ธุรกิจตลาดหุ้น"ดัชนีหุ้น" อเมริกามีอะไรบ้าง เราควรจะดูตัวไหนดี ดาวโจนส์ดีหรือไม่?

“ดัชนีหุ้น” อเมริกามีอะไรบ้าง เราควรจะดูตัวไหนดี ดาวโจนส์ดีหรือไม่?

ดัชนีหุ้น” เป็นดัชนีที่ใช้สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ นักลงทุนและเก็งกำไรมักจะใช้ดัชนีหุ้นเพื่อดูว่าทิศทางของตลาดในวันนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ และนำไปใช้วิเคราะห์การลงทุนของตัวเองต่อไป

ยกตัวอย่างเช่น เรามักจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่า วันนี้ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลง 13 จุด หรือ 0.65% แสดงให้เห็นว่าภาพรวมตลาดวันนี้เป็นลบ

สำหรับประเทศไทยแล้ว การดูภาพรวมตลาดค่อนข้างง่าย เพราะมีหุ้นไม่มากนัก การใช้ดัชนี SET หรือ MAI ย่อมเพียงพอแล้วที่จะวิเคราะห์ตลาดในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม หลายท่านน่าจะลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาด้วย ตลาดหุ้นของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นต่างออกไป เพราะมีหุ้นหลายพันตัว ดัชนีหุ้นเองก็มีหลายสิบดัชนีด้วยกัน แล้วเราจะดูตัวไหนดีให้ทราบถึงสภาพของตลาดหุ้นอเมริกาในวันเวลานั้นๆ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด?

หลายท่านน่าจะดูดัชนีหุ้นดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average, DJIA) หรือเรียกสั้นๆ กันว่า “Dow” (ดาว) เป็นส่วนใหญ่

คำถามสำคัญคือการดูดาวโจนส์นี้จะทำให้ทราบถึงสภาพตลาดหุ้นอเมริกาแบบครบถ้วนจริงหรือไม่?

ปัญหาของดาวโจนส์

ดาวโจนส์เป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันดัชนีดังกล่าวมีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นผู้เฒ่าแห่งวอลสตรีทเลยก็ว่าได้

อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ไม่ใช่ดัชนีที่เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐที่ดีเสียเท่าใดนัก

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ประการแรก ดัชนีดาวโจนส์เป็นการนำหุ้นมาคำนวณแบบ price-weighted หรือถ่วงน้ำหนักตามราคา แล้วนำมาคิดคำนวณเป็นตัวเลขดัชนีอีกทีหนึ่ง นั่นหมายความว่าการเคลื่อนไหวราคาของหุ้นที่มีราคาสูงจะส่งผลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำมาก

ยกตัวอย่างเช่น Mcdonald’s (MCD) มีราคาอยู่ที่ $193 ส่วน Pfizer (PFE) มีราคาอยู่ที่ $37 ถ้าหุ้นทั้งสองตัวเพิ่มขึ้น 1% เหมือนกัน การขึ้นของ Mcdonald’s จะส่งผลต่อดัชนีหุ้นมากกว่า Pfizer หลายเท่า ซึ่งมันไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าใดนัก เพราะจริงๆ แล้ว Pfizer มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) สูงกว่า Mcdonald’s

หรือพูดง่ายๆ Pfizer เป็นบริษัทที่ใหญ่กว่า แต่กลับส่งผลต่อดัชนีหุ้นน้อยกว่า Mcdonald’s เพียงเพราะราคาแต่ละหุ้นต่ำกว่าเท่านั้น

ดังนั้นตัวดัชนีจึงเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามบริษัทที่มีหุ้นที่มีราคาสูงไม่กี่ตัว ทำให้มันไม่ได้แสดงภาพรวมตลาดที่ดีเลยแม้แต่น้อย

ประการที่สอง ตลาดหุ้นสหรัฐมีหุ้นหลายพันตัว ดัชนีดาวโจนส์นำหุ้นมาแค่ 30 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ทั้งสิ้น หุ้นเล็กจำนวนมากมายนับพันไม่ได้ถูกนำมาคิดคำนวณด้วย

นอกจากนี้หุ้นใหญ่ในตลาดสหรัฐยังมีมากกว่า 30 ตัว ยกตัวอย่างเช่น Google และ Amazon ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ยักษ์ก็ไม่ได้อยู่ในดัชนีดาวโจนส์ด้วย แล้วดาวโจนส์จะเป็นดัชนีหุ้นที่ดีในการแสดงภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร?

คำถามต่อไปคือ แล้วเราจะดูดัชนีอะไรดี?

ดูดัชนีหุ้นสหรัฐอะไรดี

ทั้งนี้ไม่มีดัชนีหุ้นใดที่ดีและ perfect ในตัวของมันเอง สิ่งที่ผมแนะนำได้คือ ควรจะดูหลายดัชนีประกอบกัน

ดัชนีหุ้นสหรัฐที่เราควรดูมีดังต่อไปนี้

ภาพรวมตลาดทั้งหมด

สำหรับภาพรวมตลาดทั้งหมด ผมแนะนำสองดัชนีได้แก่

  • NYSE Composite
  • NASDAQ Composite

ดัชนีทั้งสองจะเป็นดัชนีหุ้นที่คิดรวมหุ้นทุกตัวที่มีซื้อขายในตลาด และในการคิดคำนวณทั้งสองดัชนีจะใช้แบบ market-capitalization weighted ทำให้ไม่มีปัญหาแบบเดียวกับ Dow Jones

สาเหตุที่ควรดูทั้งสองดัชนี เพราะหุ้นสหรัฐไม่ได้มีการซื้อขายในตลาดหุ้นเดียว อย่าง NYSE Composite จะคิดคำนวณเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายที่ NYSE (New York Stock Exchange) เท่านั้น ส่วน NASDAQ Composite จะคิดคำนวณเฉพาะหุ้นที่ซื้อขายที่ NASDAQ Stock Market เท่านั้น

สำหรับท่านที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ท่านอาจจะต้องให้ความสำคัญกับ NASDAQ Composite มากกว่า เพราะว่าหุ้นเทคโนโลยีส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้น NASDAQ ครับ

หุ้นใหญ่

สำหรับดัชนีหุ้นใหญ่ที่ควรค่าแก่การดู แน่นอนว่าไม่ใช่ดาวโจนส์ แต่เป็น S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์ นักวิเคราะห์และพวกกองทุนใช้ดูกัน

S&P 500 เป็นดัชนีที่จัดทำโดยบริษัท S&P Dow Jones Indices (ในปัจจุบัน) ตัวดัชนีมีอายุได้ 62 ปีแล้ว และได้รับการยอมรับอย่างสูงโดยนักการเงินทั่วโลก

S&P 500 ดีกว่าดาวโจนส์อย่างไร?

อย่างแรก: S&P 500 คิดคำนวณดัชนีโดยใช้หุ้นขนาดใหญ่ 500 ตัวที่ถูกเลือกมา ขณะที่ดาวโจนส์มีเพียง 30 ตัวเท่านั้น และหุ้นทั้ง 30 ตัวของดาวโจนส์ก็ถูกคำนวณใน S&P 500 ด้วย แน่นอนว่าความครบถ้วนนั้น S&P 500 ดีกว่าอย่างแน่นอน

อย่างที่สอง: S&P 500 ใช้การถ่วงน้ำหนักแบบ market-capitalization weighted ทำให้ไม่มีปัญหาแบบดาวโจนส์

โดยทั่วไป การดูดัชนีเพียงสามตัวนี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการพิเคราะห์ดูว่าตลาดหุ้นสหรัฐในเวลานั้นๆ เป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตามสำหรับท่านที่ลงทุนในหุ้นอเมริกาที่มีขนาดกลางและเล็ก อาจจะต้องดูดัชนีเหล่านี้ประกอบด้วย

หุ้นขนาดกลาง

หุ้นขนาดกลางเป็นหุ้นที่ให้คำนิยามยาก เพราะเราไม่อาจสรุปได้แน่นอนว่ามูลค่าตลาดของบริษัทสูงเท่าใดถึงทำให้หุ้นของบริษัทเป็นหุ้นขนาดกลาง ทำให้ดัชนีแต่ละดัชนีมีหุ้นแตกต่างมาก เพราะไม่มีอะไรที่ตายตัวนั่นเอง

ดัชนีที่เป็นที่นิยมในการพิจารณาสภาพตลาดได้แก่

  • S&P MidCap 400
  • Russell Midcap Index

หุ้นขนาดเล็ก

สำหรับหุ้นขนาดเล็ก นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่างๆ มักจะใช้ดัชนี Russell 2000 ซึ่งจัดทำโดยบริษัท FTSE Russell เป็นตัวชี้วัดว่าในแต่ละวัน หุ้นขนาดเล็กมีทิศทางอย่างไร

Russell 2000 ใช้ market-capitalization weighted แบบเดียวกับ S&P 500 มาคำนวณดัชนี หุ้นที่ใช้คำนวณคือหุ้นขนาดเล็กที่สุดจำนวน 2,000 ตัวในอยู่ในดัชนี Russell 3000 และมีมูลค่าตลาดเล็กกว่าค่าที่ตั้งไว้ ทำให้สามารถแสดงถึงสภาพของหุ้นขนาดเล็กได้ดีกว่าดัชนีอื่นๆ

ดูที่ไหน?

หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วจะดูจากไหนดี ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว ไปอ่านต่อได้ที่นี่ครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!