มิวนิค (Munich) หรือ München ในภาษาเยอรมัน เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรียของประเทศเยอรมนี และเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปด้วย คนไทยน่าจะคุ้นเคยกับเมืองมิวนิคมาบ้างจากทีมฟุตบอล “บาเยิร์น มิวนิค” นั่นเอง
ตัวเมืองเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทำให้เมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่น่าสนใจ แต่ก่อนที่ผมจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ผมขออธิบายข้อมูลของเมืองนี้ให้ทุกคนทราบกันคร่าวๆ ก่อนครับ
รู้จักมิวนิค (Munich)
เมืองมิวนิค (Munich) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ตัวเมืองติดกับแม่น้ำ Isar สาขาหนึ่งของแม่น้ำดานูบ และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ Bavarian Alps ซึ่งคุณสามารถเห็นเทือกเขาจากบริเวณเมืองด้วยครับ
ด้วยประชากรกว่า 6 ล้านคน ทำให้มิวนิคเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งในเยอรมนีตอนใต้ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ การเงิน เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ฯลฯ

แม้ว่าจะมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ผู้คนก็อาศัยกันอยู่อย่างมีความสุข คุณภาพชีวิตในเมืองมิวนิคถือว่าเป็นอันดับหนึ่งในเยอรมนี และอันดับสามของโลกครับ
ความเป็นมาของเมืองมิวนิคสามารถย้อนไปถึงช่วงยุคกลาง ในอดีตมิวนิคเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีนักบวชในศาสนาคริสต์ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่เท่านั้น แต่หมู่บ้านค่อยๆ เจริญขึ้นมาตามลำดับและได้รับสถานะเป็นเมืองในปี ค.ศ.1175
เมื่อรัฐบาวาเรียถูกแบ่งเป็นสองส่วนในปี ค.ศ.1255 ดยุคแห่งบาวาเรียบน (Upper Bavaria) ได้เลือกที่จะพำนักอยู่ที่เมืองมิวนิค ทำให้ตัวเมืองมีความสำคัญขึ้นมามากในฐานะเมืองหลวงของรัฐ
ต่อมาดยุคหลุยส์ที่ 4 แห่งบาวาเรียบนได้รับเลือกเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เมืองมิวนิคที่หลุยส์เกิดจึงได้สัมปทานผูกขาดการค้าเกลือ ทำให้มิวนิคร่ำรวยขึ้นอย่างก้าวกระโดด

หลังจากที่บาวาเรียได้รวมเป็นหนึ่งอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 16 มิวนิคได้กลายเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรียใหม่ แต่ภายในไม่นาน มิวนิคกลับเป็นศูนย์กลางของการต่อต้านนิกายโปรแตสแตนท์ (Counter Reformation) ส่งผลให้ตัวเมืองมีบทบาทสำคัญในสงครามสามสิบปีด้วย ในช่วงสงคราม มิวนิคถูกกองทัพสวีเดนที่เป็นฝ่ายโปรแตสแตนท์ยึดครอง โชคยังดีที่เมืองไม่เสียหายมากนัก
ในปี ค.ศ.1806 อาณาจักรบาวาเรียได้ถูกสถาปนาขึ้นโดยมีมิวนิคเป็นเมืองหลวง กษัตริย์บาวาเรียได้ให้ความสำคัญกับศิลปวัฒนธรรมมาก การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสวยๆ จึงเกิดขึ้นมากในช่วงนี้ ซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเวลาต่อมานั่นเองครับ
อย่างไรก็ดีการก่อสร้างได้พุ่งเกินกว่าท้องพระคลังของอาณาจักรจะรับไหวในสมัยของลุดวิกที่ 2 เพราะลุดวิกได้สร้างปราสาทและพระราชวังมากมายนอกเมืองมิวนิค อาทิเช่นปราสาทนอยชวานสไตน์เป็นต้น ท้องพระคลังที่ร่อยหรอทำให้รัฐบาลมิวนิคจำต้องถอดลุดวิกออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ลุดวิกจะสวรรคตอย่างลึกลับในเวลาต่อมา

ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่วงที่มิวนิครุ่งโรจน์สุดๆ ทั้งทางด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ช่วงเวลานี้เองเป็นช่วงที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เดินทางมามิวนิคและวาดรูปสถานที่ท่องเที่ยวแล้วนำไปขาย ตามความฝันที่จะเป็นจิตรกรของตน
เมื่อสงครามโลกครั้งแรกผ่านพ้นไป มิวนิคถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเมืองที่เคยสงบสุขและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของศิลปะกลายเป็นเมืองที่ร้อนระอุไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มซ้ายจัดและกลุ่มขวาจัด กิจกรรมทางการเมืองของฮิตเลอร์เองก็เริ่มต้นที่นี่ และเป็นสถานที่ที่นำเขาขึ้นสู่อำนาจด้วย
มิวนิคได้รับความเสียหายอย่างยับเยินจากการทิ้งระเบิดของกองทัพพันธมิตรระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์สงครามที่ย่ำแย่ทำให้ชาวเยอรมันจำนวนหนึ่งตาสว่าง โดยเฉพาะ Sophie Scholl นักศึกษาสาวจากมหาวิทยาลัยมิวนิคผู้กล้าหาญที่จะต่อต้านรัฐบาลนาซี แม้เธอจะต้องจบชีวิตลง เธอได้กลายเป็นวีรสตรีที่ได้รับการยกย่องของชาวเมืองมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากสงครามสงบ เมืองมิวนิคได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่อย่างระมัดระวังโดยอ้างอิงจากแผนผังเมืองเก่า รัฐบาลเยอรมันตะวันตกได้พัฒนาเมืองให้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ทำให้ตัวเมืองกลับมามีชีวิตชีวาและสวยงามเหมือนเดิม

ปัจจุบันมิวนิคเป็นเมืองสวยที่มีค่า pm 2.5 ต่ำมาก เพราะความพยายามของกลุ่มหลายกลุ่มในเมืองที่ช่วยกันรณรงค์ให้รัฐบาลกำจัดมลพิษ อาชญากรรมเองก็ต่ำมากแม้จะเทียบกับในประเทศเยอรมนีเองก็ตาม นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลมาเที่ยวมิวนิคทุกปี
ถัดไปเราไปดูกันดีกว่าครับ มิวนิคมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าไปที่ไหนบ้าง
1. Frauenkirche
Frauenkirche หรือ Cathedral Church of Our Dear Lady เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองมิวนิค เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ในปี ค.ศ.1488 ตัวมหาวิหารสามารถสังเกตเห็นได้จากระยะไกลเพราะสร้างขึ้นจากอิฐสีน้ำตาล นอกจากนี้ยังมีหลังคาสีแดง และหอคอยทั้งสองที่สูงมากกว่า 100 เมตรตั้งอยู่คู่กันหน้าโบสถ์ด้วย

ด้วยเหตุนี้ Frauenkirche จึงมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมิวนิคมาเป็นเวลาเกือบ 600 ปีครับ
ภายในมหาวิหารเองก็สวยงามไม่แพ้ด้านนอก ถ้าเดินเข้าไปจากประตู คุณจะไม่เห็นหน้าต่างสักบานยกเว้นบานด้านในสุดเท่านั้น ตามรูปด้านล่าง

ด้านในวิหารได้รับความเสียหายหนักในช่วงสงคราม ส่วนใหญ่ที่คุณเห็นจึงเป็นของใหม่ที่สร้างขึ้นมา อย่างไรก็ดีจุดที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อดีตและรอดพ้นมาได้คือ รอยเท้าแปลกๆบริเวณทางเข้าโบสถ์ ที่มีตำนานว่าเป็นรอยเท้าของปีศาจหรือที่เรียกกันว่า Devil’s Footstep หรือ Teufelstritt นอกจากนี้ยังมีสุสานของดยุคแห่งบาวาเรียในช่วงยุคกลางหลายคนด้วย
ถ้ามาเที่ยวที่นี่แล้ว คุณควรจะขึ้นไปชมวิวบนหอคอยทั้งสองครับ เพราะจะได้เห็นวิวทั้งเมืองรวมไปถึง Bavarian Alps ไปในคราวเดียวกัน ในปัจจุบันรัฐบาลเยอรมันไม่ให้ใครสร้างตึกสูงกว่าหอคอยทั้งสองนี้ ดังนั้นวิวของคุณจะเห็นไปไกลสุดลูกหูลูกตาโดยไม่มีสิ่งกีดขวางครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-bahn/S-bahn ลง Marienplatz
2. Marienplatz
Marienplatz เป็นจัตุรัสใหญ่ใจกลางเมืองมิวนิค จัตุรัสแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่พวกอัศวินในช่วงยุคกลางประลองยุทธ์ (jousting) ให้ผู้ชมดู แต่ในเวลาต่อมา Marienplatz ได้กลายเป็นศูนย์กลางของการค้าขายต่างๆ มาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ไฮไลท์ของ Marienplatz คือ Mariensäule หรือหอคอยที่มีอนุสาวรีย์พระแม่มารีตั้งอยู่ด้านบน หอคอยนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดการยึดครองเมืองของกองทัพสวีเดนในช่วงสงคราม 30 ปี ซึ่งหอคอยแห่งนี้เป็นที่มาของชื่อจัตุรัสหรือว่า Marienplatz ด้วยครับ

บริเวณจัตุรัสมีอาคารศาลากลางอยู่สองแห่งด้วยกัน ได้แก่ Altes Rathaus (ศาลากลางเก่า) และ Neues Rathaus (ศาลากลางใหม่) ซึ่งศาลากลางใหม่จะมีขนาดใหญ่และครอบครองพื้นที่ด้านหนึ่งของจัตุรัสเลยครับ ส่วนศาลากลางเก่าจะค่อนข้างเล็ก เพราะเสียหายมากจากช่วงสงคราม มันจึงทำหน้าที่เป็นทางเข้าออกให้กับจัตุรัสเท่านั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ Fischbrunnen หรือน้ำพุใหม่อันสวยงามที่นำชิ้นส่วนสำริดมาจากน้ำพุเดิมอายุหลายร้อยปีครับ ผู้ว่าราชการเมืองจะนำกระเป๋าเงินเปล่ามาล้างที่นี่ในวัน Ash Wednesday ตามตำนานเก่าแก่ที่ว่าถ้านำมาล้างแล้ว เมืองจะไม่มีปัญหาทางการเงินครับ

ในช่วงเทศกาล จัตุรัส Marienplatz จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน อาทิเช่นเทศกาลคริสต์มาสที่จะมีตลาดพิเศษจัดให้ชาวเมืองมาเดินเล่นกันครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-bahn/S-bahn ลง Marienplatz
3. Munich Residenz
Munich Residenz เป็นพระราชวังอันเป็นที่ประทับของผู้ปกครองบาวาเรียมานานหลายร้อยปี และเป็นพระราชวังในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี แม้กระทั่งพระราชวัง Charlottenburg ในเบอร์ลินของกษัตริย์ปรัสเซียก็เทียบไม่ได้ครับ

ถ้าสังเกตดีๆ ตัวพระราชวังจะสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ Renaissance, Baroque และ Rococo ซึ่งเกิดจากการสร้างต่อเติมในแต่ละยุคแต่ละสมัยเพิ่มขึ้นมา แต่ส่วนที่สวยเป็นพิเศษคือ Alte Residenz และ Antiquarium ที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะ Renaissance ครับ

ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาของมีค่าและโบราณวัตถุไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อรวมกับตัวพระราชวังที่สวยงามอยู่แล้ว ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่คุณพลาดไม่ได้เลยครับ
ไม่เพียงเท่านั้น ด้านตะวันออกของพระราชวังมีโรงภาพยนตร์เก่าแก่ชื่อ Cuvilliés Theater โรงภาพยนตร์แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยสไตล์บารอคและมีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเยอรมนี โอเปร่าของโมสาร์ทอย่าง Idomeneo ก็เริ่มแสดงที่นี่เป็นที่แรกในปี ค.ศ.1781
ด้านนอกของ Munich Residenz มีสวนที่ชื่อ Hofgarten ตัวสวนจะเป็นสวนสไตล์ Renaissance ซึ่งมีน้ำพุ สระน้ำ และต้นไม้ที่สวยงามมาก ถ้ามีเวลา ผมแนะนำให้ไปเดินเล่นและถ่ายรูปในสวนครับ

วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-bahn/S-bahn ลง Marienplatz หรือ Odeonsplatz
4. Englischer Garten
Englischer Garten หรือ English Garden เป็นสวนในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนีด้วยพื้นที่กว่า 3.7 ตารางกิโลเมตร ชาวเมืองมักจะเดินทางปิกนิคและพักผ่อนกันที่นี่ครับ นอกจากนี้ภายในสวนมีทางเดินเลียบทะเลสาบที่ให้คุณเดินหรือออกกำลังกายได้อย่างสบายๆ กลางเมืองด้วย

นอกจากนี้ใกล้กับสวนยังมี Bavarian National Museum ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุยุคกลางจำนวนมากด้วย และถ้าคุณสนใจยุคก่อนประวัติศาสตร์ โปรดเดินทางไปที่ Bavarian State Archaeological Collection ที่จัดแสดงโบราณวัตถุจากช่วงดังกล่าว และตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันนักครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: เนื่องจากสวนมีขนาดใหญ่มาก คุณสามารถนั่ง U-Bahn เดินเข้าสวนได้จากหลายสถานีด้วยกันครับ อย่างเช่น Odeonsplatz เป็นต้น
5. Peterskirche
Peterskirche หรือ St. Peter’s Church เป็นโบสถ์ที่อุทิศให้กับนักบุญปีเตอร์ และมีความเก่าแก่มากกว่า Frauenkirche เสียอีกเพราะว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1386

โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยสไตล์ Gothic แต่ได้รับการเติมแต่งด้วยสไตล์ Baroque ในช่วงศตวรรษที่ 17 ความผสมผสานอย่างไม่มีที่ติของศิลปะทั้งสองแบบทำให้ทั้งภายในและภายนอกโบสถ์งดงามอย่างมากครับ

ด้านในของโบสถ์มีผลงานของจิตรกรที่มีชื่อเสียงชาวเยอรมันหลายคนให้ได้ชม อย่างเช่นภาพเขียนของ Jan Polack หรือว่ารูปปั้นหินอ่อนสีแดงของ Erasmus Grasser นอกจากนี้คุณยังสามารถเดินขึ้นบันไดเกือบ 300 ขั้นเพื่อไปชมวิวของเมืองมิวนิคด้านบนได้ด้วยครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-bahn/S-bahn ลง Marienplatz
6. Nymphenburg Palace
Nymphenburg Palace คือพระราชวังสไตล์บารอคอันใหญ่โตที่เป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของกษัตริย์บาวาเรียและเชื้อพระวงศ์ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่กษัตริย์นักฝันอย่างลุดวิกที่ 2 เกิดด้วย

คุณจะได้เห็นห้องที่เหล่าเชื้อพระวงศ์เคยใช้ชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องอาหาร ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่ถูกตบแต่งอย่างหรูหราทั้งสิ้น นอกจากนี้ด้านในพระราชวังยังมีโบสถ์ส่วนตัวด้วย ภายในโบสถ์มีภาพเขียนอันสวยงามที่เล่าถึงชีวิตของ Mary Magdalene ผู้ติดตามหญิงคนสำคัญของพระเยซูคริสต์ครับ
ภายในสวนของพระราชวังมีอาคารเก่าแก่ชื่อ Amalienburg ซึ่งเป็นสถานที่พำนักสุดอลังการที่มีชื่อเสียงมากจากความงดงามของห้อง Hall of Mirrors ครับ

วิธีไปที่ง่ายที่สุด: S-Bahn ไปยังสถานี Laim แล้วต่อด้วยรถบัสลง Schloss Nymphenburg หรือ U-Bahn ลง Rotkreuzplatz ต่อด้วย tram ลง Schloss Nymphenburg (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่)
7. Asamkirche
Asamkirche เป็นโบสถ์ทรง Baroque ที่อุทิศให้กับนักบุญ John of Nepomuk ภายในตัวโบสถ์ถูกตบแต่งอย่างประณีตและหรูหราด้วยภาพเขียนสีเฟรสโก และน้ำมัน ซึ่งเล่าเรื่องราวของนักบุญผู้นี้ให้โลกได้ประจักษ์ครับ

ถ้าคุณสังเกตดีๆ ช่างฝีมือได้ตบแต่งด้านในตัวโบสถ์โดยใช้สีแบบไล่ความสว่าง หมายความว่าส่วนที่ติดกับพื้นจะใช้สีเข้มทึบ แต่เมื่อไล่ขึ้นไปจนถึงเพดานจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ

บนพื้นด้านล่างสุดที่มืดๆ จะเป็นที่นั่งสำหรับสามัญชนคนทั่วไป ส่วนตรงกลางที่สว่างขึ้นมาจะมีที่นั่งสำหรับกษัตริย์ ส่วนบริเวณเพดานแน่นอนว่าสำหรับพระเจ้าในศาสนาคริสต์ครับ
ด้วยรูปแบบศิลปะเช่นนี้ ทำให้ภายในโบสถ์แห่งนี้จึงสวยงามมาก และควรค่าต่อการมาชมอย่างยิ่งครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-Bahn ลง Sendlinger Tor
8. Michaelskirche
Michaelskirche หรือโบสถ์เซนต์ไมเคิล เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1597 ด้วยสไตล์ Renaissance ด้านในโบสถ์ผลงานศิลปะอันงดงามหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะบนแท่นบูชาอย่าง St.Michael Fighting the Devil ที่มีอายุเกือบ 500 ปี หรืองานศิลปะและโบราณวัตถุเก่าแก่จากยุคกลางที่มีอายุปาเข้าไป 600 ปีแล้วครับ

ด้านในของโบสถ์เป็นสุสานที่เก็บรักษาอัฐิของดยุคและกษัตริย์บาวาเรียหลายพระองค์ ลุดวิกที่ 2 ผู้สวรรคตด้วยการจมน้ำอย่างลึกลับก็ถูกฝังไว้ ณ ที่โบสถ์แห่งนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์ของโบสถ์แห่งนี้นั่นเอง
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-Bahn ลง Karlsplatz (Stachus)
9. Kunstareal District
Kunstareal District เป็นที่ตั้งของเหล่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะในเมืองมิวนิค ซึ่งได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปศูนย์กลางของเขตนี้อยู่ที่ Königsplatz จัตุรัสที่ออกแบบขึ้นมาอย่างตระการตาแบบศิลปะ Neoclassicism ในศตวรรษที่ 19

พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจได้แก่
- Alte Pinakothek – เก็บงานศิลปะยุคกลางจากนานาประเทศในยุโรป
- Neue Pinakothek – เก็บงานศิลปะแบบ rococo และ Art Nouveau
- Pinakothek der Moderne – เก็บงานศิลปะยุคใหม่อย่างเช่นงานของปิกัสโซ
- Staatliche Antikensammlung – เก็บโบราณวัตถุเก่าแก่มากมาย
- Glyptothek – เก็บรูปปั้นจากสมัยกรีก-โรมัน
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-Bahn ลง Königsplatz
10. Theatinerkirche St. Kajetan
Theatinerkirche St. Kajetan เป็นอีกหนึ่งมหาวิหารสุดสวยแห่งเมืองมิวนิค ตัววิหารมีสีเหลืองอร่ามและสร้างขึ้นด้วยสไตล์ Italian Baroque ในปี ค.ศ.1690 ด้านหน้าของมหาวิหารประกอบด้วยหอคอยสองหอตั้งคู่ขนานกันครับ

ด้านในในเองก็สวยงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะแท่นบูชาด้านในที่มีภาพเขียน The Virgin Enthroned with Angels ซึ่งเป็นผลงานของ Casper de Crayer รวมไปถึงภาพเขียนที่สวยงามอื่นๆ อีกหลายภาพด้วยครับ

เช่นเดียวกับโบสถ์และวิหารอื่นๆ โบสถ์แห่งนี้เป็นสุสานที่เก็บรักษาร่างดยุคและเชื้อพระวงศ์บาวาเรียหลายพระองค์ครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-Bahn ลง Odeonsplatz
11. Allianz Arena
Allianz Arena เป็นสถานที่ที่แฟนฟุตบอลบุนเดสลีกาย่อมอยากมาชมสักครั้ง สนามแห่งนี้คือสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิคนั่นเองครับ คุณสามารถมาเข้าชมด้านในเพื่อเก็บบรรยากาศ หรือแม้กระทั่งชมเกมฟุตบอลที่นี่ได้ครับ

วิธีไปที่ง่ายที่สุด: นั่ง U-Bahn ลง Fröttmaning
12. สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
- Deutsches Museum – พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งของจัดแสดงมากมายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียุคสมัยโบราณไปจนถึงยุคศตวรรษที่ 21
- The Olympiapark – สถานที่จัดงานโอลิมปิกฤดูร้อนในช่วงปี ค.ศ.1972 ในปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ใช้จัดงานต่างๆ รวมไปถึงสถานที่ออกกำลังกายด้วย
- Tierpark Hellabrunn – สวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีสัตว์กว่า 19,000 ตัว
- BMW Museum – พิพิธภัณฑ์ของแบรนด์รถยุโรปที่คนไทยนิยม
- Viktualienmarkt – ตลาดและย่านการค้าขนาดใหญ่ ที่นี่มีอาหารอร่อยๆ ขายมากมาย เหมาะสำหรับการหาอาหารเยอรมันแท้ๆ รับประทานครับ
ไปเที่ยวมิวนิค (Munich) อย่างไรดี
เช่นเดียวกับเมืองใหญ่อื่นๆ ในยุโรป คุณสามารถมาเที่ยวมิวนิคได้ทุกฤดู แต่ high season ของที่นี่คือช่วงหน้าร้อนหรือว่าช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมครับ เพราะอากาศไม่หนาวนั่นแหละ
ด้วยความที่การคมนาคมสะดวกสบายมากในเมืองมิวนิค ทำให้คุณสามารถมาเที่ยวมิวนิคด้วยตนเองได้ไม่ยากเลย คุณสามารถบินตรงจากกรุงเทพมายังมิวนิคได้โดยใช้บริการของสายการบินต่อไปนี้
- Thai Airways (การบินไทย)
- Eurowings
- Lufthansa
อย่างไรก็ดี ถ้าคุณเลือกที่จะเปลี่ยนเครื่อง อาจจะได้ราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกกว่ามาก สายการบินที่น่าสนใจได้แก่
- Emirates
- Etihad Airways
- Turkish Airlines
- Austrian Airlines
นอกจากภายในเมืองมิวนิคแล้ว อย่าได้พลาดไปเยือนปราสาทและพระราชวังอันสวยงามที่ลุดวิกที่ 2 ได้สร้างไว้ในบาวาเรียด้วยครับ