ประวัติศาสตร์พวกโซเวียตทำอะไรกับ "โบสถ์" หลังการปฏิวัติ

พวกโซเวียตทำอะไรกับ “โบสถ์” หลังการปฏิวัติ

จักรวรรดิรัสเซียเป็นจักรวรรดิที่มีความหลากหลายทางศาสนามาก ตั้งแต่ คริสต์ อิสลาม ยิว หรือแม้กระทั่งพุทธ แต่ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในรัสเซียจะเป็นศาสนาใดไปไม่ได้ นอกจากศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออโธดอกซ์

หลังจากการปฏิรูปโดยซาร์ปีเตอร์มหาราช ศาสนจักรอยู่ในอำนาจของซาร์แห่งรัสเซียโดยสมบูรณ์ ซาร์แห่งรัสเซียทุกพระองค์ทำนุบำรุงศาสนจักรเป็นอย่างดี โดยเฉพาะซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 และซาร์นิโคลัสที่ 2 ซาร์สองพระองค์สุดท้าย นิโคลัสและอเล็กซานดราออกเงินส่วนตัวจำนวนมากในการสนับสนุนสถานที่ทางศาสนา

นิโคลัสและเหล่าแกรนด์ดยุคแบกร่างของนักบุญเซราฟิม ซารอฟสกี้ (Seraphim of Sarov)

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซียมีโบสถ์ขนาดใหญ่ทั่วทั้งจักรวรรดิอย่างน้อย 54,000 หลัง โบสถ์ขนาดเล็กลงมาอย่างน้อย 20,000 หลัง และอารามสงฆ์อีก 1,025 แห่ง ทั้งหมดนี้คือโบสถ์ที่สังกัดศาสนจักรรัสเซียนออโธดอกซ์เท่านั้น ไม่นับโบสถ์ในศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ ที่มีอีกนับพันนับหมื่นแห่ง

หลังจากการปฏิวัติตุลาคม และสงครามกลางเมืองรัสเซีย โบสถ์เหล่านี้อยู่ในมือพวกบอลเชวิค หรือพวกโซเวียตในเวลาต่อมา พวกโซเวียตนั้นไม่นับถือศาสนาใดๆ และยังเห็นว่าศาสนาเป็นศัตรูของระบอบอีกด้วย

รัฐบาลบอลเชวิคหรือโซเวียตได้กวาดล้างศาสนาอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1920 บาทหลวงจำนวนมากถูกสังหาร ทรัพย์สินและที่ดินของศาสนจักรถูกยึดเข้าเป็นของรัฐบาล โบสถ์ถูกปิดเป็นการถาวร

ท่านทราบหรือไม่ว่า พวกโซเวียตทำอะไรกับ “โบสถ์” ที่ยึดมาได้เหล่านี้ บางอย่างดูมีความคิดสร้างสรรค์อย่างไม่น่าเชื่อ

1. ทำลาย

รัฐบาลโซเวียตไม่ลังเลที่จะทำลายโบสถ์ทิ้ง แม้ว่ามันจะยิ่งใหญ่และสวยงามมากเพียงใดก็ตาม โดยเฉพาะถ้ามีเหตุที่จะต้องใช้ที่ดินในบริเวณดังกล่าว

อย่างในปี ค.ศ.1931 สตาลินมีคำสั่งให้ทำลายมหาวิหาร Cathedral of Christ the Savior (Храм Христа Спасителя) มหาวิหารของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ที่สูงที่สุดในโลก เพื่อนำพื้นที่ดังกล่าวมาสร้างวังหรือที่เรียกกันว่า Palace of the Soviets (Дворец Советов)

วิหารถูกทำลายจนย่อยยับด้วยระเบิดไดนาไมต์ คนงานต้องใช้เวลาปีเศษๆ กว่าจะกวาดเศษซากของวิหารออกไปจากสถานที่ดังกล่าวได้จนหมด แต่สุดท้ายแล้ววังดังกล่าวก็ไม่ได้สร้าง เพราะรัฐบาลโซเวียตไม่มีเงินทุน และในปี ค.ศ.1941 ฮิตเลอร์ก็บุกสหภาพโซเวียตทำให้รัฐบาลต้องนำเงินทั้งหมดไปขับไล่กองทัพเยอรมัน การสร้างจึงล้มเลิกไปอย่างถาวร

การทำลายมหาวิหาร Cathedral of the Christ Savior ในปี ค.ศ.1931

(พื้นที่บริเวณดังกล่าวถูกเปลี่ยนเป็นสระว่ายน้ำชื่อ Moskva Pool ในช่วงปี ค.ศ.1958 มันถูกถมและสร้างเป็นมหาวิหารแบบเดิมในชื่อเดิม หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย)

ตลกร้ายอย่างหนึ่งคือ การบุกของนาซีเยอรมันช่วยมหาวิหารจำนวนมากในรัสเซียไม่ให้ถูกทำลาย เพราะว่าพวกโซเวียตจำต้องใช้วิหารเหล่านี้เพื่อใช้ประโยชน์อื่นๆ และไม่มีใครว่างที่จะมาทำลายมัน

การทำลายของพวกโซเวียตสร้างความเสียหายมากต่อศาสนจักรรัสเซียนออโธดอกซ์ ในปี ค.ศ.1987 ภายในรัสเซียเหลือโบสถ์เพียง 6,893 หลัง และอารามสงฆ์เพียง 15 แห่งเท่านั้น การสูญเสียเหล่านี้มหาศาลจนประเมินค่าไม่ได้

2.ใช้เป็นคุกและค่ายคนงาน

สถานที่ทางศาสนาในรัสเซียบางแห่งมีขนาดใหญ่มาก แถมบางแห่งยังมีกำแพงล้อมรอบอย่างแน่นหนา (ท่านที่เคยไป Sergiev Posad หรือ Zagovsk น่าจะพอทราบ) ดังนั้นรัฐบาลโซเวียตจึงเกิดไอเดียขึ้นมาว่า เราก็ใช้สถานที่นี้เป็นคุกเสียเลยจะได้ประหยัดเงินไม่ต้องสร้างใหม่

มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่เคยใช้เป็นคุกคือ อาราม Solovetsky (Solovetsky Monastery, Солове́цкий монасты́рь) ที่ตั้งอยู่ที่เขต Arkhangelsk Oblast ดินแดนที่อยู่ตอนเหนือสุดของรัสเซีย อารามนี้เป็นคุกหรือค่ายคนงานแบบไม่ได้สมัครใจอยู่ถึง 13 ปี (ค.ศ.1926-1939) และมีผู้เคยถูกคุมขังที่นี่มากกว่า 200,000 คน

อาราม Solovetsky By Алексей Задонский – Own work, CC BY-SA 4.0,

ภายหลังรัฐบาลโซเวียตพบว่าโครงสร้างคุกแบบที่อารามแห่งนี้เข้าท่ามากๆ ก็เลยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นโมเดลในสร้างค่ายคนงาน (Gulag) ในที่อื่นๆ ของประเทศอีกด้วย

ปัจจุบันอาราม Solovetsky กลายเป็นมรดกโลกของประเทศรัสเซียไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และได้เปลี่ยนสภาพกลับเป็นสถานที่ทางศาสนาตามเดิม

3. ใช้เป็นโรงงาน

พวกโซเวียตเห็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจของอาคารอย่างโบสถ์ พวกเขาจึงพยายามดัดแปลงพวกมันให้เกิดประโยชน์

หนึ่งในวิธีของพวกโซเวียตคือ เปลี่ยนเป็นโรงงาน!

อาคารเหล่านี้ถูกส่งมอบให้กับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นโรงงานผลิตสิ่งต่างๆ ตั้งแต่สิ่งทอไปจนถึงอาหาร อย่างเช่น โบสถ์เซนต์ปีเตอร์แอนด์พอลแห่ง Suzdal ถูกใช้เป็นโรงงานผลิตขนมปัง

โบสถ์เซนต์ปีเตอร์แอนด์พอลที่ Suzdal by A.Savin/Wikipedia

แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ มหาวิหารที่เมือง Sarov (Sarov Monastery) เพราะในช่วงสงคราม มันถูกใช้เป็นโรงงานผลิตจรวด Katyusha เพื่อนำไปยิงพวกเยอรมัน

4. ที่เก็บของหรือที่เก็บศพ

มหาวิหารหลายแห่งมีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพราะว่ามันถูกสร้างอย่างดี มันจึงกลายเป็นที่เก็บของที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับรัฐบาลโซเวียตที่ขัดสนเงินทองอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

เมื่อเมืองเลนินกราดถูกกองทัพเยอรมันล้อม รัฐบาลโซเวียตสั่งให้นำเสบียงกรังที่เหลืออยู่ในเมืองไปเก็บไว้ในมหาวิหารเซนต์ไอแซค (St.Issac Cathedral) รวมไปถึงของมีค่าอื่นๆ ด้วย

โบสถ์หยดเลือดในปี ค.ศ.1935 Автор: Eirik Sundvor (1902 – 1992) Municipal Archives of Trondheim – Flickr: Vasilijkatedralen? (1935), CC BY 2.0,

ส่วนโบสถ์หยดเลือดหรือ Church of the Savior on Spilled Blood (Церковь Спаса на Крови) ถูกใช้เป็นที่โยนศพ เพราะว่าศพที่อยู่ในเมืองที่ตายด้วยความหิวโหยมากเกินกว่าที่จะฝังได้ รัฐบาลโซเวียตจึงใช้บริเวณดังกล่าวเป็นที่ฝังศพชั่วคราวไปพลางก่อน หลังสงครามมันถูกใช้เป็นที่เก็บของสำหรับจัดแสดงของคณะโอเปร่าที่อยู่ในบริเวณนั้น

5. ร้านขายของ

สถานที่หลายแห่งแน่นอนว่ามีทำเลที่ดีเยี่ยม รัฐบาลโซเวียตจึงต้องการใช้ประโยชน์จากตรงนี้ด้วย

โบสถ์แห่งหนึ่งในมอสโกชื่อ Church of the Nativity in Cherkizovo เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 16 แต่ในปี ค.ศ.1940 รัฐบาลโซเวียตก็มีคำสั่งให้ปิดโบสถ์ และแปลงสภาพมันเป็นที่เก็บของ ต่อมาอดีตโบสถ์แห่งนี้ก็กลายเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ให้กับชาวบ้านชาวช่องในละแวกแถวนั้นอยู่หลายสิบปี

Church of the Nativity of Christ in Cherkizovo By Автор: A.Savin (Wikimedia Commons · WikiPhotoSpace) – собственная работа, CC BY-SA 3.0,

หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย โบสถ์แห่งนี้จึงกลับเป็นโบสถ์อีกครั้งหนึ่ง และได้รับการบูรณะให้สมบูรณ์ขึ้น

6. ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์

ไม่ใช่ว่าพวกโซเวียตจะรังเกียจสิ่งของหรืออาคารเก่าๆ เหล่านี้ไปเสียทั้งหมด สตาลินรู้ดีว่าสิ่งของใดมีค่า และคู่ควรแก่การเก็บรักษา เขาสั่งให้เปลี่ยนโบสถ์สำคัญๆ หลายแห่งในประเทศเป็นพิพิธภัณฑ์ บางแห่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ บางแห่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศาสนาเพื่อให้ชาวโซเวียตได้ศึกษา

ตัวสตาลินได้ปฏิเสธที่คำขอที่ให้ทำลายสถานที่ศาสนาเหล่านี้หลายครั้งตลอดชีวิตของเขา ในทางกลับกันสตาลินและผู้นำโซเวียตในยุคต่อๆ มากลับมอบงบให้ไปบำรุงรักษาเสียด้วยซ้ำไป

หนึ่งในสถานที่ทางศาสนาที่พวกโซเวียตได้รักษาไว้เป็นอย่างดีคือ มหาวิหารเซนต์เบซิล (St. Basil’s Cathedral , собо́р Васи́лия Блаже́нного) หนึ่งในมหาวิหารเก่าแก่ที่มีความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มันได้ถูกสร้างโดยอีวานผู้เลวร้าย (Ivan the Terrible) พวกโซเวียตได้เปลี่ยนมหาวิหารแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม

St. Basil’s Cathedral By A.Savin (Wikimedia Commons · WikiPhotoSpace) – Own work, CC BY-SA 3.0,

บทส่งท้าย

พวกโซเวียตได้ใช้ประโยชน์จากสถานที่ทางศาสนาในรูปแบบที่ต่างๆ กัน ด้วยความที่สถานที่พวกนี้มีประโยชน์บางประการ ทำให้พวกโซเวียตเลือกที่จะไม่ทำลายมัน โบสถ์และมหาวิหารเหล่านี้จึงเหลือรอดมาถึงทุกวันนี้ได้

การส่งมอบสถานที่เหล่านี้คืนให้กับศาสนจักรเริ่มต้นตั้งแต่หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แต่สถานที่เหล่านี้บางแห่งเสียหายมากจนไม่เหลือเค้าความเป็นโบสถ์ รัฐบาลรัสเซียจึงต้องบูรณะและซ่อมแซมมาจนถึงทุกวันนี้

Source: Russia Beyond

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!