ในตอนที่แล้ว สตาลินในวัย 38-39 ปี มีท่าทีสนใจในตัวนาดยา บุตรสาววัย 16 ปีของเซอร์เกย์ อัลลิลูเยฟ (Sergei Alliluyev) เพื่อนนักปฏิวัติที่ให้การสนับสนุนเขามาโดยตลอด
ความสัมพันธ์ต่างวัยของทั้งสองจะเป็นไปต่อไปอย่างไร มาดูกันครับ
สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก ตอนที่ 1 ตามลิงค์ไปได้เลยครับ
จากเด็กนักเรียนสู่เลขานุการ
ถึงแม้เขาจะเริ่มสนใจนาดยาอยู่บ้าง แต่ความสนใจหลักของสตาลินยังอยู่ที่การเมืองอยู่ดี สตาลินร่วมกับพวกบอลเชวิคภายใต้การนำของวลาดิเมียร์ เลนิน ยึดอำนาจจากรัฐบาลชั่วคราวที่ตั้งขึ้นหลังจากการสละราชสมบัติของซาร์นิโคลัสที่ 2
การยึดอำนาจประสบความสำเร็จด้วยดี พวกบอลเชวิคครอบครองอำนาจรัฐ และเริ่มทำตามทุกอย่างที่ใจปรารถนา
เหตุการณ์นี้มีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์รัสเซียว่า การปฏิวัติตุลาคม (October Revolution)
แต่เรื่องไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่อทหารและประชาชนที่ยังจงรักภักดีกับระบอบซาร์ และรัฐบาลชั่วคราวยังมีอยู่มาก นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่เลนินย้ายเมืองหลวงของรัสเซียไปอยู่ที่ มอสโก
สตาลินเองก็ติดสอยห้อยตามเลนินไปด้วยในฐานะสมาชิกพรรคบอลเชวิคคนสำคัญคนหนึ่ง ช่วงเวลาที่มามอสโกใหม่ๆ สตาลินขัดแย้งกับสมาชิกพรรคบอลเชวิคคนอื่นหลายคน ทำให้ตัวเขาต้องแอบหลบมาอาศัยกับตระกูลอัลลิลูเยฟบ่อยครั้งขึ้น
ช่วงเวลานี้เองที่สตาลินได้ขอให้นาดยามาเป็นเลขาของตน นาดยาตอบรับด้วยความยินดี อนึ่งเธอเบื่อโรงเรียนของเธอเพราะว่าเธอมักจะถูกเพื่อนกลั่นแกล้งอยู่เสมอ เพราะว่าครอบครัวของเธอสนับสนุนพวกนักปฏิวัติสังคมนิยม
เซอร์เกย์และโอลกา บิดาและมารดาของนาดยาก็ไม่ได้คัดค้าน ด้วยเหตุนี้ในปี ค.ศ.1918 นาดยาในวัย 17 ปี จึงมาเป็นเลขาของสตาลิน หรือ ลูกจ้างของรัฐบาลโซเวียตอย่างเป็นทางการ ทั้งๆ ที่ 1 ปีที่แล้วเธอเป็นเพียงเด็กมัธยมเท่านั้นเอง
เป็นสามีภรรยา
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1918 สตาลินได้รับหน้าที่สำคัญ เขาถูกสั่งให้เดินทางไปยังทางตอนใต้ของรัสเซียเพื่อไปเก็บรวบรวมเสบียงอาหาร นาดยาในฐานะเลขาของสตาลินจึงได้ติดตามไปด้วย
ช่วงเวลานี้เชื่อกันว่า สตาลินและนาดยาได้อยู่ด้วยกันในฐานะสามีภรรยาแล้ว แต่ไม่ได้จัดพิธีแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ เพราะพวกบอลเชวิคถือว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของพวกชนชั้นกระฎุมพี (Bourgeois) อันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเอาเป็นแบบอย่าง
เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่า ทำไมสตาลินและนาดยาถึงสนใจกันและกันได้ โดยเฉพาะสตาลินที่เจ้าชู้และคบสาวๆ มากหน้าหลายตา
โรเบิร์ต เซอร์วิส ผู้เรียบเรียงประวัติของสตาลินวิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า สตาลินอาจจะต้องการครอบครัวที่เขาสามารถไว้ใจและสนับสนุนตนเองได้ สำหรับนาดยาแล้ว ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนสวย แต่เธอก็มีรูปร่างดี ที่สำคัญกว่าคือเธออายุน้อยกว่าเขามาก นาดยาเองก็ชื่นชอบสตาลินอย่างจริงจัง และไม่ได้เป็นผู้หญิงที่มีความทะเยอทะยาน สตาลินเชื่อว่าเขาน่าจะ “ควบคุม” เธอให้อยู่ในโอวาทของเขาได้
การแต่งงานกับนาดยาจึงไม่ใช่มอบภรรยาให้กับสตาลินเท่านั้น แต่ยังมอบครอบครัวที่มั่นคงและพึ่งพาได้กับสตาลินอีกด้วย นั่นเป็นสิ่งที่สตาลินไม่เคยมีเลย
ส่วนนาดยานั้น ไม่แปลกเลยที่เธอจะสนใจสตาลิน เธอค่อนข้างจะปลี้มๆ สตาลินอยู่บ้างแล้ว นาดยาเองก็ต้องการที่พึ่งพิงเพราะครอบครัวของเธอเองก็ถูกข่มขู่จากกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกันอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเธอเชื่อว่าสตาลิน ผู้เป็นสมาชิกระดับสูงของพรรคบอลเชวิคย่อมปกป้องเธอได้อย่างแน่นอน
เรื่องอายุไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับนาดยา เพราะถึงแม้สตาลินจะอายุ 40 แล้ว แต่ตัวเขาก็ยังดูหนุ่มแน่น และมีอนาคตไกลอีกด้วย
หากแต่ว่ายังมีสิ่งที่ทั้งสองไม่ทราบในตัวของกันและกันมาก่อน
สำหรับสตาลินแล้ว เขาไม่ทราบถึงอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างมากของนาดยา
สำหรับนาดยาแล้ว เธอไม่ทราบถึงอีโก้และอารมณ์อันรุนแรงของสตาลิน
ด้วยความที่ทั้งสองมีอารมณ์รุนแรงทั้งคู่ ไม่ต้องสงสัยว่าชีวิตสามีภรรยาจะเป็นอย่างไร
เดือดแน่นอน!
ความสัมพันธ์เริ่มเดือด
ในช่วงแรกชีวิตคู่ของทั้งสองก็เป็นไปด้วยดีอยู่ แต่เริ่มเดือดขึ้น หลังจากที่ทั้งสองกลับมาจากตอนใต้ของรัสเซีย
สตาลินคาดหวังให้ภรรยาของเขาเป็นแม่บ้านดูแลบ้าน แต่นาดยากลับต้องการออกไปทำงานนอกบ้านเช่นเดียวกับสามี ตามแบบผู้หญิงบอลเชวิคที่เป็นตัวของตัวเอง
นาดยาเคยมีโอกาสได้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการสื่อสารในช่วงที่เดินทางไปกับสตาลิน ปรากฏว่าเธอทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เธอจึงได้ศึกษาต่อในเรื่องการถอดรหัสโทรเลข ทำให้เธอสามารถถอดรหัสโทรเลขทุกชนิดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งรวมไปถึงโทรเลขลับที่พวกสมาชิกพรรคบอลเชวิคระดับสูงใช้ส่งหากันด้วย
เลนินเห็นในความสามารถของเธอ เลนินจึงมอบหมายให้เธอเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ส่วนตัวของเขา ช่วงเวลานี้สตาลินออกไปทำหน้าที่ในสมรภูมิ (ค.ศ.1920) ทำให้สตาลินไม่ได้อยู่ห้ามเธอออกไปทำงาน
นาดยาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนตัวของเลนินต่อไป ทำให้เธอสนิทสนมกับครุฟสกายา ภรรยาของเลนินมาก
พอสตาลินกลับมามอสโกเท่านั้นแหละก็เกิดเรื่อง
สตาลินต้องการชีวิตส่วนตัวอยู่กับนาดยา โดยเฉพาะเมื่อเธอตั้งท้องลูกของเขาในปลายปีนั้น เขาต้องการให้เธออยู่บ้านเพื่อคอยดูแลเขาบ้าง เนื่องจากสตาลินมีอาการป่วยบ่อยครั้งหลังจากกลับมาจากสมรภูมิ แต่นาดยาไม่ฟัง เธอกระเตงลูกในท้องออกไปทำงานตามปกติ
ปี ค.ศ.1921 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับทั้งสตาลินและนาดยา ในช่วงต้นปีสตาลินได้รับการผ่าตัดไส้ติ่งและต้องพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลานาน ส่วนนาดยาคลอดบุตรชายชื่อ วาซิลีในเดือนมีนาคม
สตาลินต้องการให้นาดยาเลิกทำงานและใช้เวลาดูแลตัวเอง ดูแลเขา และดูแลลูก เขาจึงพยายามกดดันนาดยาอย่างหนักว่าให้อยู่บ้าน แต่นาดยาไม่ยอม เพราะตัวเธอได้กลายเป็นนักปฏิวัติเต็มตัวแล้ว เธอต้องการมีส่วนในการพัฒนาสหภาพโซเวียต
ทั้งสองจึงเริ่มขัดแย้งกัน สุดท้ายแล้วนาดยาจึงแก้ปัญหาด้วยการจ้างคนรับใช้หลายคน และหาแม่นมให้กับวาซิลี บุตรชายของเธอ ส่วนตัวเธอมีหน้าที่แค่เขียนจดหมายไปขออาหารจากเจ้าหน้าที่ปันส่วนอาหาร ซึ่งเป็นเพื่อนของสตาลินเท่านั้น
หากแต่ว่าสตาลินยังคงยืนกรานให้เธอจัดการทุกอย่างในบ้านอยู่ดี นั่นแปลว่าเธอต้องทำหน้าที่ทั้งสองอย่าง นั่นก็คือดูแลทุกอย่างในบ้าน และทำงานนอกบ้านให้กับรัฐบาลโซเวียต นาดยาจึงต้องรับหน้าที่หนักมาก แต่เธอไม่ได้รับการเหลียวแลจากสตาลินเลย เพราะตัวเขากำลังหมกมุ่นกับการสร้างฐานอำนาจเพื่อสืบทอดตำแหน่งของเลนินเช่นเดียวกัน
สตาลินมักจะกลับบ้านในเวลาดึกมาก เมื่อกลับมาถึง เขามักจะโต้เถียงกับนาดยาอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุสำคัญคือทั้งสองเหนื่อยและเครียดจากการทำงาน แน่นอนว่าย่อมทำให้อารมณ์ขุ่นมัว
สำหรับสตาลินแล้ว เขาไม่ชอบโดนแย้ง ดังนั้นเมื่อเขาเถียงกับภรรยา สตาลินมักจะอารมณ์ขึ้นและใช้ถ้อยคำหยาบคายทุกคำที่เขาคิดมาได้กับภรรยาของเขา คำด่าที่เบาที่สุดที่เขาใช้คือ “ไปลงนรกไป!”
ความสัมพันธ์ระหว่างสตาลินกับนาดยาจึงเริ่มจะเลวร้ายลง โดยเฉพาะในใจของสตาลิน ผู้ที่ต้องการให้ภรรยาอยู่ในอำนาจและปฏิบัติตามคำสั่งของเขาทุกประการ
ชีวิตคู่ของเขาและเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ