ทุกท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อ นายฉันนะ มากันบ้างแล้วในวิชาพระพุทธศาสนา นายฉันนะคนนี้มีความสำคัญไม่น้อยต่อพุทธประวัติ ตัวเขาเองเป็นหนึ่งในสหชาติของพระพุทธเจ้า นั่นแปลว่าเขากำเนิดมาพร้อมกับพระพุทธเจ้า
นายฉันนะเป็นบริวารเก่าที่ใกล้ชิดที่สุดของเจ้าชายสิทธัตถะ หลังจากเจ้าชายตรัสรู้แล้ว นายฉันนะก็ได้ตามมาบวชด้วย แต่เขากลับเป็นผู้ว่านอนสอนยาก ทำให้นายฉันนะโดนคณะสงฆ์ลงโทษอย่างหนักในเวลาต่อมา
เพราะเหตุใดอดีตคนสนิทของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเช่นนั้นได้ เราลองมาดูกันครับ?
คนสนิทของเจ้าชายสิทธัตถะ
นายฉันนะเป็นคนสนิทที่สุดของเจ้าชายสิทธัตถะก็ว่าได้เพราะเขาเติบโตมากับพระองค์ และมีอายุเท่ากับพระองค์ เมื่อเจ้าชายเสด็จออกมานอกวัง และได้พบเหล่าเทวทูตทั้ง 4 นายฉันนะผู้นี้เองคือผู้ที่ขับรถม้าให้กับพระองค์

ต่อมาในคืนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะออกผนวช เขาเป็นผู้ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงปลุกให้ตื่นขึ้นเพื่อไปผูกม้ากัณฐกะเพื่อที่จะนำพระองค์ไปยังแม่น้ำอโนมา นายฉันนะจึงเป็นคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าออกบวช
นายฉันนะดูแลพระองค์จนกระทั่งเจ้าชายปลงผมและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นนักบวชจนเสร็จสิ้น เขาจึงนำฉลองพระองค์เดิมและม้ากัณฐกะกลับไปยังกรุงกบิลพัลดุ์ เพื่อเรียนพระเจ้าสุทโธทนะให้ทรงทราบว่าพระโอรสได้ออกผนวชแล้ว
นายฉันนะมองเจ้าชายจนลับตา และถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ส่วนม้ากัณฐกะตายทันทีหลังจากที่ลับสายตาจากเจ้าชายสิทธัตถะ
สู่ผู้ว่านอนสอนยาก
เจ้าชายสิทธัตถะใช้เวลาอยู่ 6 ปี พระองค์จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับมากรุงกบิลพัลดุ์เพื่อโปรดพระญาติ เหล่าพระญาติเกิดศรัทธาขอบวชมากมาย นายฉันนะก็เป็นคนหนึ่งที่ขอบวชด้วย
หลังจากบวชแล้ว พระฉันนะกลับเย่อหยิ่งจองหอง เขาถือตัวว่าเป็นข้ารับใช้เก่าแก่ของพระพุทธเจ้า พระฉันนะไม่ฟังผู้ใดแม้กระทั่งพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าก็ตาม
สิ่งที่พระฉันนะชอบใช้ข่มพระอื่นๆ (รวมไปถึงพระอัครสาวกอย่างพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ) มากที่สุดคือ พระฉันนะชอบอ้างว่าเป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าออกผนวช พระรูปอื่นจึงเริ่มเอือมระอากับพระฉันนะ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน พระฉันนะก็ไม่สามารถบรรลุธรรมอันใดได้เลย เพราะพระฉันนะยึดมั่นว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นเช่นนี้นั่นเอง พระรูปอื่นที่บวชทีหลังจึงบำเพ็ญบารมีแซงพระฉันนะจนบรรลุอรหันต์ไปหมดแล้ว

มีอยู่วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นครโกสัมพี พระฉันนะได้ทำการโค่นต้นไม้ที่เหล่าชาวบ้านเคารพบูชาเพื่อที่เศรษฐีผู้อุปัฏฐากตนจะได้สร้างวิหารถวายตัวพระฉันนะเอง พระรูปอื่นจึงเข้าไปตักเตือนว่าพระฉันนะไม่ควรกระทำเช่นนี้
แต่มีหรือพระฉันนะจะฟัง พระฉันนะว่ากล่าวว่าพระรูปอื่นมีสิทธิ์อันใดมาว่ากล่าวตน ตามด้านล่าง
พวกท่านสำคัญว่าเราเป็นผู้ที่ท่านควรว่ากล่าว กระนั้นหรือ เราต่างหากควรว่ากล่าวพวกท่าน เพราะพระพุทธเจ้าก็ของเรา พระธรรมก็ของเรา พระลูกเจ้าของเราตรัสรู้ธรรมแล้ว พวกท่านต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ต่างสกุลกัน บวชรวมกันอยู่ ดุจลมกล้าพัดหญ้าไม้ และใบไม้แห้งให้อยู่ร่วมกัน หรือดุจแม่น้ำที่ไหลมาจาก ภูเขา พัดจอกสาหร่ายและแหนให้อยู่รวมกันฉะนั้น ดูกรท่านทั้งหลาย พวกท่านสำคัญว่าเราเป็น ผู้ที่ท่านควรว่ากล่าวกระนั้นหรือ เราต่างหากควรว่ากล่าวพวกท่าน เพราะพระพุทธเจ้าก็ของเรา พระธรรมก็ของเรา พระลูกเจ้าของเราตรัสรู้ธรรมแล้ว
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
เหล่าภิกษุจึงทูลพระพุทธเจ้าให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าเรียกพระฉันนะมาสอบถาม พระฉันนะก็รับว่าเป็นจริงตามนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงบริภาษพระฉันนะว่า
ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธออันภิกษุ ทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ถูกทางธรรม จึงได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้ ดูกรโมฆบุรุษ การ กระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงโทษของการเป็นคนว่านอนสอนยาก และประโยชน์ของการเป็นคนว่านอนสอนง่ายแก่ภิกษุทั้งหลายได้รับฟัง
เมื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่พระรูปอื่น พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติสิกขาบทข้อใหม่ว่า ถ้าภิกษุรูปใดเป็นคนว่ายาก ถ้าคณะสงฆ์ตักเตือนสามครั้งแล้วยังไม่ยอมรับ ภิกษุรูปนั้นจะต้องอาบัติสังฆาทิเสส
พระฉันนะจึงกลายเป็นผู้ให้กำหนดหนึ่งในอาบัติสังฆาทิเสสเช่นเดียวกับพระอุทายีไปโดยปริยาย ถึงแม้รายหลังจะเหมาไปเยอะกว่าก็ตาม
พระฉันนะโดนลงโทษ
ถึงแม้จะโดนพระพุทธเจ้าบริภาษและตักเตือนแล้ว พระฉันนะก็ยังคงไม่เลิกนิสัยเดิม เมื่อพระฉันนะอายุมากขึ้น นิสัยของเขากลับย่ำแย่ลงด้วยซ้ำไป ทำให้คณะสงฆ์เอือมระอาอย่างมาก
เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระฉันนะที่มีอายุ 80 พรรษาก็ยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าก่อนจะปรินิพพานที่กุสินาราว่าจะทำอย่างไรกับพระฉันนะต่อไป เพราะถ้าสิ้นพระพุทธเจ้าแล้ว พระฉันนะย่อมไม่หวั่นเกรงใคร และอาจจะก่อเรื่องขึ้นก็ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์กับพระฉันนะ เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระอานนท์ก็ไม่เข้าใจว่าพรหมทัณฑ์คืออะไร พระพุทธเจ้าจึงอธิบายว่า
การลงพรหมทัณฑ์คือการที่
ภิกษุฉันนะพึงพูดตามปรารถนา ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงสั่งสอน ไม่ พึงพร่ำสอนภิกษุฉันนะ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
สรุปแล้วก็คือให้ภิกษุไม่ต้องไปยุ่งกับพระฉันนะถ้าไม่จำเป็น พระฉันนะอยากทำอะไรก็ให้ทำไป
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์เรียนเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงบอกให้ลงพรหมทัณฑ์แก่เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายทราบ เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลายต่างอนุมัติให้ลงพรหมทัณฑ์กับพระฉันนะตามรับสั่งของพระพุทธเจ้า พระอานนท์และสงฆ์ 500 รูปจึงเดินทางไปหาพระฉันนะที่เมืองโกสัมพีทันที
พระอานนท์เรียกพระฉันนะให้เข้ามาในหมู่ภิกษุสงฆ์ และประกาศต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ว่า คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ต่อพระฉันนะแล้ว
พระฉันนะที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับตกตะลึง เขาอุทานขึ้นมาว่า
ท่านพระอานนท์ ด้วยเหตุเพียงที่ภิกษุทั้งหลายไม่ว่ากล่าว ไม่ตักเตือน ไม่พร่ำสอนข้าพเจ้านี้ เป็นอันสงฆ์กำจัดข้าพเจ้าแล้วมิใช่หรือ แล้วสลบล้มลง ณ ที่นั้นเอง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
พระฉันนะบรรลุอรหันต์
การลงพรหมทัณฑ์ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อจิตใจของพระฉันนะ ทำให้เขาไม่สะดวกใจที่อยู่ในหมู่ภิกษุสงฆ์ต่อไป เพราะไม่มีผู้ใดยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย พระฉันนะจึงปลีกตัวไปอยู่ที่อื่น
เมื่อออกมาอยู่คนเดียวแล้ว พระฉันนะก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ภายในไม่นานพระฉันนะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และเข้าถึงความเป็นผู้ไม่เกิดอีก
หลังจากนั้นพระฉันนะที่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วได้เดินเข้าไปหาพระอานนท์เพื่อขอให้พระอานนท์ระงับพรหมทัณฑ์แก่ตน พระอานนท์จึงกล่าวว่าเมื่อพระฉันนะเป็นพระอรหันต์แล้ว การลงพรหมทัณฑ์ของพระฉันนะก็จบสิ้นไปแล้ว
ด้วยความที่พระฉันนะน่าจะมีอายุมากแล้ว พระฉันนะน่าจะนิพพานหลังจากนั้นไม่นาน