รัชสมัยของอีวานผู้เลวร้าย (Ivan The Terrible) เป็นช่วงที่ชาวรัสเซียต้องทนทุกข์ อีวานได้ตั้งหน่วยที่เรียกว่า Oprichnina ขึ้นมา และใช้หน่วยนี้สังหารผู้คนที่คิดว่าเป็นศัตรูของเขาอย่างเหี้ยมโหด โดยเฉพาะเหล่าชนชั้นสูงอย่างพวกโบยาร์
ในยามที่ทุกคนต่างเกรงกลัวและสิ้นหวัง ได้มีชายผู้หนึ่ง ผู้มีความกล้าหาญเต็มเปี่ยมได้เข้ามาขัดขวางไม่ให้อีวานทำร้านชาวรัสเซียอีกต่อไป
เขาคือ ฟยอดอร์ สเตฟาโนวิช คาลูเชฟ หรือ ฟิลิปที่ 2 แห่งมอสโก (Филипп II)
บาทหลวงฟิลิป
คาลูเชฟเป็นในหนึ่งในพวกโบยาร์ ทำให้เขาได้รับการศึกษามาอย่างดี คาลูเชฟได้ร่ำเรียนการต่อสู้เช่นเดียวกับเรียนศาสนาด้วย แต่คาลูเชฟสนใจอย่างหลังมากกว่า เขาใช้เวลาไปกับการศึกษาและสวดมนต์ต่อพระเจ้าเป็นประจำ
หลังจากที่วาซิลีที่ 3 บิดาของอีวานผู้เลวร้ายสวรรคต แผ่นดินรัสเซียอยู่ในการปกครองของเอเลนา กลินสกายา มารดาของอีวานผู้เลวร้าย ในช่วงนั้นเองการแย่งชิงอำนาจได้เกิดขึ้น ครอบครัวของคาลูเชฟได้เข้าข้างเจ้าชายอันเดรย์ อีวาโนวิชในการต่อสู้กับเอเลนา แต่ปรากฏว่าพ่ายแพ้ ทำให้ครอบครัวคาลูเชฟต้องตกระกำลำบาก
คาลูเชฟเองก็ต้องลี้ภัยออกจากมอสโกเพื่อหลบหลีกราชภัยแม้ว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
คาลูเชฟเดินทางขึ้นเหนือสู่ดินแดนอันหนาวเหน็บ เขาเดินทางมาถึงมหาวิหาร Solovetsky (มหาวิหารที่พวกโซเวียตใช้เป็นคุกในเวลาต่อมา) ณ ที่นี่เองที่คาลูเชฟได้เข้าหาศาสนาอย่างจริงจัง
เขาได้รับตำแหน่งเป็นบาทหลวงฝึกหัด (Послушник, Poclushnik) คาลูเชฟได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอย่างดี หนึ่งปีต่อมาเขาก็ได้รับการทำพิธีเพื่อเป็นบาทหลวงเต็มตัว โดยเลือกชื่อว่า “ฟิลิป”
แปดปีต่อมา ฟิลิปใช้ชีวิตอยู่ที่มหาวิหารอันห่างไกลแห่งนี้ในฐานะบาทหลวง เขารักษาวัตรปฏิบัติได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาส (Abbot) ของมหาวิหาร Solovetsky ในที่สุด
ในฐานะเจ้าอาวาสคนใหม่ ฟิลิปบริหารศาสนจักรให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และจัดพื้นที่ศาสนาอย่างโบสถ์ วิหาร สุสานให้เป็นหมวดหมู่
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับมหาวิหาร Solovetsky ด้วย อาทิเช่นฟิลิปได้ปรับปรุงคูคลองเพื่อเชื่อมทะเลสาบทั้งหลาย การชลประทานจะได้สะดวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างโรงสีและโรงพยาบาลให้กับชาวบ้านอีกด้วย
ชาวบ้านจึงย้ายมาอยู่ใกล้กับมหาวิหารที่ฟิลิปดูแลอยู่มากขึ้น เพราะบริเวณนั้นร่มเย็นเป็นสุขปราศจากภยันตรายภายนอก
สังฆราชาแห่งมอสโก
อีวานผู้เลวร้ายเคยได้ยินชื่อเสียงของฟิลิปมานานแล้วในฐานะที่ฟิลิปเป็นบาทหลวงนักพัฒนาและประพฤติดี ในเวลานั้นตำแหน่งสังฆราชาแห่งมอสโกและรัสเซียทั้งมวล (Metropolitan of Moscow and all Russia) ว่างลง ทำให้อีวานปรารถนาจะให้ฟิลิปขึ้นดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อไป
ฟิลิปถูกเรียกตัวมาหาอีวาน ซาร์แห่งรัสเซียได้แจ้งว่าเขาปรารถนาให้ฟิลิปดำรงตำแหน่งอันสูงศักดิ์ที่สุดในแผ่นดินนี้ แต่ฟิลิปกลับปฏิเสธ เขากล่าวว่า
องค์ซาร์มิควรขนส่งสัมภาระอันยิ่งใหญ่ไปกับเรือลำน้อย
และขออนุญาตให้ตนเองกลับมหาวิหารที่ตนจากมาด้วย
อีวานกลับยืนกรานว่าไม่มีคนอื่นที่จะเหมาะกับตำแหน่งนี้เท่ากับฟิลิป ฟิลิปจึงต่อรองว่าเขายินดีจะรับตำแหน่ง แต่อีวานต้องล้มเลิกหน่วย Oprichnina ไปอย่างถาวร ฟิลิปกล่าวว่า
ฉันยินดีที่จะปฏิบัติตามคำปรารถนาของท่าน แต่ท่านต้องอะไรให้ฉันอย่างหนึ่งก่อน พวกอปริชนินาต้องไม่มีอีกต่อไป ฉันไม่สามารถประสาทพรให้กับท่านได้ เพราะเห็นว่าอาณาจักรกำลังอยู่ในความเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน
คำกล่าวและความต้องการของฟิลิปทำให้อีวานโกรธมาก อีวานไม่ต้องการจะเสียมารยาทกับบาทหลวงจึงพยายามคุมอารมณ์ของตนเองเต็มที่ และบอกฟิลิปว่า หน่วย Oprichnina ตั้งขึ้นเพราะพวกทรยศที่ต้องการจะกลืนเขาลงไปมีมากเหลือเกิน เขาจำต้องคงหน่วยนี้ไว้
ฟิลิปพยายามอธิบายต่อไปว่า ถ้าหน่วยนี้ถูกล้มเลิก อีวานจะได้อยู่อย่างสงบสุขมากขึ้น อีวานที่ได้ฟังคำพูดของฟิลิปรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงสั่งให้ฟิลิปหยุดพูด
เมื่อการตกลงล้มเหลว ข่าวที่ฟิลิปกล้างัดกับอีวานทำให้พวกโบยาร์และประชาชนที่ถูกไล่ล่าสังหารมีความหวังขึ้นมา ทุกคนต่างต้องการให้ฟิลิปเป็นสังฆราชาคนใหม่อย่างเต็มเปี่ยม
คนเหล่านี้จึงไปรบเร้าฟิลิปอย่างมากมาย ทำให้ฟิลิปไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เขาจึงจำต้องรับตำแหน่งเป็นสังฆราชาแห่งมอสโกคนใหม่ในมหาวิหาร Dormition Cathedral (ที่เดียวกับที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ทำพิธีราชาภิเษก)
ในพิธีดังกล่าว ฟิลิปที่ได้รับตำแหน่งแล้วได้ให้โอวาทว่า
ผู้ปกครองควรปกครองอย่างเป็นธรรม ให้รางวัลแก่ผู้มีความดีความชอบ และปฏิบัติตนเหมือนบิดากับผู้ใต้ปกครอง
หลังจากนั้นเขายังกล่าวให้ผู้ปกครองอยู่ให้ห่างไกลจากพวกเสนาบดีขี้ประจบที่พยายามหาประโยชน์เข้าใส่ตัว ตลอดเวลาอีวานไม่ได้แสดงความโกรธออกมาแต่อย่างใด และนั่งฟังอยู่อย่างสงบ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่างให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ฟิลิปรับตำแหน่ง เขาตั้งมั่นว่าจะต้องปกป้องชาวรัสเซียจากการกดขี่ของอีวาน ฟิลิปรู้ตัวดีว่าเขาอาจจะต้องสละชีวิตของเขาเพื่อการนี้ แต่เขาไม่หวั่นไหวแต่ประการใด
ปกป้องชาวรัสเซีย
หลังจากที่ฟิลิปรับตำแหน่งแล้ว อีวานยังคงไม่หยุดความโหดร้ายที่เขามีต่อชาวรัสเซีย พวกชนชั้นสูงถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมเช่นเดียวกับข้าทาสบริวารของเขา พวก Oprichnina ใช้อำนาจตามอำเภอใจและกดขี่ประชาชนอย่างยกใหญ่ ทำให้ผู้ที่ถูกสังหารมีนับหมื่นคน
ฟิลิปพยายามจะรวบรวมเหล่าบิชอปเพื่อตักเตือนอีวานอย่างเป็นทางการ แต่ฟิลิปรวบรวมบิชอปที่กล้าหาญได้ไม่กี่คนเท่านั้น คนอื่นล้วนแต่กลัวอีวานกันทั้งนั้น บิชอปพีเมน (Pimen) บิชอปแห่งนอฟโกรอดถึงกับแอบไปแจ้งต่ออีวานว่าฟิลิปคิดคดทรยศต่ออีวาน
แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนเลย ฟิลิปตัดสินใจว่าเขาจะต้องตักเตือนอีวานอย่างเป็นทางการให้จงได้ เขาไม่อาจปล่อยให้ชาวรัสเซียต้องตายไปมากกว่านี้อีกแล้ว
และแล้วโอกาสของเขาก็มาถึง
วันที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1568 อีวานและคณะสวมใส่เครื่องแต่งกายสีดำสนิท (เครื่องแต่งกายของพวก Oprichnina) เข้ามาในมหาวิหาร Dormition เพื่อให้ฟิลิปประทานพรให้ตามธรรมเนียม แต่ฟิลิปกลับปฏิเสธที่จะประทานพรให้กับซาร์แห่งรัสเซีย!
ฟิลิปมองไปที่รูปเคารพของพระเยซู และไม่สนใจอีวานเลยแม้แต่น้อย พวกโบยาร์จึงเดินเข้ามาหาและบอกฟิลิปว่า
คุณพ่อผู้ศักดิ์สิทธิ์ องค์ซาร์มาถึงที่นี่แล้ว! โปรดประทานพรให้กับพระองค์เถิด!
ฟิลิปหันหน้ามาหาอีวานอย่างช้าๆ ต่อหน้าโบยาร์และนักบวชหลายร้อยคน ฟิลิปพูดขึ้นว่า
ฉันไม่เห็นซาร์ผู้ศรัทธาในคริสตจักรออโธดอกซ์ในเครื่องแต่งกายอันประหลาดเช่นนี้เลย และฉันไม่เห็นด้วยกับเขาในการกระทำของราชสำนัก ท่านได้เดินหน้าไปที่ใดกัน โอ้ ซาร์ ที่จะนำตัวท่านไปไกลเกินกว่าขีดจำกัดของการประสาทพร โปรดเกรงกลัวในคำตัดสินของพระเจ้า โอ้ ซาร์! พวกเรากำลังสังเวยสิ่งที่ปราศจากเลือดต่อพระเจ้า ในขณะที่เลือดของชาวคริสต์ผู้บริสุทธิ์กำลังไหลหลั่งภายนอกวิหารกระนั้นหรือ! ตั้งแต่วันที่ดวงอาทิตย์เจิดจรัสในสวรรค์ชั้นฟ้า ไม่มีใครเคยเห็นหรือได้ยินซาร์ผู้ยำเกรงพระเจ้าลงโทษพลเมืองของพระองค์รุนแรงเช่นนี้!
คำกล่าวนี้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนโดยนักบวชสองคน ซึ่งไม่แตกต่างกันมากนัก เราจึงเชื่อได้ว่าฟิลิปได้กล่าวเช่นนี้จริงๆ
ฟิลิปว่าต่อไปว่า
แม้ในอาณาจักรของพวกนอกศาสนา กฎหมายและความยุติธรรมก็ยังคงอยู่ และผู้คนยังอยู่ได้อย่างมีความสุข แต่ไม่ใช่ที่นี่! ที่นี่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนไม่ได้รับการปกป้อง ทั่วทุกแห่งมีแต่การปล้นสะดม ทั่วทุกแห่งมีแต่การสังหาร และทุกแห่งเกิดขึ้นในนามขององค์ซาร์! ท่านนั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่มีพระเจ้าผู้ตัดสินพวกเราทุกคนอยู่ ท่านจะยืนต่อหน้าพระองค์และแปดเปี้อนไปด้วยเลือดของผู้บริสุทธิ์และไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกเขาจากการทรมานได้อย่างใด! แม้แต่หินที่อยู่ใต้เท้าของท่านยังร่ำร้องที่จะแก้แค้น ฉันขอกล่าวทั้งหมดนี้ โอ้ซาร์ เพราะฉันเป็นเพียงคนเลี้ยงแพะแห่งจิตวิญญาณ และฉันเกรงกลัวเฉพาะพระเจ้าเท่านั้น
อีวานโกรธมาก เขากระแทกคทาของเขากับพื้น และตะโกนขึ้นว่า ฟิลิปกล้าดีอย่างไรที่จะขัดขวางเขาเช่นนี้ เขาควรที่จะเห็นด้วยกับสิ่งที่อีวานทำลงไป
ฟิลิปย้อนถามว่าความศรัทธาในพระเจ้าจะไปอยู่ที่ใด ถ้าเขาปล่อยให้การกระทำที่ละเมิดต่อคุณธรรมดำเนินต่อไปเช่นนี้
อีวานยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ เขาขู่ฟิลิปว่าจะดำเนินการต่างๆ นาๆ แต่ฟิลิปไม่ได้แสดงออกว่าเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ฟิลิปตอบว่าเขาก็เป็นเพียงนักบวชทั่วไปคนหนึ่ง เขาพร้อมแล้วที่จะเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมาน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อีวานจึงเดินออกไปจากมหาวิหารทันที
ถูกใส่ความ
ตั้งแต่นั้นมาอีวานพยายามหาเหตุกำจัดฟิลิป เขาส่งทหารไปจับกุมพวกนักบวชที่ใกล้ชิดฟิลิปมาสอบสวนและทรมานหลายคน เพื่อที่จะหาเหตุโจมตีฟิลิปให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล เพราะฟิลิปทำทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด
อีวานหาเหตุกำจัดฟิลิป ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
ในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ.1568 ฟิลิปกำลังทำพิธีทางศาสนาอยู่ที่อาราม Novodevichy ในกรุงมอสโก อีวานได้เดินทางมายังพิธีดังกล่าวด้วยพร้อมกับพวก Oprichnina
ระหว่างนั้นเองฟิลิปได้สังเกตเห็นว่าหนึ่งในพวก Oprichnina ได้ใส่หมวก Taqiyah หมวกที่ชาวมุสลิมทั่วไปชอบใส่เข้ามาในมหาวิหารด้วย ทั้งๆที่ตามกฎระเบียบห้ามใส่เครื่องแต่งกายใดๆ เข้ามาในมหาวิหารเด็ดขาด โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายของศาสนาอื่น
ฟิลิปจึงเรียนอีวานถึงเรื่องดังกล่าวทันที เมื่ออีวานหันไป ปรากฏว่าทุกคนในพวก Oprichnina ได้ถอดหมวกดังกล่าวออกหมดแล้ว อีวานจึงฉวยโอกาสด่าฟิลิปว่าโกหกหลอกลวงตน แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเชื่ออีวานเลย เพราะทุกคนยังศรัทธาและเคารพฟิลิปเหมือนเดิม
อีวานที่เสียท่าจึงยิ่งต้องการกำจัดฟิลิปออกจากตำแหน่งสังฆราชาให้จงได้
เสียตำแหน่ง
อีวานส่งคนไปที่มหาวิหาร Solovetsky เพื่อตรวจสอบดูว่าฟิลิปเคยทำความผิดอันใดหรือไม่ สิ่งที่อีวานได้คือ ฟิลิปประพฤติตนตามหลักศาสนามาตลอดทั้งชีวิต เขาไม่เคยประพฤติอะไรที่ไม่ดีเลยสักครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม Paissy เจ้าอาวาสของมหาวิหาร Solovetsky คนใหม่และลูกศิษย์ของฟิลิปเป็นคนทะเยอทะยาน และอยากจะเป็นคนโปรดของอีวานด้วย เจ้าอาวาสผู้นี้จึงยอมลงนามในรายชื่อความผิดของฟิลิปที่อีวานสั่งให้ปลอมขึ้นมา
อีวานจึงประกาศความผิดของฟิลิปต่อหน้าสาธารณชนและให้มีการสอบสวน ฟิลิปถูกนำตัวมายังสภาโบยาร์เพื่อเผชิญหน้ากับโจทก์ที่กล่าวหาเขา
Paissy อ่านความผิดอันยาวเหยียดของฟิลิปที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมา ฟิลิปรับฟังโดยไม่หวั่นไหว และไม่ได้ป้องกันตนเองแต่อย่างใด มีแต่เพียงเฮอร์แมน อาร์คบิชอปแห่งคาซานผู้เดียวที่ปกป้องฟิลิป
ฟิลิปมองไปยัง Paissy และกล่าวว่า
ความชั่วร้ายที่เจ้าได้หว่านเมล็ดลงไปจะไม่มอบผลิตผลที่เจ้าต้องการ
ฟิลิปกล่าวกับอีวานว่า
ซาร์และแกรนด์คเนียส ท่านอย่าได้คิดว่าฉันกลัวท่านหรือฉันกลัวความตาย ไม่ ฉันเป็นชายชราผู้ที่นำชีวิตอันปราศจากความผิดมาที่มหาวิหาร โดยปราศจากจิตใจที่คิดเป็นกบฏและความต้องการทางโลก และในความบริสุทธิ์นี้ฉันตัดสินใจสละดวงวิญญาณของฉันให้แก่พระเป็นเจ้า องค์เดียวกับพระเจ้าของท่าน ฉันจะเลือกที่จะตายโดยปราศจากความผิดเพื่อยืนยันในความศรัทธา ดีกว่าที่จะนั่งเงียบเป็นสังฆราชาและยอมจำนนต่อรัชสมัยอันเลวร้ายที่ปราศจากกฎหมาย! ท่านอยากจะทำอะไรกับฉันก็ทำ นี่เป็นคทาของฉัน นี่เป็นผ้าคลุมศีรษะของฉัน นี่เป็นเสื้อคลุมของฉันที่ท่านเคยสรรเสริญมัน!
ฟิลิปยังได้หันไปบอกกับบิชอปและเจ้าอาวาสมากมายที่ยืนอยู่ ณ ที่นั่นว่า พวกเขาอย่าได้ลืมที่จะกลัวซาร์แห่งสวรรค์ (พระเจ้า) ด้วย
หลังจากนั้นฟิลิปจึงถอดเสื้อคลุม และผ้าคลุมศีรษะออกมา และเดินออกไปจากที่นั่นทันที การกระทำเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาได้สละตำแหน่งแล้ว
แต่ทว่าอีวานกลับสั่งให้ฟิลิปกลับมา ใส่เครื่องแต่งกายของเขาตามเดิม และทำพิธีทางศาสนาในมหาวิหาร Dormition ต่อไป อีวานไม่ได้สำนึกอะไร เพียงแต่เขาต้องการเวลาอีกสักหน่อยเพื่อที่จะคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับฟิลิป
ไม่กี่วันต่อมา ระหว่างที่ฟิลิปกำลังทำพิธีทางศาสนาอยู่ในมหาวิหาร พวก Oprichnina ได้บุกเข้ามาและประกาศความผิดของฟิลิป พวกเขาได้ถอดมงกุฎของฟิลิป และถอดเครื่องแต่งกายของเขาออก พวกเขาสวมเครื่องแต่งกายของบาทหลวงทั่วไปให้กับฟิลิป และนำตัวฟิลิปออกไปจากมหาวิหารดังกล่าว
ผู้คนที่อยู่ที่มหาวิหารต่างตกตะลึง พวกเขาเดินเข้ามาหาฟิลิปเพื่อขอให้เขาประทานพรให้ ฟิลิปมีโอกาสได้พูดสั้นๆ แต่เพียงว่า
ลูกเอ๋ย ฉันได้ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้แล้ว แต่ความรักที่ฉันมีต่อทุกคนทำให้ฉันไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งสังฆราชาได้อีกต่อไป โปรดมีศรัทธาในความเมตตาของพระเจ้า ดูแลจิตวิญญาณให้ดีด้วยความอดทนนะ
พวก Oprichnina รีบนำฟิลิปเข้าไปในขังไว้ในคุกทันที หลังจากนั้นอีวานได้พวกบาทหลวงอย่างพีแมนและ Paissy หาข้อหาใหม่มาโจมตีฟิลิป พวกเขากล่าวหาฟิลิปว่าพยายามใช้เวทมนตร์!
ตลอดเวลาที่ฟิลิปถูกสอบสวนและทรมานนั้น ฟิลิปไม่เคยที่จะล้มเลิกความพยายามที่จะทำให้อีวานสำนึกให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล คนอย่างอีวานเลวร้ายเกินกว่าที่ฟิลิปจะทำให้สำนึกได้
วาระสุดท้าย
ฟิลิปถูกนำตัวไปขังไว้ในคุก และจำด้วยโซ่ตรวนอย่างแน่นหนา หลังจากนั้นก็นำไปขังไว้ในคุกมืด อีวานสั่งให้มอบน้ำและอาหารให้ฟิลิปน้อยลงทุกทีด้วย
แต่แล้วปาฏิหาริย์กลับเกิดขึ้น เมื่อมีเจ้าหน้าที่ของอีวานมาตรวจสอบ เจ้าหน้าที่หลายคนที่มากลับเห็นว่าโซ่ตรวนถูกปลดออกจากร่างกายฟิลิปและฟิลิปกำลังสวดมนต์ต่อพระเจ้าโดยมือทั้งสองข้างที่ควรจะถูกจองจำอยู่เหนือศีรษะของเขา
ถ้าตัดเรื่องปาฏิหาริย์ออกไป สิ่งที่เป็นไปได้คือ ผู้คุมน่าจะแอบช่วยเหลือฟิลิปอยู่ลับๆ เพราะทุกคนต่างศรัทธาและรักสังฆราชาผู้นี้เป็นอย่างมาก
หลายวันต่อมา อีวานสั่งให้ปล่อยหมีที่กำลังหิวโหยเข้าไปในห้องขังของฟิลิป เขาหวังว่าครั้งนี้ฟิลิปคงจะตายแน่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่ออีวานเดินเข้ามา เขาพบว่าฟิลิปยืนสวดมนต์อยู่ ส่วนหมีตัวนั้นนั่งอยู่ที่มุมห้องขัง
สิ่งที่ดูแปลกประหลาดนี้ทำให้อีวานรู้สึกประหลาดใจมาก เขาจึงนำฟิลิปไปขังไว้อีกที่หนึ่งใกล้กับเครมลิน พวกประชาชนที่ทราบข่าวต่างพากันไปเฝ้าหน้าคุกกันยกใหญ่เพื่อที่หวังว่าจะได้เห็นฟิลิปบ้าง
ฟิลิปยังคงไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดๆ แม้ว่าอีวานพยายามจะขู่ขวัญเขาสักเท่าใดก็ตาม มีอยู่วันหนึ่งอีวานส่งศีรษะของญาติของฟิลิปคนหนึ่งมาให้ฟิลิปในห้องขัง ฟิลิปจูบศีรษะดังกล่าวและประสาทพรให้กับศีรษะดังกล่าวโดยปราศจากท่าทีหวั่นเกรง
แต่สุดท้ายแล้ววาระสุดท้ายของฟิลิปก็มาถึง
Skuratov หนึ่งในพวก Oprichnina และคนสนิทของอีวานได้เดินเข้ามาในคุก เพื่อขอให้เขาอวยพรให้กับอีวาน ฟิลิปปฏิเสธและบอก Skuratov ว่าผู้ที่ทำความดีเท่านั้นที่ควรค่าแก่การอวยพร
หลังจากนั้นฟิลิปได้กล่าวว่า
ฉันรอความตายอยู่นานแล้ว โปรดทำความปรารถนาขององค์ซาร์ให้เป็นจริงเถิด
หลังจากนั้น Skuratov จึงสังหารฟิลิปด้วยการรัดคอในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.1569 ฟิลิปจึงจากโลกนี้ไปในที่สุด เขามีอายุได้ 62 ปี
ก่อนที่ฟิลิปจะจากไปประมาณสามวัน มีตำนานเล่าว่าเขาได้ทำพิธีกรรมสำหรับคนตายให้กับตนเอง หรือได้ขอให้บาทหลวงมาทำพิธี Last Rites ให้กับเขา
Skuratov ประกาศว่าฟิลิปสิ้นชีวิตเพราะ “ความร้อนในห้องขัง” และสั่งให้ฝังโดยเร็วที่สุดโดยปราศจากพิธีกรรมทางศาสนา ร่างของฟิลิปจึงหลับใหลอยู่ที่นั่นจนถึงปี ค.ศ.1590
อีวานผู้เลวร้ายไม่เคยสำนึกได้ด้วยตนเอง จนกระทั่งพวกตาตาร์จากไครเมียทำให้เขาสำนึกด้วยการทำลายกองทัพรัสเซีย และกรุงมอสโกเสีย อีวานผู้เลวร้ายถึงสำนึกได้ว่าพวก Oprichnina นี้ช่างไร้ประโยชน์
พวกนี้หนีเอาตัวรอดในขณะที่ผู้คนที่อีวานไล่สังหารปกป้องเขา พวก Oprichnina จึงถูกยุบและลงทัณฑ์เหมือนที่เคยทำกับคนอื่นในเวลาต่อมา
ส่วนอาร์คบิชอฟพีแมน ผู้ใส่ความฟิลิปมากมายนั้นได้รับชะตากรรมไม่ต่างกัน เขาถูกทรมานและสังหารอย่างลึกลับ สามปีหลังจากที่ฟิลิปจากไป
เป็นนักบุญ
หลังจากที่อีวานสิ้นไปแล้ว บาทหลวงที่มหาวิหาร Solovetsky ขออนุญาตจากซาร์ฟยอดอร์ที่ 1 ให้นำร่างของฟิลิปกลับไปยังมหาวิหาร Solovetsky ซาร์พระองค์ใหม่อนุญาตให้พวกเขาทำได้ตามคำขอ
เมื่อบาทหลวงกำลังไปนำร่างของฟิลิปออกมา ปรากฏว่าร่างของฟิลิปยังไม่เน่าและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ราวกับว่านอนหลับไปเท่านั้น
ร่างของฟิลิปหลับใหลอยู่ที่นั่นนานหลายสิบปี จนกระทั่งในปี ค.ศ.1652 ซาร์อเล็กซีแห่งราชวงศ์โรมานอฟ (บิดาของปีเตอร์มหาราช) ได้โปรดให้นำร่างของฟิลิปกลับมายังมอสโก และทำพิธีสถาปนาให้ฟิลิปเป็นนักบุญ
นับตั้งแต่บัดนั้นทั่วทั้งรัสเซียจึงรู้จักฟิลิปในนาม นักบุญฟิลิปแห่งมอสโก ปัจจุบ้นร่างของฟิลิปยังถูกเก็บรักษาอยู่ในมหาวิหาร Dormition ในพระราชวังเครมลิน กรุงมอสโก สถานที่เดียวกับที่ฟิลิปเคยว่ากล่าวซาร์อีวานผู้เลวร้าย
Sources:
Payne and Romanoff, Ivan The Terrible