หางโจว หรือ หังโจว (Hangzhou) เป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง มณฑลทางตะวันออกของประเทศจีน ตัวเมืองตั้งอยู่ที่อ่าวหางโจว และติดกับคลองต้าอวิ๋นเหอ ด้วยความที่ติดกับแหล่งคมนาคมที่สำคัญทำให้หางโจวเป็นเมืองเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองมาอย่างน้อยหนึ่งพันปีแล้ว
อย่างไรก็ดีหางโจวยังมีชื่อเสียงในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์อันสวยงามด้วย ซึ่งในโพสนี้ผมจะแนะนำให้ทุกคนทราบครับว่าสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองมีที่ใดบ้าง แต่ก่อนหน้านั้น เราไปดูประวัติของเมืองกันก่อนจะดีกว่าครับ
ประวัติย่อเมืองหางโจว
หางโจว (Hangzhou) มีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงสมัยราชวงศ์สุย โดยตัวเมืองได้รับการสร้างเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัด “หาง” ดังนั้นเมืองนี้จึงได้ชื่อว่าหางโจวไปโดยปริยาย
หลังจากสุยหยางตี้สร้างคลองใหญ่ต้าอวิ๋นเหอ หางโจวจึงเริ่มเจริญรุ่งเรืองขึ้นเพราะเป็นเมืองที่อยู่ปลายทางของคลองดังกล่าวพอดี ในสมัยราชวงศ์ถัง ราชสำนักได้ส่งขุนนางมาปรับปรุงการชลประทานของเมือง ทำให้ปัญหาแล้งของชาวเมืองทุเลาลงไปมาก ชาวบ้านต่างเข้ามาอยู่อาศัยในหางโจวมากขึ้นตามลำดับ ในปลายสมัยถัง หางโจวเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของอาณาจักรจีนไม่แพ้หนานจิง (นานกิง) เลย
ในช่วงศตวรรษที่ 12 ราชวงศ์ซ่งเสียเมืองไคเฟิงอันเป็นเมืองหลวงให้กับอาณาจักรจินในเหตุการณ์ทุกขภัยแห่งจิ้งคัง เชื้อพระวงศ์ซ่งและเหล่าขุนนางจึงหนีศึกลงใต้มาตั้งเมืองหลวงชั่วคราวอยู่ที่หางโจว เดิมทีราชวงศ์ซ่งคิดว่าจะตั้งอยู่ที่หางโจวชั่วคราวเท่านั้น แต่เมื่อไม่สามารถขับไล่กองทัพจินออกจากภาคเหนือได้ ราชสำนักซ่งจึงตั้งอยู่ที่หางโจวจนสิ้นราชวงศ์
การที่เมืองหลวงของอาณาจักรตั้งอยู่ที่หางโจว ทำให้หางโจวรุ่งเรืองถึงขีดสุดทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า ศิลปกรรม และวัฒนธรรม ในยุคมองโกล มาร์โค โปโล และนักท่องเที่ยวอาหรับได้เดินทางมาที่นี่ และขนานนามว่าหางโจวเป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นบนโลกนี้
ในสมัยราชวงศ์หมิง ชิง ตลอดจนถึงปัจจุบัน หางโจวยังคงเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจีน ทำให้หางโจวเป็นเมืองที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไปโดยปริยาย และยังเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัท Alibaba อีกด้วย
ถัดไปเราไปดูกันดีกว่าครับว่า หางโจวมีสถานที่เที่ยวที่ใดบ้าง
1. West Lake
West Lake หรือ ซีหู เป็นทะเลสาบที่เป็นมรดกโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของเมืองหางโจว ตัวทะเลสาบมีภูเขาล้อมรอบทั้งสามด้านและมีความสวยงามโดดเด่น ในอดีตกวี ศิลปิน และนักประพันธ์จีนในอดีตล้วนแต่เคยได้รับแรงบันดาลใจจากความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้มาแล้ว
ทะเลสาบแห่งนี้มีจุดสวยงามที่คุณควรไปชมอยู่หลายแห่ง ได้แก่
- Su Causeway: ถนนที่ตัดผ่านทะเลสาบทำให้สองข้างของถนนเป็นทะเลสาบ ตัวถนนประกอบด้วยสะพาน 6 แห่ง ซึ่งเป็นจุดชมวิวทะเลสาบแห่งนี้ที่ดีที่สุดครับ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้จะบานสะพรั่งทำให้บริเวณนี้สวยมากๆ ครับ
- Lotus Pool: ส่วนของทะเลสาบที่มีดอกบัวมากมาย
- Flower Pond: ส่วนของทะเลสาบที่มีปลาคาร์ฟอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
- Leifang Pagoda: เจดีย์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยศตวรรษที่ 10 เจดีย์จะสะท้อนลงมาในทะเลสาบด้วยครับ
- North Peak/South Peak: ภูเขาสองลูกทางตอนเหนือและใต้ของทะเลสาบ ถ้าคุณขึ้นไปแล้วจะสามารถชมวิวมุมสูงของทะเลสาบได้ครับ
- Broken Bridge: อีกหนึ่งจุดชมวิวในทะเลสาบที่เป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวครับ
ทะเลสาบซีหูจะมีแสดงโชว์ด้วยครับ โชว์จะมีสองรูปแบบด้วยกัน นั่นคือโชว์น้ำพุกับโชว์การแสดงพื้นบ้าน โชว์น้ำพุสามารถดูได้ฟรีที่หน้าโรงแรม Hyatt แต่โชว์การแสดงพื้นบ้านจะต้องเสียเงินค่าตั๋วในราคา 360 หยวนครับ
วิธีการเดินทางมาทะเลสาบซีหู (West Lake) ที่ง่ายที่สุด: นั่ง metro สาย 1 ลง Longxiangqiao และเดินไปอีกไม่ไกลก็จะเห็นทะเลสาบแล้วครับ
2. Tomb of General Yue Fei
Tomb of General Yue Fei หรือสุสานของแม่ทัพเย่ว์เฟย ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบซีหู ตัวสุสานสร้างขึ้นเพื่ออุทิศความซื่อสัตย์และจงรักภักดีของแม่ทัพเย่ว์เฟย วีรบุรุษชาวจีนผู้หาญกล้าต่อสู้กับศัตรูต่างชาติ แต่สุดท้ายเขากลับสิ้นชีวิตเพราะถูกพวกขุนนางกังฉินใส่ความ
ภายในสุสานมีศาลที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่ของแม่ทัพเย่ว์เฟยตั้งอยู่ ตลอดจนตัวอักษรจีน 4 ตัวที่เย่ว์เฟยเป็นผู้เขียนขึ้นด้วยตนเอง (มีความหมายว่าตีชิงดินแดนกลับคืนและรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง) นอกจากนี้ยังมีรูปวาดเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของเขาด้วย ส่วนหลุมฝังศพของเขาเป็นแบบจีนทั่วไป และตั้งอยู่ตรงกลางของสุสานเลยครับ
อย่างไรก็ดีไฮไลท์ของสุสานแห่งนี้คือ รูปปั้นของฉินหุ้ย ขุนนางกังฉินที่ใส่ความเย่ว์เฟยและภรรยา รูปปั้นเหล่านี้ถูกปั้นในลักษณะคุกเข่าเหมือนกับนักโทษที่ก้มหน้ายอมรับความผิด ซึ่งชาวจีนทุกยุคทุกสมัยต่างมาระบายอารมณ์กับรูปปั้นเหล่านี้ ทำให้รูปปั้นเสียหายไปหลายครั้งแล้วครับ
วิธีเดินทางไป Tomb of Yue Fei: นั่งรถบัสสาย 7,27,51,52,118 และลงที่ Yuemiao ค่าเข้าชมอยู่ที่ 25 เหรียญครับ
3. Lingyin Temple
Lingyin Temple หรือวัดหลิงหยิ่น (灵隐寺) เป็นวัดพุทธที่มีความสำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในหางโจวและประเทศจีน ตัววัดมีประวัติย้อนไปได้ถึงช่วงราชวงศ์จิ้นตะวันออก ซึ่งในช่วงนั้นหางโจวยังไม่ได้เป็นเมืองด้วยซ้ำไป
ตัววัดได้รับการขยายเพิ่มเติมจนเป็นวัดขนาดยักษ์ในสมัยศตวรรษที่ 10 จนมีอาคารหลายสิบหลังที่มีห้องรวมกันถึง 1,300 ห้อง แต่เพราะสงคราม การต่อสู้ และภัยพิบัติต่างๆ ได้ทำให้อาคารส่วนใหญ่ถูกทำลายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงตัวโบสถ์หลักเท่านั้น
ปัจจุบันวัดแห่งนี้จึงเหลือแต่เพียงเศษเสี้ยวของอดีตอันยิ่งใหญ่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวัดแห่งนี้จะไม่น่าสนใจ เพราะอาณาบริเวณวัดมีพระพุทธรูปและรูปปั้นองค์พระโพธิสัตว์ที่เก่าแก่และสวยงามที่ถูกแกะสลักเข้าไปในช่องเขาหลายร้อยองค์ รวมไปถึงเจดีย์โบราณอีกหลายหลังด้วยครับ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าสวยงามมากเลยทีเดียว
วิธีไป Lingyin Temple:
- นั่งรถบัสสาย 7,324,807,j1,y2 ลงสถานี Lingyin
- นั่งรถบัส 103b, 103, 121b, 121, 324 ลงสถานี Lingyin Dong (Lingyin ตะวันออก)
ค่าเข้า: 75 เหรียญ (รวมทั้งวัดและพระพุทธรูปแกะสลักในหิน)
4. Grand Canal
Grand Canal หรือต้าอวิ๋นเหอเป็นคลองใหญ่ยาว 1,764 กิโลเมตรที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ทั้งหมด ตัวคลองเชื่อมต่อพื้นที่ต่างๆของประเทศจีนตั้งแต่หางโจวไปจนถึงปักกิ่งครับ ในอดีตมันถูกใช้ในการขนส่งเสบียงอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะภาคใต้ของจีนอุดมสมบูรณ์กว่าภาคเหนือนั่นเอง
ที่หางโจว คุณสามารถล่องเรือสไตล์จีนโบราณเพื่อชมคลองแห่งนี้ได้ สองข้างทางจะมีอาคารเก่าๆ สไตล์จีนโบราณตั้งอยู่ครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด:
- นั่ง metro สาย 1 ลงสถานี Wulin Square และออกทางออก B
- นั่ง metro สาย 5 ลงสถานี Grand Canal และเดินไปอีก 700 เมตร
5. Liuhe Pagoda
Liuhe Pagoda หรือลิ่วเหอถ่า (六和塔) เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมโบราณที่สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ของจีน ตัวเจดีย์สร้างขึ้นในปี ค.ศ.970 แต่ถูกทำลายในปี ค.ศ.1121 เลยมีการสร้างใหม่ในปี ค.ศ.1165 ซึ่งเจดีย์ที่เราเห็นในปัจจุบันคือ เจดีย์ใหม่นี้เองครับ
ทรงเจดีย์เป็นแบบแปดเหลี่ยมซึ่งสวยงามมาก และดูยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะความสูงเกือบ 60 เมตรของตัวเจดีย์ด้วยที่ทำให้เห็นเหมือนกับหอคอยที่คุ้มกันเมือง
คุณสามารถขึ้นไปชั้นบนสุดของเจดีย์เพื่อชมความงามของเมืองหางโจว และแม่น้ำเฉียนถังได้แบบ 360 องศาเลยครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่งบัสสาย 4, 287, 318, 334, 354 ลงสถานี Liuhe Pagoda (六和塔) ค่าเข้าอยู่ที่ 20 หยวนครับ
6. Qinghefang Ancient Street
Qinghefang Ancient Street เป็นถนนโบราณในหางโจว และเป็นส่วนสำคัญของเมืองเก่าหางโจว ทำให้ที่นี่อุดมไปด้วยวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเมืองที่ยาวนานกว่าหนึ่งพันปีครับ
ถนนแห่งนี้เป็นถนนคนเดินมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ในปัจจุบันร้านค้ามากมายที่หลงเหลืออยู่ก็มีอายุอย่างน้อย 100 ปีแล้ว และยังประกอบกิจการแบบเดิมไม่มีผิดเพี้ยน นอกจากนี้ถนนแห่งนี้ยังมีร้านอาหารที่มีชื่อเสียงอีกหลายร้านด้วยกัน
ดังนั้นคุณไม่ควรพลาดที่จะมาลองชิมอาหาร หรือซื้อของที่ระลึกแบบจีนโบราณกลับไปครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง metro สาย 1 ลงสถานี Ding’an Road และออกทางออก C
7. National Silk Museum
National Silk Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมแห่งชาติของจีน ทั้งนี้อารยธรรมจีนเป็นอารยธรรมแห่งแรกที่ทำเสื้อแต่งกายจากผ้าไหม ซึ่งผ้าไหมของจีนงดงามและสวมใส่สบายมากมาตั้งแต่โบราณแล้ว และเป็นสินค้าออกอันดับ 1 ที่แม้แต่ชาวโรมันยังชื่นชอบผ้าไหมเหล่านี้เลยครับ
ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คุณสามารถเข้าไปดูกรรมวิธีการทำผ้าไหม และโบราณวัตถุเกี่ยวกับผ้าไหมตลอดทุกยุคทุกสมัยของจีนได้ครับ หนึ่งในสิ่งของจัดแสดงที่น่าสนใจมากๆ คือเสื้อแต่งกายของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์จีนที่ทำมาจากผ้าไหมครับ
ถ้าคุณรู้สึกประทับใจ คุณสามารถซื้อผลิตภัณฑ์จากผ้าไหมกลับไปได้ด้วย ผมเองก็เคยซื้อผ้าห่มผ้าไหมกลับไปจากที่นี่ ผมพบว่ามันดีมากๆ ครับ คุณภาพผ้านี่นุ่มและดีกว่าผ้าห่มทั่วไปอย่างชัดเจน พอห่มแล้วรู้สึกสบายจริงๆ ครับ ถ้ามีโอกาส ผมยังอยากกลับไปซื้ออีกสักชิ้นเลยครับ
แต่! ถ้าซื้อร้านที่ไม่ใช่ร้านของรัฐบาล ระวังเจอผ้าไหมปลอมนะครับ!
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่งรถบัสสาย 12, 31, 42, 87, 133 ลงสถานี Silk Museum
ส่งท้าย
- หางโจวเป็นเมืองที่เที่ยวไม่ยากและปลอดภัย ซึ่งจริงๆแล้วคุณไม่จำเป็นต้องไปกับทัวร์ก็ได้ครับ
- สำหรับใครที่จะไปเที่ยวหางโจวเอง ผมแนะนำว่าให้ไปคู่กับเซี่ยงไฮ้ ซูโจว หนานจิง รวมไปถึงเกาะผู่โถวซานด้วย คุณสามารถใช้รถไฟความเร็วสูงเดินทางไปมาระหว่างเมืองเหล่านี้ได้อย่างสบายๆ ครับ ยกเว้นผู่โถวซานที่จะยากหน่อย เพราะต้องนั่งเรือข้ามฟากนั่นเอง