ รองประธานของ William Morris Agency เขาได้เสริมคางของเธอด้วยซิลิโคนและอาจจะเสริมจมูกด้วย หลังจากนั้นเธอจึงได้เล่นบทตัวประกอบในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องที่มีชื่อเสียงมากอย่าง All about Eve
การได้รับบทเหล่านี้ทำให้มาริลินเริ่มมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น ไฮด์ช่วยเหลือให้เธอได้เซ็นสัญญาระยะยาวเจ็ดปีกับ 20-Century Fox แต่ไฮด์กลับเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในไม่กี่วันต่อมา ทำให้มาริลินเสียใจมาก แต่มาริลินยังคงพยายามต่อไป เธอได้แสดงในภาพยนตร์ 4 เรื่องในบทตัวประกอบ แต่เป็นตัวประกอบที่เซ็กซี่และดึงความสนใจจากผู้ชมอย่างมาก เธอจึงมีชื่อเสียงมากขึ้นตามลำดับ
บทตัวประกอบที่เซ็กซี่นี้ทำให้เธอมีชื่อเสียงและเป็นที่หลงใหลของชายชาวอเมริกัน เธอรับจดหมายจากแฟนๆ ของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากร้อยฉบับต่อสัปดาห์เป็นพันฉบับต่อสัปดาห์ จนสุดท้ายไปถึงหลายพันฉบับต่อสัปดาห์เลยทีเดียว
ในปีที่สองหลังจากเซ็นสัญญากับ Fox มาริลินก็กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการบันเทิง โดยเธอเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “ราชินีชีสเค้ก”
หากแต่ว่าในช่วงนั้นกลับมีรูปหลุดของเธอที่เธอเคยไปถ่ายนู้ดระหว่างที่เธอหางานแสดง ทำให้เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอสุ่มเสี่ยงอย่างมาก Fox ต้นสังกัดของเธอจึงให้เธอออกมาแถลงข่าวอย่างเปิดอก ว่าเธอทำไปเพราะในขณะนั้นเธอประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างมาก สุดท้ายแล้วข่าวลือก็จางหายไป
หลังจากพ้นกระแสข่าวลือไปได้ เธอก็กลับมาทำงานของเธออีกครั้งในรูปแบบเดิม นั่นก็คือ รูปแบบเซ็กซี่ แต่ในทางการแสดงเธอก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ภาพยนตร์ที่เธอนำแสดงนั้นประสบความสำเร็จถึงสองเรื่องนั่นก็คือ Clash by Night และ Don’t Bother to Knock
อย่างไรก็ตามมาริลินเองก็สร้างปัญหาอย่างมากให้กับกองถ่าย นั่นก็คือเธอมักจะมาสาย หรือไม่มาเลย หรือว่าเธอไม่สามารถจำบทได้ ในช่วงนี้เองทำให้เธอเกิดความเครียดและเริ่มหันไปพึ่งแอลกอฮอล์และยาเสพติด แต่เธอก็ยังไม่ได้ติดมันจริงจังมากนัก
สัญลักษณ์แห่งความเซ็กซี่
มาริลินได้แสดงในภาพยนตร์ในเรื่อง Niagara ซึ่งแน่นอนว่าก็ยังคงเป็นบทสาวเซ็กซี่ ซึ่งการโปรโมตเรื่องนี้เองเป็นภาพของเธอเดินแบบฉาบฉวยไปมา โดยเน้นไปที่ขาอ่อนของเธอ ซึ่งทำให้ “ขา” ของเธอเป็นที่กล่าวถึงมากในเวลาต่อมา
Niagara นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันทำให้มาริลินได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเซ็กซี่และความร้อนแรงอย่างเป็นทางการ จากความสำเร็จนั้นเธอจึงเป็นดาราอันดับ 1 ของค่ายหนังอย่าง 20-Century Fox
การที่เธอดังเร็วภายในเวลาไม่กี่ปีกลับกลายเป็นว่าทำให้เธอมีปัญหากับต้นสังกัด เนื่องจากสัญญาของเธอนั้นนานถึง 7 ปี สัญญาเดิมจึงเริ่มไม่เป็นธรรมกับเธอเพราะมันทำให้เธอได้รับเงินน้อยกว่าที่เธอควรจะได้ ความขัดแย้งนี้ทำให้เธอปฎิเสธที่จะแสดงในภาพยนตร์เพลง The Girl in Pink Tights ของต้นสังกัดของเธออย่าง Fox
Fox จึงยกเลิกสัญญาของเธอในปี ค.ศ.1954 หากแต่ว่าสุดท้ายทั้งสองก็ตกลงกันได้ เธอจึงได้กลับมาเป็นนักแสดงของ Fox อีกครั้งหนึ่ง ในเรื่อง The Seven Day Itch
ในการโปรโมตเรื่องนี้ มาริลินได้ถ่ายฉากในภาพยนตร์เป็น สาวสวยที่สวมกระโปรงยาวสีขาวที่ถูกลมพัดจนเปิด เผยให้เห็นขาอ่อนของเธอ ซึ่งซีนนี้เองเป็นซีนที่มีชื่อเสียงที่สุดในการแสดงของเธอ
การแต่งงาน
มาริลินเริ่มใช้ความดังของเธอในการเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ของเธอเอง เพราะเธอเริ่มเบื่อหน่ายกับบทสาวเซ็กซี่ที่เธอได้รับ สิ่งนี้ทำให้เธอมีปัญหากับ Fox ต้นสังกัดของเธออีกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันในทางกฎหมาย จนสุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้ โดย Fox นั้นยอมให้มาริลินเลือกผู้กำกับและผู้บริหารมาทำภาพยนตร์ของ Fox ด้วยตนเอง แต่บริษัทของเธอไม่สามารถลงทุนผลิตหนังเองได้ เธอเองยังต้องแสดงภาพยนตร์ 4 เรื่องให้กับ Fox
จากการต่อรองที่ผ่านมา ถือว่ามาริลินเก่งไม่น้อย เธอทำให้บริษัทต้นสังกัดแก้ไขข้อตกลงหลายข้อให้เธอได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ในชีวิตครอบครัว เธอได้แต่งงานกับ DiMaggio ผู้กำกับคนหนึ่ง ทั้งสองอยู่ได้ไม่นานก็หย่าขาดจากกัน หลังจากนั้นเธอก็ยังแอบคบหากับชายอื่นหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือคนเขียนบทชื่อ อาเธอร์ มิลเลอร์ ผู้ถูกสอบสวนโดย FBI ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ มาริลินถูกเตือนว่าให้เลิกคบหากับมิลเลอร์เสีย แต่เธอกลับปฎิเสธ
ในปี ค.ศ.1956 เธอใช้ชื่อการแสดง “มาริลิน มอนโร” มาเป็นชื่อของเธอจริงๆ ตามกฎหมาย และแต่งงานกับมิลเลอร์อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นมาริลินก็ยังได้แสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องในบทที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ภาพยนตร์ตลกไปจนถึงภาพยนตร์เศร้าเคล้าน้ำตา
เธอได้พิสูจน์ฝีมือให้โลกรู้ว่าเธอสามารถแสดงได้ในทุกบท และไม่ได้มีดีแค่รูปร่างที่เซ็กซี่เท่านั้น
เส้นทางขาลง
สองปีต่อมาในปี ค.ศ.1958 มาริลินได้ติดสิ่งเสพติดอย่างหนัก และเริ่มมีปัญหากับกองถ่ายมากขึ้น เธอมักจะมาสาย หรือปรับเปลี่ยนบทตามใจชอบ อนึ่งผู้ใกล้ชิดเธอกล่าวว่าที่เธอเป็นเช่นนี้เพราะเพื่อนนักแสดงดูถูกเธอว่า เธอมีดีแค่เซ็กซี่หรือเป็นสัญลักษณ์เชิงกามารมณ์เท่านั้น
มาริลินเริ่มมีปัญหาความเครียด ทำให้เธอต้องพักงานแสดงไปถึง 2 ช่วงในปี ค.ศ.1958-1959 ในช่วงนี้เธอได้ตั้งครรภ์แต่แท้งเสียก่อนที่จะคลอด
ชีวิตของมาริลินเหมือนจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เส้นทางของเธอเหมือนกับว่าจะเป็นขาลง ภาพยนตร์ของเธอเริ่มจะไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตการแต่งงานของเธอกับมิลเลอร์ก็สิ้นสุดลง เธอยังต้องเข้ารับการผ่าตัดถุงน้ำดี รวมไปถึงการรักษาโรคซึมเศร้าด้วย
อาการเจ็บป่วยทำให้มาริลินไม่ได้เป็นกระแสอยู่นาน จนกระทั่งมาริลินกลับมาเป็นข่าวดังอีกครั้งในปี ค.ศ.1962 เมื่อเธอไปร้องเพลง Happy Birthday ในงานวันเกิดของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี ซึ่งเธอปรากฎตัวในชุดรัดรูปแนบเนื้อที่เหมือนกับว่าเธอเปลือยเปล่าทั้งตัวเสียมากกว่า
สุขภาพของมาริลินย่ำแย่ลงอย่างมาก แต่ Fox ต้นสังกัดของเธอกลับพยายามกดดันเธอ ส่วนหนึ่งก็เพราะค่าใช้จ่ายในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Cleopatra ที่เธอนำแสดงสูงขึ้นอย่างมากจากการที่เธอลาป่วยหลายครั้ง
สุดท้ายแล้ว Fox จำต้องยกเลิกการถ่ายทำดังกล่าว ไล่เธอออกจากบริษัทและฟ้องเธอทางแพ่งเป็นเงิน 750,000 เหรียญ นอกจากนี้ Fox ยังโจมตีมาริลินออกสื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์ดังกล่าวต้องถูกยกเลิก
อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็กลับมาตกลงกันได้อีกครั้ง มาริลินก็เซ็นสัญญาฉบับใหม่ ในช่วงนี้มาริลินพยายามจะฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้วยการออกงานสาธารณะบ่อยครั้งขึ้น และวางแผนจะแสดงในเรื่องใหม่ที่เกี่ยวกับชีวิตของ Jean Harlow ผู้เป็น Sex Symbol ก่อนหน้าเธอ
ชีวิตของมาริลินดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าเรื่องเศร้ากลับเกิดขึ้นกับมาริลินเสียก่อน!
การเสียชีวิตของมาริลิน
ในเช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1962 แม่บ้านของมาริลินได้ตื่นขึ้นในเวลาตีสาม และรู้สึกแปลกๆ เธอจึงไปที่ห้องของมาริลินพบว่าประตูได้ถูกล็อก และมาริลินก็ไม่ได้ตอบสนองต่อการเรียกของเธอ แม่บ้านของเธอจึงรีบเรียกจิตแพทย์ของมาริลินมาที่บ้าน ทั้งสองได้พังประตูห้องเข้าไปและพบว่า
มาริลินนอนฟุบอยู่บนเตียงและเสียชีวิตแล้ว!
ตำรวจได้ทำการตรวจสอบสภาพศพของมาริลินและพบว่า เธอเสียชีวิตจากการเสพยากดประสาทชนิดบาบิตุเรทเกินขนาด เพราะจากการตรวจสอบพบว่าเธอมีสารดังกล่าวมากกว่าปริมาณที่ทำให้ถึงตายหลายเท่าตัว ผู้สอบสวนมองว่ามาริลินเสพยาดังกล่าวด้วยความตั้งใจ ซึ่งอาจจะมาจากความต้องการจะฆ่าตัวตาย
มาริลินเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 36 ปี การเสียชีวิตของเธอเป็นข่าวดังไปทั่วโลกตะวันตก ผู้คนจำนวนมากไม่เชื่อในการสอบสวนว่าเธอฆ่าตัวตาย บ้างก็ว่าเกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีสหรัฐอย่าง จอห์น เอฟ เคเนดีด้วยซ้ำไป การตายของเธอยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีผู้ใดตอบได้ว่ามันเป็นการฆาตกรรม อุบัติเหตุ หรือ ฆ่าตัวตาย
ถึงแม้จะมีความพยายามจะสอบสวนคดีดังกล่าวอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 80 แต่พนักงานสอบสวนก็ได้ตรวจสอบและพบว่าไม่มีประเด็นมากพอที่จะมีการตรวจสอบการเสียชีวิตของมาริลินใหม่ได้ กระแสดังกล่าวจึงจางหายไปตามกาลเวลา
ถึงแม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปนานแล้วกว่า 50 ปีเศษ รูปภาพของเธอก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเซ็กซี่ ความร้อนแรง และกามารมณ์มาถึงทุกวันนี้