จากตอนที่ 9 หลังจากที่ได้ต่อสู้กันไปวันหนึ่ง พระกฤษณะ อวตารของพระวิษณุ ได้บอกอรชุนตอนกลับไปยังค่ายว่า ในวันรุ่งขึ้นอรชุนจะต้องโกงเพื่อที่จะสังหารกรรณะให้ได้ มิฉะนั้นฝ่ายปาณฑพจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง
อรชุนไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจจะฝ่าฝืนได้
วันสุดท้าย
เช้าวันรุ่งขึ้น กรรณะได้นำคันธนูวิชัย (Vijaya) ซึ่งเป็นคันธนูของพระศิวะที่ปรสุราม อาจารย์ของตนเป็นผู้มอบให้มาใช้เป็นครั้งแรกในชีวิต
คันศรวิชัยของพระศิวะมีคุณสมบัติอยู่หลายประการ ได้แก่
- ผู้ที่ถือมันจะไม่มีวันพ่ายแพ้ในสงคราม
- เมื่อลูกศรใดๆ ก็ตามออกจากคันศรนี้ จะเกิดเสียงดังก้องราวกับฟ้าร้อง และแสงที่จ้ายิ่งกว่าฟ้าผ่าซึ่งจะทำให้ศัตรูตาบอดทั้งหมด
- ศรทุกดอกที่ออกจากคันศรนี้จะมีพลังมากขึ้นหลายเท่า
- ไม่มีอาวุธใดในโลกสามารถทำอันตรายผู้ถือคันธนูนี้ได้
ไม่ปรากฏว่าทำไมกรรณะไม่เคยใช้มันเลย อาจจะเป็นเพราะว่ามันจะต้องใช้กับศัตรูที่คู่ควรเท่านั้นก็เป็นได้
ในวันนั้นกรรณะคงจะคิดไว้แล้วว่าตนเองจะต้องตาย เพราะฉะนั้นเขาจะต่อสู้อย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าเขาจะมีเพียงตัวคนเดียวก็ตาม
ขณะเดียวกัน ก่อนที่จะออกไปรบ พระกฤษณะเตือนอรชุนว่าให้เขาระมัดระวังให้จงดี เพราะกรรณะมีความสามารถเทียบเท่าหรือมากกว่าอรชุน พระกฤษณะกล่าวว่า
จงได้ยินไว้เถิด บุตรแห่งปาณฑุ เราถือว่ากรรณะผู้ทรงพลังที่อยู่บนรถศึกนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเจ้า หรือบางที เหนือกว่าเจ้า! เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากและตัดสินใจได้ดีที่สุดถึงจะสังหารเขาได้ในการรบอันยิ่งใหญ่ ในด้านพลัง เขาเทียบเท่ากับเทพเจ้าอัคนี ในด้านความเร็ว เขาเทียบเท่าความมุ่งมั่นแห่งสายลม ในด้านความโกรธเขาเหมือนกับเทพเจ้าแห่งการทำลายล้าง เขาเหมือนกับสิงโตในร่างมนุษย์
Mahabharata
หลังจากนั้นพระกฤษณะย้ำต่อไปว่า มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่อรชุนจะสังหารกรรณะได้ ถ้าพลาดวันนี้ไป ไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่สามารถจะทำอันตรายกรรณะได้อีกแล้ว
การต่อสู้เปิดฉาก
ครั้งนี้ทั้งอรชุนและกรรณะเปิดมาถึงก็ปะทะกันเลย โดยไม่มีการใช้มนต์กำบังของพระกฤษณะอีกต่อไปแล้ว
กรรณะเปิดการรบด้วยการร่ายศรภควาต (Bhargavastra) แล้วยิงออกไปทันที
ศรภควาตที่ถูกยิงออกจากคันศรวิชัยของกรรณะ แตกออกเป็นล้านๆ ดอก ทุกดอกเป็นศรที่คมกริบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยลูกศรมหาศาลพุ่งเข้ามาฝ่ายปาณฑพ
ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น ทหารปาณฑพจำนวน 1 อักเษาหินี อันมีจำนวนสองแสนกว่าคน ถูกศรดังกล่าวสังหารเรียบ กองทัพของอาณาจักรเจดีย์ และ ปัญชละที่สังกัดฝ่ายปาณฑพเกือบจะถูกฆ่าทั้งกองทัพ ทั้งช้าง ม้า และรถศึกถูกทำลายสิ้น
ทหารปาณฑพรวมถึงพระกฤษณะและอรชุนต้องหนีตายไปอย่างลนลาน หากแต่ว่าถ้าไม่หยุดการใช้งานศรนี้ มันจะสังหารทุกชีวิตบนโลก กรรณะจึงหยุดมันไว้ในที่สุด
เมื่ออรชุนหนีกรรณะมานั้น เขาหนีไปถึงยุธิษฐิระพี่ชายคนโตของเขา ผู้เคยเยือกเย็น
ยุธิษฐิระเห็นอรชุนก็โกรธมาก เพราะอรชุนปล่อยปละให้ทหารฝ่ายเดียวกันถูกสังหารเป็นผักปลา ยุธิษฐิระบริภาษอรชุนและถามขึ้นว่า ไหนว่าเขาจะสังหารกรรณะอย่างไรเล่า แล้วทำไมถึงหนีตายมาเช่นนี้
เมื่อโดนพี่ชายด่าอย่างรุนแรง อรชุนจึงกลับไปต่อสู้กับกรรณะด้วยทิฐิมานะ เมื่อทั้งสองพบกัน ทั้งสามโลกก็เปิดออก เหล่าทวยเทพต่างพากันมาดูการต่อสู้จนถึงที่สุดของทั้งสองนักรบ นักรบทั้งสองฝ่ายก็หยุดการต่อสู้ และดูการต่อสู้ของทั้งสองคนเช่นกัน
การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้น กรรณะกระหน่ำยิงด้วยลูกธนูจำนวนมาก คันธนูของอรชุนขาดไปถึง 11 ครั้ง แต่อรชุนก็สามารถผูกสายธนูและยิงป้องกันตนเองจากพายุธนูของกรรณะได้อย่างคล่องแคล่ว และยิงตอบโต้ใส่กรรณะไปบ้าง
ทุกๆ ครั้งที่ลูกธนูของอรชุนยิงมาโดนรถศึกของกรรณะ รถศึกของกรรณะจะถอยหลังไปสิบก้าว ในขณะที่เมื่อกรรณะยิง รถศึกอรชุนจะถอยหลังไปเพียงสองก้าวเท่านั้น หากแต่ว่าพระกฤษณะที่นั่งอยู่หน้าอรชุนกลับสรรเสริญในความสามารถของกรรณะ
อรชุนได้ฟังก็อารมณ์เสียที่พระกฤษณะอวยแต่กรรณะ เขาจึงถามขึ้นว่า กรรณะผลักรถของตนได้แค่สองก้าวทำไมถึงชมเขาเสียหนักหนา อรชุนก็ผลักได้ถึงสิบก้าวทำไมถึงไม่ชม
พระกฤษณะจึงตอบว่า
เจ้ารู้หรือไม่อรชุน รถศึกของเจ้าถูกคุ้มกันโดยหนุมานผู้กล้าแกร่ง เขาเป็นธงประดับอยู่บนรถศึกของเจ้า และคอยทนความเจ็บปวดของศรศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่โจมตีเจ้า นอกจากนั้นเจ้ายังมีข้า มหาวิษณุ พระเจ้าแห่งสามโลกและจักรวาล รถศึกของเจ้าที่มีหนุมาน และข้าจึงหนักเท่ากับน้ำหนักของจักรวาลทั้งปวง ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถเคลื่อนมันได้ แต่วสุเสนา (กรรณะ) ผู้ซึ่งต่อสู้ด้วยความสามารถของตนเอง สามารถผลักมันได้ถึงสองก้าว ข้าจึงชื่นชมในความสามารถของเขา
ชะตาลิขิตที่จะต้องตาย
หากแต่ว่ามันถึงเวลาแล้วที่กรรณะจะต้องตาย รถศึกของกรรณะจึงติดหล่มระหว่างที่ต่อสู้กับอรชุน อย่างที่พระแม่ธรณีเคยสาปเขาไว้เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน คำสาปแรกจึงทำงานแล้ว
กรรณะจึงขอให้อรชุนเคารพในกฎแห่งสงครามอย่างที่ตนเองเคารพ นั่นคือให้เวลาตนเองไปดึงล้อรถขึ้นมา
หากแต่ว่าอรชุนกลับไม่เคารพกฎนั้น และกระหน่ำยิงธนูมายังกรรณะ แต่กรรณะก็ยังสามารถป้องกันตนเองได้ และพยายามจะสวนการโจมตีด้วยการใช้ศรพรหมัน (Brahmanda Astra) ซึ่งเป็นศรที่มีพลังการโจมตีมากที่สุด และไม่มีอาวุธใดจะต้านทานได้
แต่แล้วกรรณะกลับลืมมนตร์ที่ปลุกศรดังกล่าวเสียสิ้น ตามคำสาปของปรสุราม คำสาปที่สองจึงทำงานแล้ว
กรรณะจึงรีบลงจากรถและพยายามไปดึงล้อรถให้ขึ้นจากหล่ม
ขณะนั้นพระกฤษณะจึงให้อรชุนฉวยโอกาสยิงสังหารกรรณะ แต่ในมือกรรณะยังถือคันศรวิชัยอยู่ เขาร่ายมนตร์ปลุกศร Rudraastra แล้วยิงไปโดนอรชุนที่หน้าอกเต็มแรง อรชุนจึงทำคันศรคันธีวะหล่นจากมือและสลบไปในทันที
กรรณะจะยิงอรชุนให้ตายเลยก็ได้ แต่กรรณะไม่ทำเพราะเขาเคารพกฎของสงคราม กรรณะกลับวางคันศรลง ตนเองจะได้ใช้แรงดึงล้อรถขึ้นมาได้อย่างถนัดๆ แต่ไม่ว่ากรรณะจะออกแรงเท่าไร ล้อรถก็ไม่ขึ้นมาจากหล่ม
ต่อมาอรชุนที่สลบไปก็ฟื้นขึ้น และจับคันธนูของตนขึ้นมา พระกฤษณะสั่งให้อรชุนถือโอกาสยิงสังหารกรรณะเสียเลย เพราะกรรณะไม่มีอาวุธในมือ และกำลังหันหลังให้กับอรชุนด้วย ซึ่งเป็นไปตามคำสาปของพราหมณ์เลี้ยงสัตว์ คำสาปที่สามจึงทำงานแล้ว
ในเวลานั้นเท่ากับว่าเป็นโอกาสเดียวที่อรชุนจะยิงสังหารกรรณะได้ เพราะคำสาปทั้งสามทำงานพร้อมกัน
อรชุนถือคันศรของตนอยู่ในมือ และค้างอยู่ยังไม่ยิง เพราะในใจของอรชุนก็คิดว่ามันไม่ถูกต้อง พระกฤษณะจึงหาเหตุมาอ้างว่า ตอนนั้นกรรณะก็ร่วมมือกับพวกเการพสังหารอภิมันยุ บุตรชายอรชุนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอรชุนยิงกรรณะได้แล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว อรชุนจึงปลุกเสกศรอันจาลิกะแล้วยิงไปที่ศีรษะของกรรณะ ลูกศรฉีกศีรษะกรรณะขาดออกจากร่าง กรรณะสิ้นชีวิตทันที
กรรณะบริจาคทาน
บางตำนานเล่าว่า กรรณะยังไม่ได้ตายทันที เขาเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และนอนรอความตายอยู่ที่พื้นดิน พระกฤษณะจึงเข้าไปตรวจสอบดู
พระกฤษณะพบว่าเทพีธรรมะเทวตาได้ปกป้องกรรณะอยู่ เพราะกรรณะได้ทำทานมามากมาย ดวงวิญญาณของเขาจึงยังไม่ออกจากร่าง เมื่อพระกฤษณะทราบเช่นนั้น เขาเดินเข้าไปหากรรณะ และขอให้กรรณะบริจาคผลบุญทั้งหมดที่เขามีอยู่จากการทำทานให้กับพระกฤษณะทั้งหมด กรรณะไม่ปฏิเสธและลั่นวาจาว่าขอมอบผลบุญทั้งหมดให้กับพระกฤษณะ เทพีธรรมะเทวตาจึงหายไป หลังจากนั้นกรรณะจึงสิ้นชีวิตในที่สุด
อีกเรื่องหนึ่งก็เล่าว่า
กรรณะถูกศรแต่ยังไม่ตายเช่นเดียวกัน พระอินทร์และสุริยเทพ บิดาของอรชุนและกรรณะที่เฝ้าดูอยู่ด้วยต่างถกเถียงกันว่าบุตรของใครมีความเป็นวีรบุรุษมากกว่า ทั้งสองจึงจำลององค์มาเป็นพราหมณ์สองคนเดินมาที่จุดที่กรรณะนอนอยู่ ทั้งสองขอให้กรรณะบริจาคทานให้กับทั้งสองเสียอย่างหนึ่ง กรรณะกลับตอบว่าตนไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะบาดเจ็บกำลังจะตาย
พราหมณ์จำแลงตอบว่า พวกเขาทราบว่ากรรณะมีฟันทองอยู่ในปากอยู่ซี่หนึ่ง กรรณะไม่เคยลังเลใจที่จะรักษาความสัตย์ เขาหยิบหินข้างกายมาก้อนหนึ่งและทุบเข้าที่ฟันของตนเองจนหลุดออกจากปาก หลังจากนั้นจึงมอบให้พราหมณ์ทั้งสอง
พระอินทร์และสุริยเทพทราบในบัดดลว่ากรรณะกับอรชุนใครมีความเป็นวีรบุรุษมากกว่า
ทุรโยธน์ เจ้านายและเพื่อนรักของกรรณะไม่เคยเสียน้ำตาให้กับผู้ใด ถึงแม้ว่าน้องชายแท้ๆของตนเองจำนวน 99 คนจะถูกภีมะสังหารทั้งหมดก็ตาม แต่เมื่อกรรณะสิ้นชีวิตลงนั้น ทุรโยธน์ร้องไห้อย่างหมดท่าเลยทีเดียว การตายของกรรณะได้ทำลายความต้องการของทุรโยธน์ที่จะต่อสู้ต่อไปจนหมดสิ้น
กลายเป็นตำนาน
หลังจากที่สงครามจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายปาณฑพ พวกพี่น้องปาณฑพทั้งห้าถึงรู้ความจริงจากนางกุนตีว่า กรรณะเป็นพี่ชายของพวกเขาทั้งหมด ยุธิษฐิระรู้สึกโกรธมาก เขาต่อว่ามารดาว่า ถ้ามารดาไม่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ สงครามครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้น ยุธิษฐิระจึงสาปผู้หญิงทั้งโลกว่าให้เก็บความลับไม่ได้อีกต่อไป
ฝ่ายอรชุนเมื่อรู้ความจริงก็ถึงกับเข่าอ่อน ความรู้สึกที่สังหารพี่ชายของตนเองจากด้านหลังหลอกหลอนเขาไปจนวันตาย ภายหลังอรชุนได้สร้างวิหารขึ้นเพื่อไถ่บาปของเขา และเลี้ยงดูบุตรชายคนหนึ่งของกรรณะอย่างดี
มีหนังสือบางเล่มเล่าต่อไปว่า ในวันที่ 18 อันเป็นวันสุดท้ายของสงคราม ทุรโยธน์และยุธิษฐิระต่างแย่งกันจะเป็นผู้ทำพิธีศพให้กับกรรณะ ยุธิษฐิระอ้างว่าในเมื่อจริงๆแล้วกรรณะเป็นหนึ่งในพวกปาณฑพ เขาควรจะเป็นผู้ได้ทำพิธีศพให้กรรณะ แต่สุดท้ายแล้ว พระกฤษณะตัดสินชี้ขาดให้ทุรโยธน์ ผู้ที่อุปถัมภ์ค้ำชู และเพื่อนที่ดีของกรรณะมาโดยตลอดเป็นผู้ทำพิธีให้กรรณะ
เมื่อร่างของกรรณะกำลังลุกโชดิช่วงในกองเพลิง นางวรูชาลี (Vrushali) ภรรยาของกรรณะ ได้กระโดดเข้ากองไฟตามสามีตามประเพณีสตี (Sati) ทำให้ทุกคนยิ่งโศกเศร้าขึ้นไปอีก
กรรณะจึงเป็นวีรบุรุษผู้พ่ายแพ้แห่งมหาภารตะ เขาเป็นคนเก่งกล้า มีคุณธรรม แต่โลกไม่เคยอยู่ข้างเขาเลย
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ เขาทำทุกอย่างด้วยความสามารถเท่าที่มี และตามหลักของคุณธรรม แม้กระทั่งในวาระสุดท้ายก็ตาม
สาเหตุที่กรรณะเลือกอยู่ฝ่ายทุรโยธน์ ก็เพราะความจงรักภักดีต่อเจ้านาย และความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีบุญคุณ
กรรณะรู้ดีว่าตนเองอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายธรรมะ เขาจึงเลือกที่จะตายอย่างกล้าหาญ เพื่อให้ธรรมะได้ถูกผดุงไว้บนแผ่นดิน
อย่างไรก็ตาม กรรณะก็มีข้อเสียและข้อผิดพลาดไม่ต่างกับมนุษย์ผู้ใด เพราะเขาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความโลภ โกรธ หลง คนหนึ่ง
หลายพันปีผ่านไปหลังจากมหากาพย์มหาภารตะถือกำเนิดขึ้น ความเป็นยอดแห่งการทำทาน ความกล้าหาญ และความซื่อสัตย์ของกรรณะยังถูกจดจำมาถึงปัจจุบัน ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ปรสุรามว่าไว้
ชื่อเสียงและความดีงามของเจ้าจะอยู่ไปตลอดชั่วกัลปาวสาน