ประวัติศาสตร์มาริลิน มอนโร: ดาวค้างฟ้าผู้เป็นแบบฉบับแห่งความเซ็กซี่

มาริลิน มอนโร: ดาวค้างฟ้าผู้เป็นแบบฉบับแห่งความเซ็กซี่

เธอเคยเป็นสาวในฝันของชายหนุ่มทั่วโลก เธอเป็นดาวค้างฟ้าผู้มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล เธอเป็นแบบฉบับแห่งความเซ็กซี่ ด้วยใบหน้าที่งดงาม ผมบลอนด์ และเรียวขาที่ทรงเสน่ห์ เธอเป็นสัญลักษณ์ของกามารมณ์ (Sex Symbol) มาอย่างยาวนาน ถึงแม้เธอจะล่วงลับไปแล้วกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม

เธอผู้นี้คือ มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe)

มาริลิน มอนโรในปี ค.ศ.1953

มาริลินวัยเยาว์

มาริลิน มอนโรเกิดเมื่อปี ค.ศ.1926 ภายใต้ชื่อว่า Norma Jeane Mortenson เธอเกิดในครอบครัวที่ไม่ดีนัก แม่ของเธอมีนิสัยมากชู้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบว่าพ่อที่แท้จริงของเธอนั้นคือใคร

มาริลิน มอนโรในวัยทารก

แม่ของมาริลินมอบเธอให้สามีภรรยาครอบครัวโบเลนด์เดอร์ (Bolender) เป็นผู้เลี้ยงดูเธอระหว่างที่เธอไปทำงาน แม่ของเธอมักจะมาเยี่ยมเธอในช่วงวันหยุด และพาเธอไปชมภาพยนตร์ในเมืองลอสแองเจลิส

ครอบครัวโบเลนด์เดอร์ต้องการจะรับมาริลินเป็นบุตรบุญธรรม แต่แม่ของเธอกลับปฎิเสธ เมื่อมาริลินอายุได้ 6 ขวบ แม่ของเธอก็คิดว่าเธอสร้างฐานะได้เพียงพอที่จะเลี้ยงมาริลินได้ เธอจึงพามาริลินไปอยู่กับเธอในบ้านพักแห่งหนึ่งในฮอลลีวู้ด

หากแต่ว่าไม่นาน แม่ของมาริลินกลับมีอาการของโรคทางจิตเวชอย่าง Paranoid Schizophrenia ทำให้เธอต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่เสมอ และเป็นผู้ไร้ความสามารถ มาริลินจึงต้องได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้พิทักษ์ตามกฎหมาย

เกรซ ก็อดดาร์ด เพื่อนของแม่เธอจึงเป็นผู้ดูแลเธอ เธอส่งมาริลินไปอยู่กับครอบครัวที่รับเด็กมาเลี้ยงหลายครอบครัว ช่วงชีวิตของมาริลินช่วงนี้ไม่ดีนัก เธอถึงกับถูกลวนลามโดยสมาชิกครอบครัวบุญธรรมครอบครัวหนึ่ง รวมไปถึงสามีของเกรซเองด้วย

มาริลินจึงต้องกลับไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ชีวิตที่แย่ในช่วงนี้ทำให้เธอมีการเจริญเติบโตที่ไม่ดี เธอพูดติดอ่างและมีนิสัยชอบปลีกตัวออกจากสังคม

สุดท้ายแล้วมาริลินจึงได้ไปอยู่กับป้าของเกรซชื่อ อนา แอชชินสันเป็นเวลา 4 ปีและได้เข้าเรียนหนังสือ มาริลินเป็นเด็กที่มีหัวปานกลาง แต่มีความสามารถในการเขียนอยู่บ้าง

ในช่วงปี ค.ศ.1942 ครอบครัวของเกรซ ผู้พิทักษ์ทางกฎหมายของมาริลินจำต้องย้ายไปอยู่ที่รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย กฎหมายแคลิฟอร์เนียห้ามไม่ให้มอนโรเดินทางออกนอกรัฐ มาริลินจึงสุ่มเสี่ยงที่จะต้องกลับไปสู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกครั้ง

มาริลินไม่เคยชอบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเลย ในขณะนั้นเธออายุ 16 ปีแล้ว เธอจึงแต่งงานกับพนักงานในโรงงานชื่อ James Dougherty หรือจิม เพื่อตัดปัญหาทั้งหมด มาริลินจึงออกจากโรงเรียนแล้วมาทำงานเป็นแม่บ้านอย่างเต็มตัว

ชีวิตการแต่งงานของเธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เพราะว่าเธอและสามีก็ไม่ได้พูดคุยกันเท่าไร เธอกับเขาเองก็ไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก ด้วยเหตุนี้มาริลินจึงเบื่อหน่ายมาก หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี จิมก็เข้ารับราชการเป็นทหารเรือและถูกส่งไปสมรภูมิแปซิฟิก มาริลินจึงมาอยู่กับพ่อแม่สามีของเธอ และทำงานเป็นพนักงานในโรงงานผลิตอาวุธ

เข้าสู่วงการบันเทิง

ปลายปี ค.ศ.1944 มาริลินพบกับเดวิด โคโนเวอร์ ผู้ถูกส่งมาโดยกองทัพสหรัฐเพื่อมาถ่ายภาพสาวโรงงานเพื่อนำไปใช้เป็นโฆษณาปลุกใจแก่คนงานผู้หญิง มาริลินได้รับเลือกให้เป็นแบบในการถ่ายภาพดังกล่าว

โคโนเวอร์ประทับใจในความสวยของมาริลิน เขาจึงเป็นนางแบบให้กับโคโนเวอร์และเพื่อนของเขาหลายคนในการถ่ายภาพเวลาต่อมา จุดนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมาริลินในวงการบันเทิง ในเวลาต่อมาเธอก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบกับค่าย Blue Book Model Agency

มาริลินทำงานทุกชิ้นอย่างตั้งใจ เอเจนซี่ของเธอกล่าวว่าเธอเป็นนางแบบที่ตั้งใจทำงานและมีความทะเยอทะยานมากที่สุดคนหนึ่ง เธอจึงได้งานมากมายตั้งแต่โฆษณาไปจนถึงนิตยสารปลุกใจเสือป่า ในปี ค.ศ.1946 เธอก็ได้ขึ้นปกนิตยสารกว่า 33 ฉบับ

มาริลิน มอนโรในช่วงที่เข้าสู่วงการถ่ายแบบ

เอเจนซี่ของมาริลินเห็นเธอเริ่มมีชื่อเสียงจึงแนะนำให้เธอเข้าสู่วงการการแสดง เธอได้รับการสัมภาษณ์โดยค่ายหนังอย่าง Paramount Pictures แต่กลับถูกปฎิเสธ

เธอจึงไปรับการแคสกับ 20-Century Fox ซึ่งผู้บริหารใหญ่ของบริษัทก็ไม่ได้ชื่นชอบเธอมากนัก แต่กลัวเธอจะไปเซ็นสัญญากับบริษัทอื่น เขาจึงเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงเป็นเวลาเพียงหกเดือนให้กับเธอ

ในช่วงนี้เองเธอก็ได้หย่ากับ จิม สามีของเธอเพราะว่าจิมคัดค้านการเป็นนักแสดงของเธอ อีกประการหนึ่งคือเธอก็ไม่มีความสุขกับชีวิตคู่กับเขาอยู่แล้ว การหย่าขาดดำเนินไปด้วยดี

มาริลินใช้เวลาหกเดือนทั้งหมดไปกับการเรียนการแสดง เต้นและร้องเพลง เธอได้พยายามทำอย่างสุดความสามารถ ผู้บริหารจึงเซ็นสัญญาใหม่กับมาริลินเพื่อให้เธอได้เป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว ในช่วงนี้มาริลินจึงได้เลือกชื่อในการแสดงว่า “มาริลิน มอนโร” ซึ่งจะเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จักเธอไปตลอดชีวิต

เธอได้รับบทตัวประกอบ 2 เรื่อง แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอะไรมากนัก สัญญาของเธอก็ไม่ได้ถูกต่อออกไป มาริลินจึงต้องกลับไปรับงานนางแบบอีกครั้งหนึ่ง

ดาวจรัสแสง

หากแต่ว่าในขณะนั้นเธอหลงใหลในงานการแสดงเสียแล้ว เธอพยายามทุกหนทางที่จะกลับมาเป็นนักแสดงให้จงได้ เธอจึงไปตีสนิทกับผู้บริหารระดับสูงหลายคน รวมไปถึงมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย โดยเฉพาะกับ Joseph M. Schenck ผู้บริหารของฟ็อกซ์ ทำให้เธอได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงกับ Columbia Pictures ในปี 1948

ในช่วงนี้ผมของมาริลินได้ถูกย้อมเป็นสีแพลตินัมบลอนด์ และได้เล่นบทนำครั้งแรกในหนังทุนสร้างต่ำอย่าง Ladies of the Chorus แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด สัญญากับ Columbia Pictures ก็ไม่ได้ถูกต่อแต่อย่างใด

มาริลินจึงไปตีสนิทและมีความสัมพันธ์กับจอห์นนี่ ไฮด์ รองประธานของ William Morris Agency เขาได้เสริมคางของเธอด้วยซิลิโคนและอาจจะเสริมจมูกด้วย หลังจากนั้นเธอจึงได้เล่นบทตัวประกอบในภาพยนตร์หลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องที่มีชื่อเสียงมากอย่าง All about Eve

การได้รับบทเหล่านี้ทำให้มาริลินเริ่มมีชื่อเสียงมากยิ่งขึ้น ไฮด์ช่วยเหลือให้เธอได้เซ็นสัญญาระยะยาวเจ็ดปีกับ 20-Century Fox แต่ไฮด์กลับเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในไม่กี่วันต่อมา ทำให้มาริลินเสียใจมาก แต่มาริลินยังคงพยายามต่อไป เธอได้แสดงในภาพยนตร์ 4 เรื่องในบทตัวประกอบ แต่เป็นตัวประกอบที่เซ็กซี่และดึงความสนใจจากผู้ชมอย่างมาก เธอจึงมีชื่อเสียงมากขึ้นตามลำดับ

บทตัวประกอบที่เซ็กซี่นี้ทำให้เธอมีชื่อเสียงและเป็นที่หลงใหลของชายชาวอเมริกัน เธอรับจดหมายจากแฟนๆ ของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากร้อยฉบับต่อสัปดาห์เป็นพันฉบับต่อสัปดาห์ จนสุดท้ายไปถึงหลายพันฉบับต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

ในปีที่สองหลังจากเซ็นสัญญากับ Fox มาริลินก็กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการบันเทิง โดยเธอเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “ราชินีชีสเค้ก”

หากแต่ว่าในช่วงนั้นกลับมีรูปหลุดของเธอที่เธอเคยไปถ่ายนู้ดระหว่างที่เธอหางานแสดง ทำให้เส้นทางในวงการบันเทิงของเธอสุ่มเสี่ยงอย่างมาก Fox ต้นสังกัดของเธอจึงให้เธอออกมาแถลงข่าวอย่างเปิดอก ว่าเธอทำไปเพราะในขณะนั้นเธอประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างมาก สุดท้ายแล้วข่าวลือก็จางหายไป

หลังจากพ้นกระแสข่าวลือไปได้ เธอก็กลับมาทำงานของเธออีกครั้งในรูปแบบเดิม นั่นก็คือ รูปแบบเซ็กซี่ แต่ในทางการแสดงเธอก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ภาพยนตร์ที่เธอนำแสดงนั้นประสบความสำเร็จถึงสองเรื่องนั่นก็คือ Clash by Night และ Don’t Bother to Knock

อย่างไรก็ตามมาริลินเองก็สร้างปัญหาอย่างมากให้กับกองถ่าย นั่นก็คือเธอมักจะมาสาย หรือไม่มาเลย หรือว่าเธอไม่สามารถจำบทได้ ในช่วงนี้เองทำให้เธอเกิดความเครียดและเริ่มหันไปพึ่งแอลกอฮอล์และยาเสพติด แต่เธอก็ยังไม่ได้ติดมันจริงจังมากนัก

มาริลิน มอนโร กับ Sex Appeal ของเธอ

สัญลักษณ์แห่งความเซ็กซี่

มาริลินได้แสดงในภาพยนตร์ในเรื่อง Niagara ซึ่งแน่นอนว่าก็ยังคงเป็นบทสาวเซ็กซี่ ซึ่งการโปรโมตเรื่องนี้เองเป็นภาพของเธอเดินแบบฉาบฉวยไปมา โดยเน้นไปที่ขาอ่อนของเธอ ซึ่งทำให้ “ขา” ของเธอเป็นที่กล่าวถึงมากในเวลาต่อมา

Niagara นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันทำให้มาริลินได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเซ็กซี่และความร้อนแรงอย่างเป็นทางการ จากความสำเร็จนั้นเธอจึงเป็นดาราอันดับ 1 ของค่ายหนังอย่าง 20-Century Fox

การที่เธอดังเร็วภายในเวลาไม่กี่ปีกลับกลายเป็นว่าทำให้เธอมีปัญหากับต้นสังกัด เนื่องจากสัญญาของเธอนั้นนานถึง 7 ปี สัญญาเดิมจึงเริ่มไม่เป็นธรรมกับเธอเพราะมันทำให้เธอได้รับเงินน้อยกว่าที่เธอควรจะได้ ความขัดแย้งนี้ทำให้เธอปฎิเสธที่จะแสดงในภาพยนตร์เพลง The Girl in Pink Tights ของต้นสังกัดของเธออย่าง Fox

Fox จึงยกเลิกสัญญาของเธอในปี ค.ศ.1954 หากแต่ว่าสุดท้ายทั้งสองก็ตกลงกันได้ เธอจึงได้กลับมาเป็นนักแสดงของ Fox อีกครั้งหนึ่ง ในเรื่อง The Seven Day Itch

ในการโปรโมตเรื่องนี้ มาริลินได้ถ่ายฉากในภาพยนตร์เป็น สาวสวยที่สวมกระโปรงยาวสีขาวที่ถูกลมพัดจนเปิด เผยให้เห็นขาอ่อนของเธอ ซึ่งซีนนี้เองเป็นซีนที่มีชื่อเสียงที่สุดในการแสดงของเธอ

มาริลิน มอนโร กับช้อตกระโปรงเปิด

การแต่งงาน

มาริลินเริ่มใช้ความดังของเธอในการเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ของเธอเอง เพราะเธอเริ่มเบื่อหน่ายกับบทสาวเซ็กซี่ที่เธอได้รับ สิ่งนี้ทำให้เธอมีปัญหากับ Fox ต้นสังกัดของเธออีกครั้ง

ทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันในทางกฎหมาย จนสุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้ โดย Fox นั้นยอมให้มาริลินเลือกผู้กำกับและผู้บริหารมาทำภาพยนตร์ของ Fox ด้วยตนเอง แต่บริษัทของเธอไม่สามารถลงทุนผลิตหนังเองได้ เธอเองยังต้องแสดงภาพยนตร์ 4 เรื่องให้กับ Fox

จากการต่อรองที่ผ่านมา ถือว่ามาริลินเก่งไม่น้อย เธอทำให้บริษัทต้นสังกัดแก้ไขข้อตกลงหลายข้อให้เธอได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น

ในชีวิตครอบครัว เธอได้แต่งงานกับ DiMaggio ผู้กำกับคนหนึ่ง ทั้งสองอยู่ได้ไม่นานก็หย่าขาดจากกัน หลังจากนั้นเธอก็ยังแอบคบหากับชายอื่นหลายคน หนึ่งในนั้นก็คือคนเขียนบทชื่อ อาเธอร์ มิลเลอร์ ผู้ถูกสอบสวนโดย FBI ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ มาริลินถูกเตือนว่าให้เลิกคบหากับมิลเลอร์เสีย แต่เธอกลับปฎิเสธ

ในปี ค.ศ.1956 เธอใช้ชื่อการแสดง “มาริลิน มอนโร” มาเป็นชื่อของเธอจริงๆ ตามกฎหมาย และแต่งงานกับมิลเลอร์อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นมาริลินก็ยังได้แสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องในบทที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ภาพยนตร์ตลกไปจนถึงภาพยนตร์เศร้าเคล้าน้ำตา

เธอได้พิสูจน์ฝีมือให้โลกรู้ว่าเธอสามารถแสดงได้ในทุกบท และไม่ได้มีดีแค่รูปร่างที่เซ็กซี่เท่านั้น

มาริลินแต่งงานกับมิลเลอร์

เส้นทางขาลง

สองปีต่อมาในปี ค.ศ.1958 มาริลินได้ติดสิ่งเสพติดอย่างหนัก และเริ่มมีปัญหากับกองถ่ายมากขึ้น เธอมักจะมาสาย หรือปรับเปลี่ยนบทตามใจชอบ อนึ่งผู้ใกล้ชิดเธอกล่าวว่าที่เธอเป็นเช่นนี้เพราะเพื่อนนักแสดงดูถูกเธอว่า เธอมีดีแค่เซ็กซี่หรือเป็นสัญลักษณ์เชิงกามารมณ์เท่านั้น

มาริลินเริ่มมีปัญหาความเครียด ทำให้เธอต้องพักงานแสดงไปถึง 2 ช่วงในปี ค.ศ.1958-1959 ในช่วงนี้เธอได้ตั้งครรภ์แต่แท้งเสียก่อนที่จะคลอด

ชีวิตของมาริลินเหมือนจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เส้นทางของเธอเหมือนกับว่าจะเป็นขาลง ภาพยนตร์ของเธอเริ่มจะไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตการแต่งงานของเธอกับมิลเลอร์ก็สิ้นสุดลง เธอยังต้องเข้ารับการผ่าตัดถุงน้ำดี รวมไปถึงการรักษาโรคซึมเศร้าด้วย

อาการเจ็บป่วยทำให้มาริลินไม่ได้เป็นกระแสอยู่นาน จนกระทั่งมาริลินกลับมาเป็นข่าวดังอีกครั้งในปี ค.ศ.1962 เมื่อเธอไปร้องเพลง Happy Birthday ในงานวันเกิดของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี ซึ่งเธอปรากฎตัวในชุดรัดรูปแนบเนื้อที่เหมือนกับว่าเธอเปลือยเปล่าทั้งตัวเสียมากกว่า

สุขภาพของมาริลินย่ำแย่ลงอย่างมาก แต่ Fox ต้นสังกัดของเธอกลับพยายามกดดันเธอ ส่วนหนึ่งก็เพราะค่าใช้จ่ายในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Cleopatra ที่เธอนำแสดงสูงขึ้นอย่างมากจากการที่เธอลาป่วยหลายครั้ง

สุดท้ายแล้ว Fox จำต้องยกเลิกการถ่ายทำดังกล่าว ไล่เธอออกจากบริษัทและฟ้องเธอทางแพ่งเป็นเงิน 750,000 เหรียญ นอกจากนี้ Fox ยังโจมตีมาริลินออกสื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์ดังกล่าวต้องถูกยกเลิก

อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็กลับมาตกลงกันได้อีกครั้ง มาริลินก็เซ็นสัญญาฉบับใหม่ ในช่วงนี้มาริลินพยายามจะฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้วยการออกงานสาธารณะบ่อยครั้งขึ้น และวางแผนจะแสดงในเรื่องใหม่ที่เกี่ยวกับชีวิตของ Jean Harlow ผู้เป็น Sex Symbol ก่อนหน้าเธอ

ชีวิตของมาริลินดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นอีกครั้ง แต่ว่าเรื่องเศร้ากลับเกิดขึ้นกับมาริลินเสียก่อน!

การเสียชีวิตของมาริลิน

ในเช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1962 แม่บ้านของมาริลินได้ตื่นขึ้นในเวลาตีสาม และรู้สึกแปลกๆ เธอจึงไปที่ห้องของมาริลินพบว่าประตูได้ถูกล็อก และมาริลินก็ไม่ได้ตอบสนองต่อการเรียกของเธอ แม่บ้านของเธอจึงรีบเรียกจิตแพทย์ของมาริลินมาที่บ้าน ทั้งสองได้พังประตูห้องเข้าไปและพบว่า

มาริลินนอนฟุบอยู่บนเตียงและเสียชีวิตแล้ว!

ตำรวจได้ทำการตรวจสอบสภาพศพของมาริลินและพบว่า เธอเสียชีวิตจากการเสพยากดประสาทชนิดบาบิตุเรทเกินขนาด เพราะจากการตรวจสอบพบว่าเธอมีสารดังกล่าวมากกว่าปริมาณที่ทำให้ถึงตายหลายเท่าตัว ผู้สอบสวนมองว่ามาริลินเสพยาดังกล่าวด้วยความตั้งใจ ซึ่งอาจจะมาจากความต้องการจะฆ่าตัวตาย

หนังสือพิมพ์รายงานการจากไปของมาริลิน

มาริลินเสียชีวิตด้วยอายุเพียง 36 ปี การเสียชีวิตของเธอเป็นข่าวดังไปทั่วโลกตะวันตก ผู้คนจำนวนมากไม่เชื่อในการสอบสวนว่าเธอฆ่าตัวตาย บ้างก็ว่าเกี่ยวข้องกับประธานาธิบดีสหรัฐอย่าง จอห์น เอฟ เคเนดีด้วยซ้ำไป การตายของเธอยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีผู้ใดตอบได้ว่ามันเป็นการฆาตกรรม อุบัติเหตุ หรือ ฆ่าตัวตาย

ถึงแม้จะมีความพยายามจะสอบสวนคดีดังกล่าวอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 80 แต่พนักงานสอบสวนก็ได้ตรวจสอบและพบว่าไม่มีประเด็นมากพอที่จะมีการตรวจสอบการเสียชีวิตของมาริลินใหม่ได้ กระแสดังกล่าวจึงจางหายไปตามกาลเวลา

ถึงแม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปนานแล้วกว่า 50 ปีเศษ รูปภาพของเธอก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเซ็กซี่ ความร้อนแรง และกามารมณ์มาถึงทุกวันนี้

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!