ประวัติศาสตร์จีนจ้านกว๋อซูฉินใช้จางอี้สกัดกองทัพฉิน สร้างพันธมิตรร่วมประสาน (2)

ซูฉินใช้จางอี้สกัดกองทัพฉิน สร้างพันธมิตรร่วมประสาน (2)

ซูฉินหมายใจจะให้หกแคว้นตะวันออกรวมตัวกันเป็นพันธมิตร แต่ติดอยู่ที่กองทัพฉินกำลังจะคุกคามแคว้นจ้าว เพราะจะข่มขู่หกแคว้นตะวันออกให้เกรงกลัว และใจฝ่อจากการเป็นรวมตัวเป็นพันธมิตรต่อต้านแคว้นฉิน

ในใจของซูฉินคิดไปถึงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถหยุดกองทัพฉินได้ เขาผู้นั้นคือจางอี้ เพื่อนร่วมสำนักของเขานั่นเอง ดังนั้นซูฉินจึงส่งคนไปหาจางอี้ทันที เพื่อดำเนินแผนลับอย่างหนึ่ง

มาดูกันครับว่าจะเป็นแผนอะไร

แผนที่ยุคจ้านกว๋อในเวลาดังกล่าว

จางอี้ตกระกำลำบาก

หลังจากซูฉินลงจากหุบเขาปีศาจไปแล้ว จางอี้ลงจากเขามาเช่นกัน เขาเดินทางกลับไปบ้านเกิดที่แคว้นเว่ย ในเวลานั้นกษัตริย์แคว้นเว่ยยังเป็นเว่ยฮุ่ยหวางคนเดิมที่เคยสั่งให้ลงโทษซุนปิ้น

จางอี้ได้ไปสมัครเข้ารับราชการในแคว้นเว่ย หากแต่ว่าเว่ยฮุ่ยหวางไม่รับเขาเข้ารับราชการ

เว่ยฮุ่ยหวางยังเป็นเช่นเดิมนั่นคือพบกับคนเก่ง แต่ยังไม่ได้ใช้เลยสักคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นซุนปิ้น เว่ยยาง และจางอี้ ทั้งๆที่ทั้งสามเป็นปราชญ์ที่มีฝีมือที่สุดของยุคจ้านกว๋อ

ดังนั้นจางอี้จำต้องออกจากแคว้นเว่ยไป เขาไปที่แคว้นฉู่เพื่อรอโอกาส โดยจางอี้ได้ไปอาศัยเป็นแขกในบ้านของสมุหนายกแคว้นฉู่

แต่แล้ววันหนึ่ง

ระหว่างที่สมุหนายกแคว้นฉู่นำแผ่นหยกอันงามเลิศชื่อเหอสื้อปี้ออกมาให้แขกชมดูนั้น หยกอันล้ำค่าชิ้นนี้กลับหายไปอย่างลึกลับ

สมุหนายกแคว้นฉู่ตกใจมากจึงสั่งให้สอบสวนพวกแขกในบ้าน บรรดาแขกบ้านเห็นจางอี้เพิ่งจะมาใหม่ รูปร่างหน้าตาไม่น่าไว้วางใจ พวกเขาจึงพากันโยนความผิดให้จางอี้ต่อหน้าสมุหนายกแคว้นฉู่

จางอี้ไม่ได้ขโมยหยกจึงไม่ยอมรับว่าเป็นขโมย สมุหนายกแคว้นฉู่สั่งให้เฆี่ยนตีจนจางอี้เกือบจะสิ้นใจ แต่จางอี้ก็ยังทรหดไม่ยอมรับสารภาพ สมุหนายกแคว้นฉู่จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องปล่อยจางอี้ไป

เหตุการณ์นี้น่าจะทำให้จางอี้ชิงชังแคว้นฉู่มาก อย่างที่จะปรากฏต่อไป

จางอี้ระหกระเหินพาตัวเองกลับไปที่บ้าน ภรรยาของจางอี้เห็นเขามีแผลเต็มตัวก็น้ำตาไหลนอง ภรรยาจึงเสนอให้จางอี้เลิกเรื่องการทูตและกลับมาอยู่บ้านทำไร่ทำสวนทำนากับเธอ

จางอี้หันหน้ามาให้ภรรยาดู แล้วอ้าปากพลางถามว่า

ลิ้นข้ายังอยู่ดีใช่หรือไม่

ภรรยาตอบว่าใช่

จางอี้กล่าวว่า

ดีมาก ตราบใดที่ลิ้นของข้ายังอยู่ มันจะนำความเจริญมาให้ข้าได้อย่างแน่นอน

ครึ่งปีผ่านไปราวกับโกหก จางอี้ได้ทราบข่าวว่าซูฉินได้เป็นสมุหนายกแคว้นจ้าวแล้วจึงคิดจะไปเยี่ยมเยือน แต่ทว่าจู่ๆมีรถม้าของชายคนหนึ่งมาจอดพักที่หน้าบ้านของจางอี้ ชายคนนั้นชื่อเจี่ยเส้อเหยิน และกำลังจะไปแคว้นจ้าวพอดี

จางอี้ดีใจยิ่งนักที่เจี่ยเส้อเหยินกำลังจะไปแคว้นจ้าว เขาจึงถามว่าซูฉินได้เป็นสมุหนายกแคว้นจ้าวแล้วจริงหรือไม่

เจี่ยเส้อเหยินผู้นี้คือคนที่ซูฉินส่งมานั่นเอง แต่เขาก็ทำเป็นกลบเกลื่อน และถามจางอี้ว่ารู้จักซูฉินได้อย่างไร

จางอี้จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจี่ยเส้อเหยินฟังที่ตนเองเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับซูฉิน เจี่ยเส้อเหยินจึงตัดสินใจเชื้อเชิญให้จางอี้ไปแคว้นจ้าวกับคนเพื่อไปพบกับซูฉินด้วยกัน จางอี้ดีใจยิ่งนักเพราะกำลังเดินทางไปแคว้นจ้าวอยู่พอดีเลยขึ้นรถของเจี่ยเส้อเหยินตามไปด้วย

เมื่อถึงชานเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าว เจี่ยเส้อเหยินส่งจางอี้ลงที่หน้าเมือง และอ้างว่าบ้านของตนเองนั้นยากจนและอยู่นอกเมือง ขอให้จางอี้เข้าเมืองไปพักอย่างสบายก่อน ในวันรุ่งขึ้นเขาไปยื่นเอกสารขอพบซูฉินร่วมกับจางอี้

จางอี้เข้าไปในโรงเตี้ยมและพักผ่อนอยู่อย่างสบาย ในวันรุ่งขึ้นเขาก็เข้าไปพบซูฉินด้วยความยินดีว่าจะได้พบเพื่อนเก่า แต่เมื่อจางอี้ไปถึงหน้าบ้านของซูฉิน เขากลับเจอป้ายบอกว่าไม่ให้ผู้ใดเข้าพบ

จางอี้รอแล้วรออีกอยู่หลายวันก็ยังไม่ได้เข้าพบซูฉินเสียที สุดท้ายเขาเริ่มจะโมโห และคิดจะกลับไปที่บ้าน แต่เจ้าของโรงเตี้ยมห้ามไว้ว่า

ท่านไปขอเข้าพบท่านสมุหนายก แล้วท่านสมุหนายกยังไม่ได้ตอบกลับมา ถ้าท่านจะไปเช่นนี้แล้วท่านสมุหนายกมาเรียกตัวท่านจากข้า ข้าจะตอบว่าอย่างไร ดังนั้นข้าไม่สามารถจะให้ท่านไปได้

จางอี้จำต้องอยู่ในเมืองหานตานต่อไป จนกระทั่งสุดจะทน จางอี้จึงกลับไปยื่นขอเข้าพบซูฉินอีก เขากล่าวว่าถ้าไม่ได้พบครั้งนี้ก็จะลากลับแล้ว ซูฉินได้ทราบเช่นนั้นจึงสั่งให้ตอบไปว่าพรุ่งนี้ให้เข้าพบได้

จางอี้แต่งกายอย่างสุภาพเพราะการช่วยเหลือจากเจ้าของโรงเตี้ยม แต่พอจางอี้มาถึงหน้าประตู เขากลับโดนบังคับให้เดินเข้าประตูเล็ก พอจะขึ้นบันไดก็โดนสั่งว่าให้รออยู่ที่นี่ก่อน

สิบชั่วโมงผ่านไป จางอี้ก็ยังอยู่ ณ ที่เดิมโดยที่ไม่มีอาหารและน้ำรับรองแต่อย่างใด จนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว ซูฉินจึงสั่งให้คนเรียกจางอี้ขึ้นไปหา จางอี้จึงแต่งตัวให้เรียบร้อยและเดินตามขึ้นไป ในใจคิดว่าซูฉินคงยังไม่ลืมความสนิทสนมเก่าแก่ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนกันมา จางอี้คาดว่าซูฉินน่าจะให้การต้อนรับตนเองเป็นอย่างดี

ความเป็นจริงกลับเป็นตรงกันข้าม

เมื่อซูฉินได้พบกับจางอี้ เขากลับไม่ยอมลงมาต้อนรับจางอี้เหมือนเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก่อน และแสดงตนว่าเป็นเจ้านายของจางอี้ เมื่อจางอี้เห็นท่าทางซูฉินเช่นนั้นก็โกรธแต่ไม่ได้แสดงออกมาแต่อย่างใด จางอี้จึงคำนับซูฉินตามธรรมเนียม

ซูฉินทักทายจางอี้ด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่ง ทำให้จางอี้โกรธเคืองจนพูดไม่ออก ซูฉินเห็นท่าทางจางอี้เลยสั่งให้คนรับใช้ไปนำอาหารมากินเลี้ยงกับจางอี้

เมื่อคนรับใช้นำอาหารมาวางที่โต๊ะ จางอี้ตกใจอย่างยิ่งที่อาหารของตนเองมีแค่เศษเนื้อและผักเท่านั้น ขณะที่โต๊ะของซูฉินเพรียบพร้อมไปด้วยอาหารอันโอชารสมากมายเรียงกันเป็นสิบๆ จาน จางอี้ยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่เนื่องจากความหิว จางอี้จึงกินข้าวกับเศษเนื้อเศษผักจนหมด ส่วนซูฉินกินอาหารมากมายเหล่านั้นไม่หมด เขาเลยสั่งให้คนรับใช้นำอาหารลงไปแบ่งกันกิน

จางอี้เห็นท่าทีของซูฉินกวนบาทายิ่งนัก เขาจึงตวาดด่าว่า

ซูฉิน ข้าคิดว่าข้ากับเจ้าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กันมา เจ้าจะเอี้อเฟื้อเผื่อแผ่กับข้าบ้าง แต่เจ้ากลับดูถูกเหยียดหยามข้าถึงเพียงนี้ แล้วความรักในฐานะของเพื่อนร่วมสำนักอยู่ที่ใด

ซูฉินจึงตอบแบบเนิบๆ ว่า

สติปัญญาของท่านจางอี้นั้น เหนือกว่าข้า แต่ข้าเกรงว่าท่านยากจนถึงเพียงนี้ ความยากจนจะทำให้สติปัญญาของท่านอ่อนด้อยลง ถ้าข้าแนะนำท่านกับเจ้าผู้ครองแคว้นจ้าวแล้ว ท่านไม่มีความสามารถแล้วข้าจะเป็นเช่นไร

จางอี้ได้ยินซูฉินดูถูกตนเองก็โกรธจัด กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า

ข้าสามารถช่วยเหลือตนเองได้ด้วยความสามารถของข้า เหตุไฉนข้าต้องอาศัยการแนะนำของเจ้าด้วย

ซูฉินจึงตอบว่า

แล้วเจ้ามาเยี่ยมเยือนข้าด้วยเหตุเห็นใด ข้าจะให้ทองคำเจ้าไปสิบตำลึง แล้วเจ้าจะไปที่ใดก็ไป

คนรับใช้นำทองสิบตำลึงมามอบให้จางอี้ ด้วยความโกรธอย่างที่สุดจางอี้จึงเขวี้ยงทองทั้งหมดลงบนพื้น แล้วออกไปจากวังของซูฉินในทันที

เมื่อกลับไปถึงโรงเตี๊ยม จางอี้กลับพบว่าเจ้าของโรงเตี้ยมได้นำของใช้ส่วนตัวของตนมากองไว้ที่หน้าโรงเตี๊ยมแล้ว เพราะคิดว่าจางอี้จะจ่ายค่าที่พักและจากไปในไม่ช้า แต่ปรากฎว่าจางอี้ได้เขวี้ยงทองทิ้งไปหมดแล้ว เขาจึงไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียวจะมาจ่ายเงิน ทั้งสองคนจึงเจรจากันอยู่

พอดีเจี่ยเส้อเหยินคนเดิมเดินมาที่โรงเตี๊ยม เขาถามจางอี้ว่าได้พบซูฉินแล้วหรือยัง จางอี้จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เจี่ยเส้อเหยินจึงว่า

ข้าเป็นคนเสนอให้ท่านมาที่แคว้นจ้าวมาพบกับท่านสมุหนายก แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าขอเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายโรงแรมนี่เอง และส่งท่านกลับแคว้นเว่ย จะเป็นเช่นไร

จางอี้ตอบเจี่ยเส้อเหยินว่าตนเองปรารถนาจะเดินทางไปยังแคว้นฉิน

เจี่ยเส้อเหยินรู้สึกสงสัยจึงถามว่าจางอี้จะไปแคว้นฉินเพราะเหตุใด

จางอี้ตอบว่า

ในบรรดาแคว้นทั้งเจ็ดนั้น แคว้นฉินเข้มแข็งที่สุด แคว้นฉินสามารถบดขยี้แคว้นจ้าวได้ในพริบตา ถ้าข้าได้เป็นขุนนางในแคว้นฉิน ข้าจะสามารถล้างแค้นที่ไอ้ซูฉินที่เหยียดหยามข้าในวันนี้ได้

สัญญาร่วมประสาน

เจี่ยเส้อเหยินได้ฟังจึงบอกจางอี้ว่าตนเองมีธุระที่แคว้นฉินพอดี จางอี้จะเดินทางไปกับตนหรือไม่

จางอี้ดีใจยิ่งนักจึงตอบตกลงทันที หลังจากนั้นจางอี้ติดตามเจี่ยเส้อเหยินไปแคว้นฉินด้วยรถม้า ระหว่างทางไปแคว้นฉิน จางอี้ต้องการอะไร เจี่ยเส้อเหยินก็ซื้อให้หมดโดยไม่เสียดายเงินทองแต่อย่างใด

เมื่อมาถึงแคว้นฉิน เจี่ยเส้อเหยินใช้เงินทองของตนเองติดสินบนบรรดาคนสนิทและขุนนางในราชสำนักฉิน เพื่อให้สนับสนุนจางอี้ต่อหน้าฉินฮุ่ยเหวินหวาง

ฉินฮุ่ยเหวินหวางกำลังเสียดายอยู่พอดีที่เสียซูฉินไป เมื่อบรรดาขุนนางพูดถึงจางอี้ ศิษย์ร่วมสำนักของซูฉิน ฉินฮุ่ยเหวินหวางจึงดีใจมาก เขาสั่งให้เรียกตัวมาเข้าเฝ้าทันที

เมื่อได้พบพระพักตร์ฉินหวาง จางอี้แสดงความรู้ของตนออกมาอย่างเต็มที่ ฉินฮุ่ยเหวินหวางทรงชื่นชมในความสามารถจึงแต่งตั้งเป็นขุนนางทันที

จางอี้สำนึกในบุญคุณของเจี่ยเส้อเหยินเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเจี่ยเส้อเหยินจะออกจากแคว้นฉินไป จางอี้น้ำตาไหลนองและกล่าวว่า

ข้ายากจนข้นแค้นถึงที่สุด แต่ท่านกลับมีเมตตากับข้าให้ความช่วยเหลือจนข้าได้เป็นขุนนางแคว้นฉิน ข้ามิทราบว่าจะหาสิ่งใดมาตอบแทนท่านได้”

เจี่ยเส้อเหยินได้ฟังก็หัวเราะ แล้วก็กล่าวว่า

หาใช่เป็นเพราะข้าไม่ ผู้ที่ช่วยเหลือท่านนั่นคือสมุหนายกซูฉินต่างหาก ท่านสมุหนายกต้องการจะเริ่มสัญญาร่วมประสาน แต่เกรงกองทัพฉินจะเข้าตีแคว้นจ้าว และทำให้แผนการของท่านสมุหนายกถูกทำลาย เขาจึงให้ข้ามาช่วยเหลือท่าน ให้ข้าไปชักชวนท่านมาจากแคว้นเว่ย แล้วจึงเสแสร้งทำเป็นเย่อหยิ่งให้ท่านโกรธเคืองท่านสมุหนายก ท่านจะได้เกิดความต้องการล้างแค้นและเดินทางมายังแคว้นฉินเพื่อเป็นขุนนาง ท่านสมุหนายกยังมอบทองคำให้กับข้ามากมายเพื่อสนับสนุนท่านให้เป็นขุนนางแคว้นฉินให้จงได้ บัดนี้ท่านเป็นขุนนางแคว้นฉินแล้ว งานของข้าก็เสร็จสิ้น ข้าขออำลาท่านกลับแคว้นจ้าวเพื่อไปรายงานท่านสมุหนายก

จางอี้ถึงกับตกตะลึงในแผนการอันซับซ้อนของซูฉิน เขาจึงตอบว่า

ข้าอยู่ในกลอุบายของซูฉินหรือนี่ สติปัญญาของข้าไม่อาจจะเทียบได้กับสติปัญญาของเขาเลยเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ขอให้ท่านกลับไปแจ้งท่านสมุหนายกซูฉินว่า ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในแคว้นฉิน จะไม่มีกองทัพฉินไปเหยียบแคว้นจ้าวอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นเจี่ยเส้อเหยินก็ลาจางอี้กลับไปรายงานต่อซูฉินที่แคว้นจ้าว ซูฉินจึงรีบเข้าไปรายงานต่อจ้าวสู้โหวว่ากองทัพฉินคงจะไม่ยกมาแล้ว ขอให้จ้าวสู้โหวอนุญาตให้ตนเองไปเจรจากับแคว้นต่างๆ เพื่อสร้างพันธมิตรระหว่างหกแคว้นขึ้น

ซูฉินเดินทางไปห้าแคว้นที่เหลือเพื่อใช้วาทศิลป์เกลี้ยกล่อมให้เหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งห้าเห็นด้วยกับการร่วมมือต่ออำนาจแคว้นฉิน ปรากฏว่าห้าแคว้นยอมคล้อยตามด้วยดีและร่วมกันทำสัญญาเป็นพันธมิตร

ซูฉินถือโอกาสที่เมืองลั่วหยาง บ้านเกิดของตนเองอยู่ในทางกลับไปยังแคว้นจ้าวพอดี ซูฉินจึงเข้าไปเยี่ยมบ้าน โจวหวางให้การต้อนรับซูฉินอย่างใหญ่โต บรรดาราษฎรที่เมืองลั่วหยางพากันมาดูตัวซูฉินมากมาย

มารดาของซูฉินออกมายืนดูด้วยเช่นกัน เธอทั้งตกใจและชมเชยในความสำเร็จของบุตรชาย ขณะที่น้องชายทั้งสองคน และพี่สะใภ้ต่างก้มหน้า ไม่กล้าจ้องมองดูเขา

ซูฉินไม่ถือโทษโกรธเคืองที่น้องชายทั้งสองและพี่สะใภ้เคยดูถูกตนเอง เขาจึงให้บรรดาญาติพี่น้องกับตนเองที่บ้านหลังใหญ่ในแคว้นจ้าว

หลังจากนั้นไม่นานซูฉินนัดบรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหกไปพบกันเพื่อลงนามในสัญญาร่วมประสาน เมื่อเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหกได้มาพร้อมกันแล้ว ซูฉินกล่าวว่า

ถ้าเรียงตามลำดับความเก่าแก่แล้ว แคว้นฉู่และแคว้นเยียนเก่าแก่ที่สุด ในขณะที่แคว้นสามจิ้นเป็นแคว้นใหม่ ถ้าเรียงกันตามขนาดเล่า แคว้นฉู่ก็ใหญ่ที่สุด รองลงไปก็เป็นแคว้นฉี เว่ย จ้าว เยียน และหาน ทั้งนี้เจ้าผู้ครองแคว้นฉู่ เว่ย ฉี ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นหวาง (กษัตริย์) ในขณะที่แคว้นหาน จ้าว เยียน ยังใช้นามว่าเจ้าพระยา (โหว) ข้าพเจ้าขอเสนอให้เจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหกใช้นามเป็นหวางเหมือนกันหมด บรรดาศักดิ์จะได้เท่าเทียมกัน

บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหกต่างเห็นด้วย ทุกคนจึงใช้ตำแหน่งเป็นหวางเท่าเทียมกันทั้งหมดตั้งแต่บัดนั้นไปจนถึงสิ้นสุดยุคจ้านกว๋อ

เมื่อจัดการเรื่องบรรดาศักดิ์ได้แล้ว ซูฉินจึงเริ่มทำพิธีสาบานเป็นพันธมิตร เขานำสัตว์มากรีดเลือดเพื่อทำพิธี หวางทั้งหกต่างร่วมกรีดเลือด และร่างหนังสือสัญญาร่วมประสาน เพียงเท่านี้พิธีลงนามในสัญญาร่วมประสานก็เสร็จสมบูรณ์

หลังจากเสร็จพิธีแล้วนั้น ซูฉินได้รับการแต่งตั้งจากหวางทั้งหกเป็นประธานพันธมิตรร่วมประสาน และเป็นสมุหนายกร่วมของแคว้นทั้งหกและมีอำนาจบังคับบัญชาขุนนางทั้งปวงในหกแคว้นทั้งหมด

ในเวลาไม่นาน ซูฉินก็ได้มียศศักดิ์เช่นนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง!

จางอี้ยับยั้งกองทัพฉิน

ข่าวที่หกแคว้นรวมตัวเป็นพันธมิตรทราบไปถึงหูฉินฮุ่ยเหวินหวางอย่างรวดเร็ว ทำให้ฉินฮุ่ยเหวินหวางตกใจยิ่ง พวกขุนนางจึงเสนอให้โจมตีแคว้นจ้าวเพราะเป็นผู้ริเริ่มทำสัญญาร่วมประสาน

จางอี้ที่อยู่ในท้องพระโรงด้วยจึงทูลว่า

ข้าพระองค์ไม่เห็นด้วยกับการที่ต้าหวางคิดจะโจมตีแคว้นจ้าว ขอให้ต้าหวางดำริดู หกแคว้นเพิ่งจะทำสัญญาเป็นพันธมิตร ถ้ากองทัพฉินเรายกไปโจมตีแคว้นจ้าว อีกห้าแคว้นก็จะยกกองทัพมาช่วยเหลือ แล้วกองทัพฉินเราจะแยกย้ายไปรับมือได้กระนั้นหรือ ข้าพระองค์ทูลขอให้ต้าหวางทรงไตร่ตรองดูใหม่

จางอี้จึงได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว นั่นคือขัดขวางกองทัพฉินไม่ให้ไปตีแคว้นจ้าว

ฉินฮุ่ยเหวินหวางได้ฟังคำทัดทานของจางอี้จึงรู้สึกเอะใจ เขาจึงถามจางอี้ว่าแผนการอะไรที่จะทำให้พวกพันธมิตรหกแคว้นแตกกันไปเอง

จางอี้เคยสัญญาว่าจะช่วยไม่ให้กองทัพฉินยกไปตีแคว้นจ้าว แต่ไม่เคยสัญญาว่าจะไม่ทำลายสัญญาร่วมประสานของซูฉิน ดังนั้นจางอี้จึงทูลว่า

ข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงส่งทูตไปที่แคว้นเว่ย ที่อยู่ใกล้กับแคว้นฉินมากที่สุดเพื่อเจรจาเป็นไมตรี ขอให้ต้าหวางทรงพระราชทานดินแดนเซียงหลิงคืนให้ไป รวมไปถึงขอพระธิดาแคว้นเว่ยให้อภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท แคว้นเว่ยถูกแคว้นฉินเรารุกรานมาหลายครั้งย่อมต้องการดินแดนคืน  มีหรือจะไม่รับข้อเสนอของพระองค์ นอกจากนั้นข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงส่งทูตไปที่แคว้นเยียนเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี เช่นนี้หกแคว้นที่ทำสัญญาร่วมประสานก็จะระแวงกันเอง จนสุดท้ายพันธมิตรจะแตกสลายไปเอง โดยที่ไม่เปลืองแรงกองทัพฉินเลยแม้แต่น้อย

ฉินฮุ่ยเหวินหวางตบตักฉาดใหญ่ และกล่าวว่า

วิเศษมาก ท่านจางอี้ ข้าอนุญาตให้ทำตามที่ท่านกล่าว

ทูตแคว้นฉินจึงเดินทางไปที่แคว้นเว่ยทันที สัญญาร่วมประสานจะอยู่รอดหรือไม่ ติดตามต่อไปได้ในตอนหน้าครับ

Sources:

  • Sima Qian, Records Of the Grand Historian
  • วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!