ประวัติศาสตร์ชีวิตรักและสเป๊กสาวของสตาลิน ตอนจบ: วาระสุดท้ายของนาดยา

ชีวิตรักและสเป๊กสาวของสตาลิน ตอนจบ: วาระสุดท้ายของนาดยา

ตอนที่ 1 อยู่ที่นี่

ในตอนที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสตาลินกับนาดยาเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว หลังจากแต่งงานแล้ว สตาลินพบว่านาดยาไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เขาต้องการ เธอเป็นนักปฏิวัติเต็มตัวและไม่ต้องการอยู่กับบ้านเพื่อทำงานบ้านและปรนนิบัติสามี นอกจากนี้เธอยังไม่ใช่ผู้หญิงที่เชื่อฟังสามีทุกกระเบียดนิ้วด้วย เธอโต้แย้งกับสตาลินตลอดเวลาที่เธอไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่นาดยาเองมีอาการทางจิตบางอย่าง ดังนั้นถึงแม้เธอจะรักสตาลินมาก แต่เธอก็มีอารมณ์ขึ้นลงอย่างรุนแรง ไม่ต่างอะไรกับตัวสตาลินเอง

Stalin
สตาลิน

ตัดออกจากพรรค

ในปลายปี ค.ศ.1921 นาดยาถูกตัดออกจากการคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิกพรรคบอลเชวิค ทางพรรคอ้างว่านาดยาไม่ผ่านการทดสอบบางอย่างสำหรับสมาชิกพรรค และไม่ได้เตรียมการสอบให้ดีพอ เธอเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรพรรคมากเท่าใดนัก

ถึงแม้เลนินจะสนับสนุนเธอ แต่สมาชิกคนอื่นกลับมีท่าทีแปลกๆ และแทบทุกคนไม่มีใครสนับสนุนเธอเลย

นาดยาพยายามอย่างยิ่งยวด เธอขอให้ทางพรรคให้โอกาสเธออีกครั้ง เธอจะพยายามให้ดีกว่าเดิม แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล

เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพรรคบอลเชวิค แต่ได้รับอนุญาตให้ทำงานให้พรรคบอลเชวิคและรัฐบาลโซเวียตต่อไปได้ นาดยาจึงกลับไปทำงานให้เลนินตามเดิม โดยที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแต่อย่างใด

มีผู้เสนอทฤษฎีว่า ตัวสตาลินเองนั่นแหละที่ไปบลัฟบรรดาสมาชิกระดับสูงไม่ให้รับนาดยา แต่นักประวัติศาสตร์ไม่มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้น นาดยาเองก็ไม่เคยว่ากล่าวว่าเป็นเพราะสตาลินที่ทำให้เธอล้มเหลวในการเป็นสมาชิกพรรค

เรื่องของยาคอฟ

อีกอย่างหนึ่งที่สตาลินและนาดยาต้องเผชิญคือ การมาอาศัยอยู่ด้วยของยาคอฟ (Yakov) บุตรชายของสตาลินที่เกิดกับคาโต ภรรยาคนแรกของเขา ยาคอฟถูกเลี้ยงดูตั้งแต่เกิดโดยครอบครัวฝั่งมารดา สตาลินในฐานะพ่อไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงดูเขาเลย

ยาคอฟได้เดินทางมาอาศัยอยู่กับสตาลินในปี ค.ศ.1921 เพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นเขามีอายุได้เพียง 14 ปี หน้าที่ในการดูแลเขาจึงตกเป็นของนาดยา มารดาเลี้ยงที่มีอายุมากกว่าตัวเขาเองเพียง 6 ปี นาดยาจึงดูเหมือนเป็นพี่สาวของเขามากกว่าแม่เลี้ยง

Yakov
ยาคอฟ

นาดยาไม่สามารถเข้ากับยาคอฟได้ อนึ่งเพราะนาดยาเป็นคนที่เข้มงวดมากกับลูกๆ (รวมไปถึงลูกของเธอเองด้วย) ยาคอฟจึงไม่ชอบเธอสักเท่าใดนัก นาดยาเล่าว่ายาคอฟไม่เคยฟังเธอเลย ถ้าเขาไม่เรียนหนังสือ เขาก็จะสูบบุหรี่และนั่งเล่น เช่นเดียวกับวาซิลี น้องชายต่างมารดาของเขา

สำหรับสตาลินแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถเข้ากับยาคอฟได้เช่นเดียวกัน หน้าที่การงานของสตาลินที่ต้องไปๆ มาๆ ทำให้เขาไม่เคยได้ใกล้ชิดลูกชายคนนี้ของเขาเลย ความสัมพันธ์ทั้งสองเลวร้ายลงไปอีก เมื่อยาคอฟตัดสินใจหมั้นหมายกับสาวชาวยิวคนหนึ่ง สตาลินโกรธจัดถึงขนาดไล่คู่หมั้นของยาคอฟออกจากบ้านเลยทีเดียว

ในคืนวันเดียวกัน ยาคอฟรู้สึกเสียใจมาก เขาจึงใช้ปืนยิงตัวตาย โดยเล็งไปที่หัวใจของตัวเอง แต่เขากลับยิงพลาดไปโดนปอด ทำให้ไม่ตาย นาดยารีบเรียกแพทย์มาทันที และพยายามปฐมพยาบาลให้ยาคอฟ ส่วนสตาลินน่ะหรือ

เขาพูดขึ้นว่า

แค่นี้เขายังยิงไม่โดนเลย!

ยี่สิบปีต่อมา ยาคอฟได้เข้าร่วมกองทัพแดงและเป็นนายทหารคนหนึ่งในกองพลทหารปืนใหญ่ เมื่อเยอรมนีบุกโซเวียต ยาคอฟถูกจับกุมในช่วงต้นของยุทธการบาร์บารอสซา พวกเยอรมันเก็บยาคอฟเอาไว้จนกระทั่งในปี ค.ศ.1943 แล้วจึงเสนอให้แลกตัวยาคอฟกับจอมพลพอลลุส (Paulus) แม่ทัพเยอรมันที่สตาลินกราด แต่สตาลินปฏิเสธ เขากล่าวว่า

ฉันไม่มีวันแลกจอมพลกับร้อยเอกหรอก!

ยาคอฟสิ้นชีวิตที่จะปฏิบัติตามคำสั่งระหว่างที่อยู่ในค่ายกักกัน เขาจึงถูกยิงตายในที่สุด

เหินห่าง

ถึงแม้ทั้งสองจะเขียนจดหมายหากันอย่างหวานชื่น เวลาที่อยู่ไกลกัน แต่ความสัมพันธ์ของนาดยาและสตาลินก็เลวร้ายลงทุกที ความที่นาดยาไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างที่เขาต้องการ ทำให้สตาลินเริ่มกลับไปมีนิสัยเดิมๆ

นั่นก็คือเจ้าชู้ประตูดิน

สตาลินเริ่มจีบๆ แบบทีเล่นทีจริงต่อสาวสวยในพรรคคนหนึ่งชื่อ ทามารา คาซาโนวา (Tamara Khazanova) เรื่องนี้ทราบไปถึงนาดยา ทำให้อาการทางจิตของเธอย่ำแย่ลง เธอเริ่มมีอาการของโรคซึมเศร้า และรู้สึกเหงามาก

นาดยาพยายามจะลืมๆเรื่องนี้ไปด้วยการไปเรียนต่อในโรงเรียนอุตสาหกรรม เธอเองไม่เคยประกาศต่อผู้ใดว่าเธอเป็นภรรยาของสตาลิน ผู้ที่ในเวลานั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของสหภาพโซเวียตแล้ว นาดยาใช้ชีวิตเหมือนกับนักเรียนทั่วไปโดยปราศจากผู้ติดตามและสิทธิพิเศษใดๆ

เธอได้คลอดลูกสาวคนที่สองชื่อ สเวตลานาให้สตาลินในปี ค.ศ.1926 แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอก็ไม่ฟื้นคืน ชีวิตคู่ของสตาลินและนาดยาเต็มไปด้วยความกดดัน สตาลินมักจะใช้อารมณ์ร้อนเสมอๆ เมื่ออยู่บ้าน ส่วนนาดยาเองก็กลัวแต่ว่าสามีจะมีเมียน้อย ทำให้เธอเป็นกังวลมาก เธอไม่ทราบเลยว่า สตาลินก็จีบสาวๆ ไปเช่นนั้นเอง สมองของสตาลินไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากอำนาจและการเมืองในช่วงนั้น

Nadya
นาดยา

นานวันเข้า สตาลินก็กลับบ้านน้อยลง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานในออฟฟิศของเขาที่เครมลิน และปล่อยให้นาดยาอยู่บ้านตัวคนเดียว ถ้าเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาทั่วไป สตาลินและนาดยาก็จวนจะหย่าขาดจากกันอยู่แล้ว

วาระสุดท้ายของนาดยา

นิสัยขี้จ้อแจ้และจีบสาวไปทั่วของสตาลินสร้างปัญหาให้กับจิตใจกับนาดยามากขึ้นในช่วงหลังปี ค.ศ.1929 จริงอยู่ว่าสตาลินจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสาวใด แต่นาดยาไม่เชื่อเขาเท่าไรนัก เธอมักตอบสนองด้วยอารมณ์หึงหวงตลอดเวลา สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของนาดยาอยู่แล้วจึงยิ่งตกต่ำลงไปทุกวัน

นักประวัติศาสตร์ได้วิเคราะห์ว่า นาดยาน่าจะมีอาการของโรคทางจิตแบบ Schizophrenia หรือ Bipolar อย่างใดสักอย่างหนึ่ง อาการของนาดยาคือ บางครั้งเธอจะโมโหโกรธาอย่างรุนแรง ส่วนบางวันก็จะนิ่งเงียบดูเศร้าสร้อย

นาดยาเองเคยคิดว่าจะหย่าขาดจากสตาลิน แต่เธอกลับเปลี่ยนใจ สาเหตุสำคัญคือเธอยังรักสตาลินมากนั่นเอง

การที่เธอเป็นเช่นนี้ทำให้สตาลินยิ่งเหินห่างเธอมากกว่าเดิม เพราะเขาไม่รู้ว่านาดยาจะมีอารมณ์ไหนเมื่อเขากลับไปบ้าน ดังนั้นทางเลือกที่ง่ายกว่าคือ ไม่ต้องกลับบ้านเสียเลย

ถึงแม้สตาลินจะมีท่าทีเหินห่าง แต่ลึกๆ แล้ว เขาน่าจะยังห่วงใยนาดยา สตาลินถามไถ่เรื่องสุขภาพจิตของนาดยาจากแพทย์ และถึงกับอนุมัติให้เธอเดินทางไปรักษายังต่างประเทศ

แต่ทว่าการไปรักษายังต่างประเทศกลับไม่ได้ช่วยอะไรนาดยามากนัก อาการของเธอมักจะดำดิ่งทุกครั้งที่เห็นสตาลินอยู่ในงานเลี้ยงกับสาวๆ ดังนั้นนอกจากสตาลินจะไม่ช่วยอะไรเธอแล้ว เขายังทำร้ายเธอทางอ้อมเสียอีก

ในปี ค.ศ.1932 จุดแตกหักของสตาลินและนาดยาก็มาถึง

วันที่ 8 พฤศจิกายน เป็นงานเลี้ยงฉลองเพื่อระลึกถึงการปฏิวัติตุลาคม นาดยาพยายามแต่งตัวสวยที่สุดเท่าที่จะไปได้เพื่อที่จะไปงาน หากแต่ว่าสิ่งที่เธอเจอในงานคือ สตาลินกำลังพูดคุยแบบจีบๆ กับภรรยาของอเล็กซานเดอร์ เยโกรอฟอยู่

นาดยารู้สึกโกรธจัด ด้วยความหึงหวง เธอเดินออกจากงานไปทันที เธอพุ่งตรงไปที่แฟลตของครอบครัว โดยไม่สนใจเพื่อนของเธอที่พยายามปลอบประโลมให้เธออารมณ์เย็นลง

ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ นาดยารู้ว่าเธอมีปืนอยู่กระบอกหนึ่งที่พี่ชายของเธอเคยให้เธอเป็นของขวัญเมื่อหลายปีก่อน

เธอหยิบปืนดังกล่าวออกมาและยิงตัวเองเข้าที่หัวใจ นาดยาเสียชีวิตทันที เธออายุได้เพียง 32 ปีเท่านั้น

ร่างของนาดยาถูกพบในอีกแปดชั่วโมงต่อมา เธอได้รับการจัดงานศพอย่างสมเกียรติ

Nadya's grave
หลุมฝังศพของนาดยา Cr: Сергей Семёнов

ภายหลัง

การจากไปอย่างกะทันหันของนาดยาสร้างความโศกเศร้าให้กับสตาลิน เขายอมรับกับโมโลตอฟ คนสนิทของเขาว่า เขาเป็นสามีที่แย่ และ “เขาไม่เคยพาเธอไปดูภาพยนตร์เลย” ดังนั้นดูเหมือนว่าสตาลินก็รู้ว่าตัวเขาเองไม่ได้ดูแลภรรยาดีเท่าใดนัก

ถึงแม้นาดยาจะจากไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้นิสัยของเจ้าชู้ของสตาลินสิ้นสุดลง สตาลินยังคงจีบสาวๆ ต่อไปเรื่อย และมีข่าวว่ามีความสัมพันธ์กับสาวคนโน้นคนนี้อีกหลายคน แต่สตาลินไม่เคยใช้ชีวิตเป็นสามีภรรยากับใครอย่างเป็นทางการอีกเลย ชีวิตรักของสตาลินจึงจบลงเมื่อนาดยาจากไป

วาซิลี บุตรชายของสตาลินและนาดยาเสียชีวิตในปี ค.ศ.1962 ด้วยอาการติดเหล้า ส่วนสเวตลานา น้องสาวของเขาได้อพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1967 สเวตลานาได้ใช้นามสกุลอัลลิลูเยฟวาของนาดยา แม่ของเธอ จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปลายปี ค.ศ.2011 สเวตลานามีอายุได้ 85 ปี

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!