ศิลปะดนตรี10 เพลงสวดของชาวคริสต์ที่เพราะและมีชื่อเสียง (พร้อมที่มา)

10 เพลงสวดของชาวคริสต์ที่เพราะและมีชื่อเสียง (พร้อมที่มา)

คนไทยหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับเพลงสวด (hymn) ของชาวคริสต์เป็นอย่างดี เพราะโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพและประเทศไทยหลายต่อหลายแห่งเป็นโรงเรียนคริสต์ ทำให้มีการร้องเพลงสวดเหล่านี้อยู่เนืองๆ

เรามาดูกันดีกว่าครับว่ามีเพลงไหนบ้างที่มีชื่อเสียงและไพเราะน่าฟัง

Christian Choir By Allan Engelhardt – Flickr, CC BY-SA 2.0,

1. Amazing Grace

คงจะไม่มีเพลงสวดในคริสตจักรใดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากเท่ากับเพลงนี้อีกแล้ว Amazing Grace เป็นเพลงที่แต่งโดยชาวอังกฤษนามว่า จอห์น นิวตัน (John Newton) ในปี ค.ศ.1779 เนื้อเพลงกล่าวถึงการช่วยเหลือของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์คนหนึ่ง

นิวตันแต่งเพลงนี้ขึ้นโดยมีแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเขาเอง นิวตันเคยเป็นกะลาสีเรือในกองเรือค้าทาสแห่งหนึ่งและไม่ค่อยจะเชื่อในพระเจ้าสักเท่าใดนัก เขามักจะหยอกล้อผู้ที่แสดงความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่เสมอๆ

ในปี ค.ศ.1748 พายุอันรุนแรงได้โหมกระหน่ำเรือของเขา และได้พัดเพื่อนกะลาสีเรือตกทะเลไปหลายคน เรือของเขาเกือบจะจมอยู่แล้ว เพราะน้ำได้ทะลักเข้าเรือ นิวตันจึงได้สวดภาวนาต่อพระเจ้าขอให้พระองค์ปรานีเขาและพวกลูกเรือด้วย ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้น นิวตันและกะลาสีเรือคนอื่นๆ รักษาเรือไว้ได้สำเร็จ

ประสบการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับพระเจ้าของนิวตันไปตลอดกาล นิวตันสนใจศาสนามากขึ้นตั้งแต่บัดนั้น เขาลาออกจากการเป็นกะลาสีเรือค้าทาส และหันไปเป็นครู ด้วยความศรัทธาในศาสนาอันเต็มเปี่ยม นิวตันได้แต่งเพลง Amazing Grace ขึ้นจากเรื่องที่เขาพบพานในเรือวันนั้น

อย่างไรก็ตาม Amazing Grace ไม่ใช่เพลงที่รู้จักเท่าไรในอังกฤษ ณ เวลานั้น เพลงนี้กลับเป็นที่นิยมมากในประเทศสหรัฐอเมริกา และกลายเป็นเพลงสวดมนต์อันดับต้นๆ ของชาวอเมริกัน ต่อมาความนิยมของเพลงนี้ได้แพร่หลายไปในหมู่ชาวคริสต์ทั่วโลกในเวลาต่อมา

ในฐานะที่เคยเรียนในโรงเรียนคริสต์มาก่อน ผมได้ฟังเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก ด้วยทำนองและเนื้อเพลงที่ไพเราะ ทำให้ Amazing Grace เป็นหนึ่งในเพลงสวดมนต์ของชาวคริสต์ที่ผมชอบมากที่สุดไปโดยปริยาย

2. Holy, Holy, Holy

Holy, Holy, Holy เป็นเพลงสวดอีกเพลงหนึ่งที่เป็นที่นิยมมาก เนื้อเพลงนี้แต่งโดยบิชอปชาวอังกฤษนามว่า Reginald Heber แต่มันยังไม่ถูกเผยแพร่แต่อย่างใด มันถูกทิ้งไว้ในสมุดโน้ตของ Heber จนกระทั่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว ภรรยาของเขาได้พบเนื้อเพลงนี้ในสมุดโน้ตเก่าๆ ของเขา เธอจึงนำมันไปมอบให้กับ John Bacchus Dykes เพื่อแต่งทำนองประกอบ เพลงนี้จึงเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1861

ช่วงต้นของเนื้อเพลงท่อน “Holy, Holy, Holy! Lord God Almighty!” อ้างอิงมาจากพระคัมภีร์เก่า (Isaiah 6:3) และพระคัมภีร์ใหม่ (Revelation 4:8) เพลงนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระบิดา พระบุตร และพระจิต ตามแนวคิด Trinity ของศาสนาคริสต์ มันจึงถูกใช้ในการเฉลิมฉลองในวันอาทิตย์ที่เรียกว่า Trinity Sunday

ชาวอเมริกันและแคนาดาเคยโหวตให้เพลงนี้เป็นเพลงสวดมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

3. How Great Thou Art

How Great Thou Art เป็นอีกเพลงสวดที่มีชื่อเสียงมาก เนื้อร้องและทำนองแต่งโดยกวีชาวสวีเดนนามว่า Carl Boberg ในปี ค.ศ.1885 เนื้อเพลงดั้งเดิมเป็นภาษาสวีดิช แต่ถูกแปลเป็นภาษาเยอรมัน และรัสเซียในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก่อนที่จะถูกแปลจากภาษารัสเซียเป็นภาษาอังกฤษในช่วงกลางศตวรรษที่ 20

เนื้อเพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า โดยอ้างอิงจากประสบการณ์ที่ผู้แต่งได้รับมา ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เพลงนี้ได้รับความนิยมจากชาวคริสต์ทั่วโลก และเป็นหนึ่งในเพลงสวดที่เป็นที่นิยมที่สุดตลอดกาล

4. A Mighty Fortress Is Our God

A Mighty Fortress Is Our God (Ein feste Burg ist unser Gott) เป็นเพลงสวดที่แต่งขึ้นโดยบุคคลสำคัญในศาสนาคริสต์อย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) ผู้ให้กำเนิดนิกายโปรแตสแตนท์ ลูเธอร์ได้ประพันธ์ทั้งเนื้อร้องและทำนองด้วยตนเองในปี ค.ศ.1529 ทำให้เพลงนี้มีอายุเกือบ 500 ปีแล้ว

เนื้อเพลงของเพลงนี้ส่วนใหญ่เป็นการนำส่วนของพระคัมภีร์ไบเบิล บท Psalm 46 มาเปลี่ยนเป็นเพลง ตัวเพลงนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่ชาวคริสต์โปรแตสแตนท์โดยเฉพาะนิกายลูเธอรันของตัวลูเธอร์เอง ในเวลาต่อมาเพลง A Mighty Fortress Is Our God ได้กลายเป็นเพลงปลุกใจทหารและประชาชนในยามที่มีศึกสงครามอีกด้วย โดยเฉพาะในสงครามศาสนาอย่างสงครามสามสิบปี (Thirty Years War)

ปัจจุบันเพลงนี้ก็ยังคงความนิยมมาได้เสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม

5. Great Is Thy Faithfulness

Great Is Thy Faithfulness เป็นเพลงที่จัดว่าใหม่เมื่อเทียบกับเพลงอื่นๆ เนื้อเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นโดย Thomas Chisholm ส่วนทำนองแต่งโดย William M. Runyan ในปี ค.ศ.1923

เนื้อเพลงนำส่วนของพระคัมภีร์ไบเบิล (Lamentations 3:23) มาเปลี่ยนเป็นเพลง ผู้แต่งเนื้อเพลงอย่าง Chisholm ไม่ได้มีประสบการณ์พิเศษที่ฟังดูแล้วน่าเวอร์วัง เขาเป็นพนักงานบริษัทประกันมาตลอดชีวิต และไม่ได้มีชีวิตที่แปลกประหลาดอะไรเลย แต่เขารู้สึกว่าเขาศรัทธาในพระเจ้ามาตลอดชีวิตของเขา เขาจึงใช้แรงบันดาลใจของเขาแต่งเพลงนี้ขึ้นมา

เพลงที่ดูธรรมดา และเขียนโดยคนที่สุดจะธรรมดากลับเป็นที่นิยมมากในสหรัฐอเมริกา และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในเพลงสวดที่มีชื่อเสียงที่สุดตลอดกาลไปแล้ว

6. Be Thou My Vision

Be Thou My Vision น่าจะเป็นเพลงที่เก่าแก่ที่สุดในรายชื่อนี้ เพราะเนื้อร้องถูกแต่งโดยกวีชาวไอริชชื่อ Dallán Forgaill ในช่วงศตวรรษที่ 6 เพลงนี้ถูกใช้ร้องในภาษาไอริชมานานนับพันปี แต่กว่าที่จะถูกแปลเป็นเพลงภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบันก็เป็นปี ค.ศ.1912 แล้ว

ตัวเพลงกล่าวถึงการปกป้องของพระเจ้าในสงครามและความรุนแรงในยุคสมัยนั้น เพลงนี้ยังแฝงแนวคิดว่าพระเจ้าเป็นกษัตริย์หรือผู้นำชนเผ่าด้วย ซึ่งก็เป็นแนวคิดของชาวไอริชโบราณเช่นเดียวกัน

Be Thou My Vision ได้ที่นิยมมากขึ้นตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 และกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในสหราชอาณาจักรและในเครือจักรภพ

7. Come Thou Fount of Every Blessing 

Come Thou Fount of Every Blessing เป็นเพลงที่แต่งโดยนักแต่งเพลงหนุ่มชาวอังกฤษชื่อ Robert Robinson ในปี ค.ศ.1757 ในเวลานั้นเขาอายุได้เพียง 22 ปีเท่านั้น

แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากประวัติของตัวโรบินสันเอง โรบินสันในวัยหนุ่มมีนิสัยแย่มาก เขาใช้เวลาไปกับการดื่มเหล้า เล่นพนัน และคบเพื่อนที่เป็นพาล จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาและกลุ่มเพื่อนไปงานเทศน์ของบาทหลวงชื่อ George Whitfield โดยที่ไม่ได้มีศรัทธาในศาสนาใดๆ เขาต้องการจะไปขัดคอและกวนประสาทบาทหลวงเท่านั้น

แต่ทำไปทำมา ระหว่างที่โรบินสันกำลังฟังบาทหลวงเทศน์อยู่นั้น เขารู้สึกว่าสิ่งที่บาทหลวงเทศน์ช่างกินใจเขาเสียเหลือเกิน เขารู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาต้องการที่จะอุทิศตัวให้กับพระเจ้า หลังจากนั้นโรบินสันเปลี่ยนไปคนละคน เขาเลิกพฤติกรรมเก่าๆ ทั้งหมดและอุทิศตนให้กับพระเจ้า

สองปีต่อมา ในวัย 22 ปี เขาได้ประพันธ์เพลงนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่เขาพบเจอ เพลงที่ว่าคือ Come Thou Fount of Every Blessing นั่นเอง หลังจากนั้นเพลงของนักแต่งเพลงหนุ่มได้กลายเป็นเพลงที่นิยมมากในเวลาต่อมา โรบินสันได้กลายเป็นนักวิชาการทางศาสนาจนกระทั่งหมดสิ้นอายุขัยของเขา

8. How Firm A Foundation

How Firm A Foundation เป็นเพลงสวดในศาสนาคริสต์ที่แต่งโดย Robert Keene ในปี ค.ศ.1787 เพลงนี้ได้นำข้อความในพระคัมภีร์ไบเบิลมาเปลี่ยนเป็นเพลง บางท่อนนำมาตรงๆ โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด ทำให้ชาวคริสต์บางคนรู้สึกว่าเพลงนี้น่าบูชา เพราะเป็นการนำพระวจนะของพระเจ้ามาอย่างสมบูรณ์ต่างจากเพลงอื่นๆ

เพลงนี้มีชื่อเสียงมากในสหรัฐอเมริกาและในโลกคริสตจักร และเป็นเพลงที่เปิดบ่อยครั้งในงานศพของเหล่านักการเมืองอเมริกันผู้จากไป

9. Praise to the Lord, The Almighty

Praise to the Lord, The Almighty เป็นเพลงที่แปลมาจากเพลงสวดภาษาเยอรมันชื่อ Lobe den Herren, den mächtigen König der Ehren ที่แต่งโดย Joachim Neander ในปี ค.ศ.1680

เนื้อเพลงค่อนข้างจะเรียบง่าย กล่าวคือเพลงนี้เป็นเพลงที่เชื้อเชิญให้ชาวคริสต์สรรเสริญพระเจ้า เพลงนี้เป็นที่นิยมในยุโรปมาจนถึงปัจจุบัน และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อังกฤษอยู่บ่อยครั้ง

10. Near to the Heart of God

ในเรื่องความดัง เพลงนี้เทียบกับเพลงทั้ง 9 ด้านบนไม่ได้ แต่เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงสวดของชาวคริสต์ที่ผมชอบมากที่สุดเพลงหนึ่ง

Near to the Heart of God เป็นเพลงที่แต่งโดย Cleland Boyd McAfee ในปี ค.ศ.1903 เขาได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้หลังจากที่หลานสาวสองคนของเขาเสียชีวิตจากโรคคอตีบ เนื้อเพลงบรรยายถึงสถานที่อันสงบสุขที่ใกล้ชิดพระเจ้า และไม่มีสิ่งเลวร้ายมากล้ำกรายได้อีกต่อไป

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!