การศึกษา5 วิธีเพิ่มคะแนนสอบ TOEFL Listening ให้ได้คะแนนดีๆ

5 วิธีเพิ่มคะแนนสอบ TOEFL Listening ให้ได้คะแนนดีๆ

TOEFL Listening เป็นข้อสอบการฟังที่ผู้สอบทุกคนต้องเผชิญในการสอบ TOEFL และถือว่าเป็นข้อสอบที่โหดหินสำหรับนักเรียนหลายๆ คน ซึ่งถ้าเราทำคะแนนส่วนนี้ได้น้อยแล้ว โอกาสที่เราจะทำคะแนน TOEFL ให้ออกมาดี (>100 สำหรับ iBT และ >600 สำหรับ itp และ pbt) คงจะเป็นไปไม่ได้

ดังนั้นในโพสนี้ ผมจะมาแชร์เคล็ดลับดีๆ ในการทำข้อสอบชุดนี้ให้ได้คะแนนเต็ม หรือเกือบเต็มครับ

Listening Image by Jason Goh from Pixabay

แนะนำ TOEFL Listening

ในปัจจุบันข้อสอบ TOEFL มีอยู่ 2 แบบหลักๆ นั่นคือ TOEFL iBT และ TOEFL ITP สำหรับข้อสอบ Listening แล้ว ทั้งสองแบบไม่แตกต่างกันมากนัก นั่นคือ เราจะได้ฟัง lectures, discussions, conversations แบบที่เราจะต้องเผชิญในมหาวิทยาลัยทั่วไป แล้วตอบคำถาม

จากที่เคยสอบมาทั้งสองแบบ ผมพบว่า Listening ของ TOEFL iBT จะยากกว่า TOEFL ITP อยู่ระดับหนึ่ง ตัวโจทย์จะซับซ้อนกว่า เช่นเราอาจจะต้องเลือกข้อที่ถูกถึงสองข้อ ในขณะที่ของ ITP เราจะเลือกตอบทั่วไปแบบ multiple choice ปกติ

อย่างไรก็ดี ผมมองว่าวิธีการทำคะแนนส่วนนี้ให้ดีไม่แตกต่างกันมากนัก หัวใจสำคัญคือคุณต้องฟังให้รู้เรื่องนั่นเองครับ

สำหรับเรื่องสำเนียง ETS ได้แจ้งว่าเรามีโอกาสได้ฟังสำเนียงแบบอเมริกาเหนือ (American Accent) หรือแบบสหราชอาณาจักร (British Accent) หรือแม้กระทั่งสำเนียงแบบชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เช่นกัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

เราไปเริ่มต้นกันเลยดีกว่าครับ

1. ลงคอร์สเรียนติวเข้มการฟังแบบตัวต่อตัว

ถ้าคุณมีปัญหาอย่างมากกับ TOEFL Listening แบบที่เรียกว่าทำได้ไม่เกิน 20 คะแนนแน่ๆ ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ลงคอร์สเรียนติวเข้มการฟังกับเจ้าของภาษาตัวต่อตัวครับ

คุณอาจจะไปเรียนที่สถาบันต่างๆ ก็ได้ แต่ผมมองว่าตัวเลือกที่ดีกว่าก็คือหาแพลตฟอร์มสอนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัว เพราะราคาถูกกว่า แถมคุณจะมีโอกาสได้เรียนกับครูคุณภาพสูงด้วยเช่นกัน

แพลตฟอร์มที่น่าสนใจก็คือ Live Lingua หรือ Preply ครับ โดยในสองแพลตฟอร์มนี้ คุณจะได้เรียนแบบวีดิโอคอลกับครูที่มีประสบการณ์การสอนแบบตัวต่อตัว (คุณภาพครูตรวจสอบเรียบร้อยแล้วโดยทางแพลตฟอร์ม แต่ครูของ Live Lingua จะถูกคัดเลือกมาอย่างเข้มข้นกว่าหน่อย)

ในการเรียนคุณและครูจะเห็นหน้าซึ่งกันและกันครับ และครูจะสอนคุณเหมือนกับไปเรียนสถาบันไม่ผิดเพี้ยนเลย

Preply
การเรียนภาษาอังกฤษกับ Preply สามารถช่วยให้คุณทำข้อสอบ TOEFL Listening ได้ดียิ่งขึ้น

จุดแข็งสำคัญของสองแพลตฟอร์มนี้คือ คุณเลือกครูได้ ดังนั้นคุณสามารถเลือกครูที่เก่งๆ มาสอนคุณได้ (ผมเคยเห็นครูคนหนึ่งเป็นคนให้คะแนน TOEFL Speaking ของ ETS มาแล้ว) และคุณขอให้ครูเลือกสอนส่วนไหนก็ได้ตามความต้องการ

สำหรับเรื่องค่าเรียน คุณก็จ่ายตามชั่วโมงที่ต้องการจะเรียนครับ และเวลาเรียนก็เลือกได้ด้วย (แต่ก็ต้องตรงกับเวลาว่างของครูด้วยเช่นกัน) ดังนั้นคุณแทบจะไม่มีโอกาสขาดเรียน หรือเสียเงินแล้วไม่ได้ไปเรียนเหมือนกับการเรียนที่สถาบันสอน TOEFL ด้วยครับ

ทั้ง Live Lingua และ Preply ให้คุณเรียนฟรีในคลาสแรก เพื่อดูว่าคุณโอเคกับการสอนของครูหรือไม่ ถ้าไม่คุณสามารถเปลี่ยนฟรีได้ทันทีครับ (เปลี่ยนจนกว่าจะชอบ)

อย่างไรก็ดีถ้าคุณได้คะแนนมากกว่า 20 คะแนนขึ้นไป การเรียนเพิ่มเติมอาจจะไม่จำเป็น ผมแนะนำให้คุณใช้เทคนิคต่อไปนี้ในการเพิ่มคะแนน TOEFL Listening ของคุณครับ

2. ดูภาพยนตร์แบบไม่มี subtitle

ผมเชื่อว่าหลายคนเวลาดูภาพยนตร์มักจะดู subtitle ภาษาไทยใช่หรือไม่ครับ นั่นเป็นสิ่งที่เราไม่ควรทำเลยแม้แต่น้อย!

การที่เราอ่าน subtitle ภาษาไทย ทำให้ไม่ได้ใช้หูในการฝึกฟังภาษาอังกฤษเลย ดังนั้นทักษะการฟังย่อมไม่มีทางพัฒนาขึ้นมาได้

ทางแก้คือ เราควรจะฝึกดูภาพยนตร์แบบไม่มี subtitle ครับ ซึ่งทุกวันนี้ถ้าเป็นสมาชิกของ Streaming อย่าง Netflix เราจะทำได้อย่างง่ายดายมากๆ อยู่แล้ว

หลายคนอาจจะถามว่า อ้าวถ้าดูไม่รู้เรื่องจะทำอย่างไรดี?

วิธีทางแก้คือ เปลี่ยนไปดู subtitle ภาษาอังกฤษก่อนครับ แล้วค่อยๆอ่าน subtitle ให้น้อยลงตามลำดับ เราค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสำเนียงของเจ้าของภาษาทีละน้อย เมื่อเราเริ่มฟังได้ดีขึ้นแล้ว ก็ปิด subtitle ทั้งหมดเลยครับ

นอกจากนี้ภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่เราดูก็ควรจะเป็นเรื่องที่พูดกันเยอะๆ ไม่ใช่แบบทั้งเรื่องตีรันฟันแทงกันอย่างเดียว ไม่มีการพูดเลย แบบนั้นก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนักครับ

สำหรับใครที่ไม่ชอบดูภาพยนตร์ การดูสารคดี, stand up comedy , ฟัง podcast, audiobook หรืออะไรก็ได้ที่เป็นภาษาอังกฤษก็สามารถช่วยได้เช่นกันครับ

3. ฝึกทำข้อสอบ TOEFL Listening บ่อยๆ

วิธีที่ช่วยผมอย่างมากเลยคือ การทำข้อสอบ TOEFL Listening ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ เราจะได้คุ้นเคยกับการทำข้อสอบให้มากๆ เช่นเดียวกับพัฒนาทักษะการฟังด้วย

การคุ้นเคยกับข้อสอบนี่สำคัญมากนะครับ เพราะในข้อสอบที่เป็น lecture เราจะได้ฟัง lecture ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ มนุษยวิทยา ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นสาขาเราไม่คุ้นเคยมาก่อนเลย ผมบอกได้เลยว่ามันจะจับใจความได้ยากขึ้นมากๆ อย่างบางบทความเราอาจจะไม่เข้าใจเลยก็เป็นได้

นอกจากนี้ถ้าสอบ TOEFL iBT ผมแนะนำให้ฝึกทำเป็นแบบออนไลน์ครับ เราจะได้ทั้งทดสอบตัวเองว่าในสนามจริงเราจะได้เท่าไร เวลาเข้าไปในห้องสอบจริงจะได้ไม่ตื่นเต้นครับ

4. จดข้อมูลให้ดี

เนื่องจากบทความใน TOEFL Listening บางบทจะยาวมาก ถ้าเราไม่จดลงไปในกระดาษ ผมบอกได้เลยว่าโอกาสลืมมีสูงมาก โดยเฉพาะ TOEFL iBT ดังนั้นการจดข้อมูลหรือ take notes เป็นทักษะสำคัญมากที่เราต้องฝึกฝนให้ชำนาญ

สิ่งที่เราต้องจดคือข้อมูลสำคัญๆ ที่โจทย์อธิบาย เช่น A ไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร B มีความคิดว่าอย่างไร ฯลฯ เราจะได้นำข้อมูลเหล่านี้ไปตอบคำถามที่โจทย์ถามในภายหลัง

ในการจด ผมแนะนำว่าให้จดเฉพาะ Keyword สำคัญๆ เท่านั้น คำย่อยๆ อย่างพวกสรรพนามและ preposition ไม่ต้องจด นอกจากนี้เราควรใช้ ตัวย่อ ลูกศร กากบาท ให้เป็นประโยชน์ครับ

อาทิเช่น โจทย์ให้มาว่า

The crash of stock market in 1929 signaled the beginning of the Great Depression, because consumers and investors had no confidence in the economy.

ผมจะจดแค่ว่า

Stock crash 1929 -> Great dep, cuz consu, inves no eco

จะเห็นว่าวิธีการที่ผมจดจะสั้นกว่ามาก แต่ได้ใจความอย่างครบถ้วนครับ

นอกจากนี้การจดเป็น “ภาษาไทย” ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีเช่นกัน เพราะคุณอาจจะใช้คำน้อยกว่าในการจดเป็นภาษาอังกฤษ และช่วยให้เข้าใจได้ดีกว่าเพราะเป็นภาษาแม่ของคุณ

จากตัวอย่างเดิม ผมอาจจะจดเป็น

หุ้นดิ่ง 29 —-> Great dep เพราะ cons, inves มั่นใจ eco

คุณจะเห็นว่าการจดแบบนี้สั้นกว่า และเข้าใจง่ายกว่าเมื่อคุณมาอ่านซ้ำในการตอบคำถามของข้อสอบ TOEFL Listening ครับ

5. จับ Main Idea ให้ได้

Main Idea เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำข้อสอบ TOEFL Listening เลยก็ว่าได้ เวลาที่เราฟัง เราควรฟังแบบพิจารณาองค์รวมด้วย นั่นแปลว่าเราไม่ควรใช้เวลาไปกับการจด Keyword ปลีกย่อยเสียจนไม่ได้ใส่ใจว่าในภาพรวมทั้งหมดแล้ว บทความที่ฟังต้องการสื่อว่าอะไร

สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะโจทย์มักจะถามอยู่เสมอว่า main idea ของบทความคืออะไร แม้ว่าอาจจะไม่ได้ถามตรงๆ อย่างเช่น “What is the main idea of ….. ?” ก็ตาม นอกจากนี้ถ้าเราเข้าใจ main idea เราจะสามารถเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องได้ง่ายขึ้นด้วยครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!