ประวัติศาสตร์หยางเจียน (สุยเหวินตี้) จักรพรรดิดีผู้ได้บัลลังก์เพราะแย่งมาจากเด็ก

หยางเจียน (สุยเหวินตี้) จักรพรรดิดีผู้ได้บัลลังก์เพราะแย่งมาจากเด็ก

สุยเหวินตี้ ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์สุย เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น จักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์จีน ในรัชกาลนี้แผ่นดินจีนรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง หลังจากที่แตกแยกมานานเกือบสามร้อยปี ราษฎรอยู่อย่างสงบสุข การค้ารุ่งเรือง เสบียงอาหารในคลังมั่งคั่งบริบูรณ์

หากแต่ว่าการขึ้นสู่อำนาจของสุยเหวินตี้ไม่ได้มาแบบปกติ เขาไม่ได้เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ใช้การแย่งราชสมบัติฮ่องเต้เด็กจนได้ครองราชย์ในที่สุด

สุยเหวินตี้

หยางเจียน

ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 6 แผ่นดินจีนแบ่งออกเป็นสามส่วน ภาคใต้ปกครองโดยราชวงศ์เฉิน (เมืองหลวงอยู่ที่เจี้ยนคัง ปัจจุบันคือเมืองนานกิง) ภาคตะวันออกปกครองโดยราชวงศ์เป่ยฉี (ราชวงศ์ของหลานหลิงหวาง เมืองหลวงตั้งอยู่ที่เย่เฉิง ปัจจุบันเป็นเมืองเล็กๆ ในมณฑลเหอเป่ย) ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันตกปกครองโดยราชวงศ์เป่ยโจว (เมืองหลวงอยู่ที่ฉางอาน ปัจจุบันคือเมืองซีอาน)

ตระกูลหยางเป็นหนึ่งตระกูลชนชั้นสูงในราชวงศ์เป่ยโจว ในปี ค.ศ.541 ภรรยาของหยางจงแห่งตระกูลหยางได้ให้กำเนิดบุตรชายในวัดพุทธแห่งหนึ่ง และได้ตั้งชื่อเขาว่า “หยางเจียน”

หยางเจียนผู้นี้เองจะได้ครองราชย์เป็น “สุยเหวินตี้” ในกาลข้างหน้า

ตำนานเล่าว่าหยางเจียนมีลักษณะพิเศษกว่าคนทั่วไปมาตั้งแต่วัยเยาว์ และเป็นเด็กที่มีความสามารถมาก เขาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนหลวงจนจบการศึกษาตั้งแต่อายุ 14 ปี และได้เข้ารับราชการในกองทัพเป่ยโจวในเวลาต่อมา

หยางเจียนรับราชการไปได้สองปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ แม่ทัพตู๋กูซิน แม่ทัพคนสำคัญในราชสำนักรู้สึกถูกชะตาหยางเจียนที่มีอายุเพียง 16 ปีมาก เขาจึงยกบุตรสาวคนที่ 7 นามว่าตู๋กูเจียหลัว ให้เป็นภรรยาหยางเจียน แม้ว่าในเวลานั้นเธอจะมีอายุเพียง 13 ปีก็ตาม

ความรักของหยางเจียนและตู๋กูเจียหลัวเป็นไปด้วยความหวานชื่น ทั้งสองรักกันมาก หยางเจียนมีเธอเป็นภรรยาคนเดียวตลอดเวลา 45 ปีที่ครองคู่กัน และไม่ได้มีภรรยาน้อยหรือพระสนมใดๆเลยสักคนเดียว แม้ว่าจะครองราชย์แล้วก็ตาม

การแต่งงานทำให้หยางเจียนได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากตู๋กูซินด้วย ทำให้เขาได้รับตำแหน่งสูงขึ้นโดยเป็นถึงรองเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อหยางจง บิดาของเขาเสียชีวิต หยางเจียนได้สืบต่อตำแหน่ง สุยกง (พระยาแห่งสุย) ซึ่งเป็นตำแหน่งของบิดา

หยางเจียนรับราชการอย่างแข็งขัน และเป็นที่โปรดปรานของ โจวหวู่ตี้ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เป่ยโจวมาเป็นเวลานานนับสิบปี ทำให้ในปี ค.ศ.573 โจวหวู่ตี้ได้สู่ขอหยางลี่หัว บุตรสาวคนโตของหยางเจียนเป็นมเหสีของอวี่เหวินยุน โอรสองค์โตและรัชทายาทของตน

ไม่ต้องสงสัยว่าหยางเจียนตอบรับด้วยความยินดียิ่งเพราะเขาจะได้เป็นญาติของฮ่องเต้ และถ้ารัชทายาทได้เป็นฮ่องเต้ เขาจะได้เป็นพ่อตาของฮ่องเต้ ความรุ่งเรืองของตระกูลหยางอยู่ไม่ไกลแล้ว

ความทะเยอทะยาน

หยางเจียนเป็นชายที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก และเขาได้แสดงมันออกมาผ่านท่าทางของเขา เมื่อบุตรสาวของเขาได้แต่งงานกับรัชทายาทแล้ว พวกขุนนางในราชสำนักเป่ยโจวต่างรู้สึกว่าหยางเจียนผู้นี้น่าจะคิดคดต่อราชวงศ์ในไม่ช้า การต่อต้านหยางเจียนจึงเกิดขึ้นอย่างลับๆ ในหมู่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ในราชสำนัก

ขุนนางและเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ทูลโจวหวู่ตี้เป็นการลับว่าให้สังหารหยางเจียนเสีย เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่โจวหวู่ตี้ปฏิเสธ ทำให้หยางเจียนรอดตายมาได้หวุดหวิด

หยางเจียนได้ทราบเรื่องดังกล่าวในเวลาต่อมา ทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น และไม่แสดงความทะเยอทะยานออกมาอีกต่อไป พร้อมกับทำตัวเองให้ไม่เป็นจุดเด่นด้วย

อย่างไรก็ตามหยางเจียนถูกส่งตัวไปทำสงครามอยู่เนืองๆ เขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ถูกส่งไปพิชิตราชวงศ์เป่ยฉีของหลานหลิงหวางในปี ค.ศ.577

ความระมัดระวังทำให้หยางเจียนเอาตัวรอดมาได้จนกระทั่ง อวี่เหวินยุนครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่แห่งเป่ยโจว นามว่าโจวซวนตี้ บุตรสาวของหยางเจียนจึงได้เป็นหวงโฮ่ว (ไทเฮา)

โจวซวนตี้ผู้นี้เป็นฮ่องเต้ที่พฤติกรรมประหลาดหลายอย่าง โดยเขาเริ่มต้นฆ่าฟันบุคคลที่เขาเกลียดชังหลายคน ไม่เว้นแต่เชื้อพระวงศ์เป่ยโจวด้วยกัน หลังจากนั้นก็ออกกฎหมายที่โหดร้ายมาควบคุมประชาชน ส่วนตัวเองก็ใช้เวลาเสพสุรานารีอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน และเริ่มมีความคิดเพ้อฝันต่างๆ นาๆ เช่นจะสร้างวังใหม่บ้าง จะเปลี่ยนธรรมเนียมโน่นนี่บ้าง

ในปี ค.ศ.579 โจวซวนตี้แต่งตั้งอวี่เหวินชาน บุตรชายคนโตของตนเป็นรัชทายาท ซึ่งไม่ใช่ลูกของหยางลี่หัว บุตรสาวของหยางเจียนแต่อย่างใด หลังจากนั้นไม่นานโจวซวนตี้ก็สละราชสมบัติให้กับอวี่เหวินชาน โดยตนเองไปดำรงตำแหน่งไท่ซ่างหวง (บิดาของฮ่องเต้) แทน

เกือบม้วยมรณา

เมื่อเป็นไท่ซ่างหวง โจวซวนตี้ก็ยิ่งบ้าคลั่งและโหดร้าย เขาเรียกตนเองว่าเป็น “สวรรค์” และเริ่มให้พวกขุนนางและข้าราชบริพารนับถือตนเองว่าเป็น “เทพเจ้า” ผู้ที่ต้องการจะพบโจวซวนตี้ต้องกินเจเป็นเวลาสามวัน และอาบน้ำให้สะอาดสะอ้านเสียก่อนถึงจะพบได้

ต่อมาไม่นานโจวซวนตี้แต่งตั้งหวงโฮ่วเพิ่มขึ้นอีกเป็นสี่คน และยิ่งเสพสุขมากกว่าเดิม เวลาว่างๆ โจวซวนตี้มักจะนำพวกข้าราชบริพารและนางกำนัลมาเฆี่ยนตีตั้งแต่ 120-240 ที ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันมาก หลายคนเกรงกลัวโจวซวนตี้มากจนไม่กล้าปริปากพูดอะไรต่อหน้าโจวซวนตี้เลย

พฤติกรรมของโจวซวนตี้จึงไม่ต่างอะไรกับ คาลิกูล่าแห่งโรม ทั้งเรื่องมโนว่าตนเองเป็นเทพ หรือการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ทำให้ผู้คนในราชสำนักหวาดกลัวกันมาก

หยางเจียนใช้ชีวิตในช่วงที่ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ด้วยความระมัดระวัง แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาเกือบจะเสียท่า เพราะหยางลี่หัวที่เป็นหวงโฮ่วได้ทำอะไรสักอย่างให้โจวซวนตี้โกรธอย่างมาก โจวซวนตี้ถึงกับลั่นวาจาว่าจะสังหารตระกูลหยางทั้งตระกูล และบังคับให้เธอฆ่าตัวตายเสีย

สถานการณ์ของหยางเจียนและครอบครัวจึงคับขันยิ่งนัก แต่โชคยังดีที่ตู๋กูเจียหลัว ภรรยาของหยางเจียนและแม่ของหยางลี่หัวคิดวิธีการออกมาได้ นางรีบเข้าวังและทูลขออภัยโทษด้วยความนอบน้อม ทำให้ชีวิตของตระกูลหยางทุกคน รวมไปถึงหยางเจียน และหยางลี่หัวรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

หลังจากนั้นไม่นานโจวซวนตี้กลับรู้สึกระแวงหยางเจียนขึ้นมาอีก เพราะความสามารถและความนิยมของตัวหยางเจียนนั่นเอง โจวซวนตี้ต้องการจะฆ่าเขาเสีย แต่ยังหาจังหวะดีๆ ไม่ได้

มีอยู่วันหนึ่งโจวซวนตี้เชิญหยางเจียนมายังวังหลวง และถ้าหยางเจียนแสดงท่าทีแปลกๆ เขาจะสั่งให้ทหารองครักษ์นำตัวเขาไปฆ่าทันที แต่หยางเจียนมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยความเคารพนบนอบและไม่ได้มีท่าทีกระด้างกระเดื่อง ทำให้หยางเจียนรอดมาได้อีกครั้ง

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น หยางเจียนทราบว่าตนเองมีภัยใหญ่หลวงจึงขอให้เจิ้งอี้ เพื่อนสนิทช่วยเหลือตน ด้วยการเพ็ดทูลให้ฮ่องเต้ส่งตนให้ไปไกลจากเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้โจวซวนตี้จึงส่งหยางเจียนไปประจำการในภาคใต้ เพื่อเตรียมกองทัพยกไปตีราชวงศ์เฉิน

สำเร็จราชการ

แต่ทว่าเรื่องน่าเหลือเชื่อกลับเกิดกับหยางเจียน

ระหว่างที่เขากำลังจะเดินทางไปภาคใต้ โจวซวนตี้ที่มีอายุเพียง 20 ปีกลับป่วยหนักและจวนจะสวรรคต พวกขุนนางปรึกษากันว่าจะให้ใครเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้องค์ใหม่ดี

เจิ้งอี้และหลิวฟางเพื่อนสนิทของหยางเจียนจึงเสนอหยางเจียน ด้วยความที่หยางเจียนเป็นที่นิยมจึงมีขุนนางเห็นด้วยไม่น้อย โจวซวนตี้อาจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ป่วยจนเอ่ยปากพูดไม่ไหวอีกแล้ว ทำให้พวกขุนนางเรียกตัวหยางเจียนเข้าวังเพื่อเตรียมพร้อมเป็นผู้สำเร็จราชการ

หยางเจียนปฏิเสธเพราะเกรงว่าจะเป็นกับดัก แต่สุดท้ายก็ทำใจกล้าๆ เข้าวัง (น่าจะเป็นเพราะการยืนยันของเพื่อนสนิทหลายคน) เมื่อโจวซวนตี้สวรรคต หยางเจียนจึงได้เป็นผู้สำเร็จราชการของโจวจิ้งตี้ ฮ่องเต้วัย 8 ปีในที่สุด

เมื่อได้รับตำแหน่งอันสูงส่งนี้แล้ว หยางเจียนทำให้ขุนนางและประชาชนยอมรับตนด้วยการยกเลิกกฎหมายอันโหดร้ายที่โจวซวนตี้กำหนดขึ้น หยางเจียนทำงานหนักและใช้ชีวิตด้วยความประหยัดมัธยัสถ์แทนที่จะกอบโกยทรัพย์สินเข้าตระกูลของตน ทำให้หยางเจียนได้ใจทั้งขุนนางและประชาชนอย่างรวดเร็ว

ขึ้นเป็นฮ่องเต้

อย่างไรก็ตาม ศัตรูเก่าของหยางเจียนยังอยู่ในราชสำนัก คนเหล่านี้เห็นว่าหยางเจียนมักใหญ่ใฝ่สูง (ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง) จึงตั้งตนเป็นกบฏ หยางเจียนส่งกองทัพไปปราบและเอาชนะพวกกบฏได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาไม่นานหยางเจียนก็ถูกพยายามลอบสังหารโดยเชื้อพระวงศ์เป่ยโจว แต่ก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้งหนึ่ง

การกบฏและถูกลอบสังหารทำให้หยางเจียนตระหนักว่า ตนเองไม่อาจจะอยู่เป็นสุขได้หากพวกที่ต่อต้านตนยังอยู่เป็นหอกข้างแคร่ หยางเจียนจึงใช้อำนาจที่ตนมีอยู่ตอบโต้ เขาสั่งให้จับกุมเหล่าเชื้อพระวงศ์คนสำคัญและนำตัวไปประหารชีวิตหมดทั้งครอบครัวอย่างที่หวางหมั่งเคยทำมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน

เมื่อกวาดล้างพวกเชื้อพระวงศ์จนแทบหมดสิ้นแล้ว ผู้ที่ขัดขวางอำนาจของหยางเจียนไม่มีอีกต่อไป หยางเจียนเองทราบดีว่าได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่พอใจในการปกครองของตน เขาจึงบีบให้โจวจิ้งตี้เลื่อนตำแหน่งตนเองขึ้นอย่างรวดเร็ว จนได้รับตำแหน่งเป็นถึงสุยหวาง (กษัตริย์แห่งสุย) และได้รับเครื่องยศเก้าสิ่ง อันเป็นสัญญาณว่าการชิงบัลลังก์จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

เพียงแค่สองเดือนหลังจากที่หยางเจียนได้เป็นสุยหวาง หยางเจียนบีบให้โจวจิ้งตี้สละราชสมบัติให้กับตนในทำนองเดียวกับที่สุมาเอี๋ยนบีบโจฮวน

โจวจิ้งตี้ผู้ไร้เดียงสาจำต้องทำตาม หยางเจียนจึงได้เป็นฮ่องเต้ในที่สุดในนามว่า สุยเหวินตี้ และสถาปนาราชวงศ์สุยขึ้นปกครองแผ่นดินจีน

เชื้อพระวงศ์เป่ยโจวที่เหลืออยู่และเป็นชายต่างถูกสุยเหวินตี้นำไปประหารชีวิตทั้งหมด และให้คนไปสังหารโจวจิ้งตี้ด้วย

ในการสังหารอดีตฮ่องเต้ สุยเหวินตี้ทำเป็นไม่รู้เรื่องดังกล่าว และแสดงท่าทางว่าตกใจมาก เขาจัดงานศพให้โจวจิ้งตี้อย่างสมเกียรติจักรพรรดิเพื่อกลบความสงสัยของประชาชน

หยางลี่หัวที่เป็นหวงโฮ่วและไท่โฮ่วแห่งราชวงศ์เป่ยโจวโกรธมากที่หยางเจียน บิดาของตนเองมาชิงราชสมบัติ และมักจะระบายความโกรธแค้นให้คนสนิทฟังอยู่เสมอ

สุยเหวินตี้จึงสถาปนาเธอเป็นเจ้าหญิงแห่งเล่อผิง และพยายามจะหาเจ้าบ่าวให้เธอแต่งงานใหม่ เพราะเธอเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว แต่หยางลี่หัวปฏิเสธ สุยเหวินตี้ยังคงดูแลเธออย่างดีต่อไป และกล่าวอยู่เสมอว่าเป็นเพราะเธอ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้มาไกลขนาดนี้

แม้จะได้เป็นฮ่องเต้แบบที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมนัก แต่สุยเหวินตี้ประสบความสำเร็จมากในการบริหารประเทศ ราชวงศ์สุยรุ่งเรืองมากราวกับว่าราชวงศ์ฮั่นยุครุ่งเรืองกลับมาอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่สุยเหวินตี้สร้างมากลับถูกทำลายสิ้นด้วยน้ำมือของสุยหยางตี้ ราชวงศ์สุยจึงมีแค่สองรัชกาลเท่านั้น

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!