ประวัติศาสตร์การตีชิง "กรุงเยรูซาเลม" กลับคืนของซาลาดินและชาวมุสลิม

การตีชิง “กรุงเยรูซาเลม” กลับคืนของซาลาดินและชาวมุสลิม

ในปี ค.ศ.1187 ซาลาดินทำลายกองทัพนักรบครูเสดครั้งใหญ่ในยุทธการแห่งแฮตติน และยังจับกีย์ กษัตริย์แห่งอาณาจักรเยรูซาเลมได้เป็นเชลยอีกด้วย กองทัพของชาวมุสลิมจึงมุ่งหน้าเข้าใกล้เมืองเยรูซาเลมอันเป็นเมืองหลวงเข้ามาทุกที

ชาวคริสต์จะต่อต้านซาลาดินและกองทัพของเขาอย่างไร

ซาลาดินเข้าเมืองเยรูซาเลมได้สำเร็จ

การประนีประนอมของซาลาดิน

ความพ่ายแพ้ยับเยินที่แฮตตินทำให้เยรูซาเลมแทบจะร้างกำลังทหาร เมืองต่างๆ ล้วนแต่ถูกกองทัพมุสลิมตีแตก หรือไม่ก็ทิ้งอาวุธยอมจำนน แต่ส่วนมากแล้วจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะซาลาดินใช้วิธีการประนีประนอมกับป้อมปราการและเมืองต่างๆ ถ้าชาวคริสต์ยอมเปิดประตูเมืองยอมจำนนจะได้รับการปฏิบัติอย่างดี ยกตัวอย่างเช่นที่เมืองเอเครอ (Acre) ซาลาดินอนุญาตให้ชาวคริสต์อยู่ในเมืองต่อไปอย่างปลอดภัยภายใต้การปกครองของอาณาจักรอัยยูบิด หรือถ้าใครจะเดินทางออกจากเมืองก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยมีเวลาให้ 40 วัน คนที่ออกจากเมืองยังสามารถนำทรัพย์สินติดตัวไปได้ด้วย

นอกจากนี้ซาลาดินยังรักษาความสัตย์ เขาพูดคำไหนเป็นคำนั้น ทำให้หลายเมืองยอมจำนนทันทีโดยไม่ต้องคิด

อย่างไรก็ตามบางเมืองปฏิเสธที่จะยอมจำนน อาทิเช่นเมืองไทร์ (Tyre) เมืองขนาดใหญ่ที่มีป้อมปราการอันแข็งแกร่งเป็นต้น

เหล่าเสนาบดีต่างเสนอให้ซาลาดินนำกองทัพเข้าตีเมืองไทร์ แต่ซาลาดินปฏิเสธ เขาไม่อยากจะเสียเวลากับเป้าหมายระดับรอง เขารู้ดีว่าเมืองอย่างไทร์ยากที่จะโจมตีให้แตกได้ และอาจทำให้พลาดโอกาสเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเลม เป้าหมายอันดับหนึ่งอีกด้วย

บาเลียน

สำหรับซาลาดินแล้ว เยรูซาเลมเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เมืองแห่งนี้เป็นเมืองนอกดินแดนอาระเบียที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาอิสลาม การตีเมืองนี้กลับคืนมาเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำให้ได้

กองทัพมุสลิมหลายหมื่นคนจึงถูกสั่งให้มุ่งหน้ามายังเยรูซาเลม เมืองหลวงของอาณาจักรเยรูซาเลม (Kingdom of Jerusalem) เพื่อพิชิตให้ได้

ระหว่างนั้นเอง บาเลียนแห่งอิเบลิน หรือ เบลิยง ดิพลิน (Balian of Ibelin) ที่อยู่ที่เมืองไทร์ได้แจ้งต่อซาลาดินว่าขอให้ตนเดินทางไปรับภรรยาที่อยู่ที่เมืองเยรูซาเลม ซาลาดินอนุญาตให้ตามคำขอ แต่ให้บาเลียนให้คำมั่นว่าจะไม่จับอาวุธต่อต้านกองทัพมุสลิม และจะอยู่ที่เยรูซาเลมเพียงวันเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อบาเลียนเดินทางมาถึงเมืองเยรูซาเลม เขาถูกขอร้องโดยเชื้อพระวงศ์และนักบวชระดับสูงของเมืองให้อยู่ช่วยป้องกันเมือง บาเลียนจำต้องตระบัดสัตย์และตัดสินใจรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ป้องกันเมืองจากกองทัพมุสลิม

แม้บาเลียนตัดสินใจต่อสู้ป้องกันเมือง แต่ในเมืองแทบไม่มีอัศวินหลงเหลืออยู่เลย เพราะพวกเขาถูกสังหารจนเกือบหมดสิ้นที่แฮตติน บาเลียนหาชายฉกรรจ์ที่เคยได้รับการฝึกเป็นอัศวินได้เพียง 60 คนเท่านั้น ที่เหลือเป็นเพียงทหารเดินเท้าทั่วไปอีกไม่กี่พันคน กองกำลังเหล่านี้จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพมุสลิมเจนศึกของซาลาดินอย่างน้อยสองหมื่นคนขึ้นไป

กองทัพมุสลิมเข้าตีเมือง

เมื่อซาลาดินนำกองทัพมาถึง เขาสั่งให้กองทัพเข้าโจมตีเมืองทันทีจากด้านตะวันตก กองทัพมุสลิมใช้ป้อมโจมตีเมือง (Siege Towers) บุกกระหน่ำเข้าใส่เมืองอย่างไม่หยุด

ชาวคริสต์ภายใต้การนำของบาเลียนแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้กองทัพมุสลิมเสียหายมากมาย ซาลาดินจึงเปลี่ยนแผนการใหม่ด้วยการถล่มกำแพงเมืองด้วยเครื่องยิงหินต่างๆ นาๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน

ผ่านไปหกวัน กองทัพมุสลิมสามารถทำให้ส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองถล่มลงมาได้สำเร็จ แต่กลับยังเข้าเมืองไม่ได้ เพราะการต่อสู้อย่างแข็งแกร่งของชาวคริสต์สามารถตั้งยันกองทัพมุสลิมไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตามการที่กำแพงเมืองพังลงมาทำให้ชาวเมืองเริ่มเสียขวัญกำลังใจ หลายคนต่างคิดว่าตนเองกำลังจะตายในไม่ช้า เพราะเมืองน่าจะแตกในอีกวันสองวันนี้

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์คับขันจนถึงที่สุดแล้ว บาเลียนกลับทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ นั่นคือ เขาออกไปเจรจากับซาลาดิน!

บาเลียนยอมจำนนต่อซาลาดิน

การต่อรอง

ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่เจรจา เพราะซาลาดินไม่ต้องการเสียเลือดเสียเนื้อในการเข้าโจมตีเมืองอยู่แล้ว เช่นเดียวกับบาเลียนที่ต้องการให้ชาวคริสต์ทุกคนปลอดภัย

เดิมทีซาลาดินปรารถนาจะปล้นสะดมเมืองเยรูซาเลมเสีย แต่บาเลียนขู่ว่าถ้าซาลาดินคิดจะปล้นเมือง นักรบคริสเตียนจะต่อสู้ให้ตายไปข้างหนึ่ง พวกเขาจะทำลายสถานที่ทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์และสังหารชาวมุสลิมในเมืองด้วย

ด้วยเหตุนี้ท่าทีของซาลาดินจึงอ่อนลง และเปลี่ยนเป็นการประนีประนอม สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้สำเร็จ

ตามข้อตกลงแล้ว บาเลียนจะมอบเยรูซาเลมให้กับซาลาดิน ชาวเมืองทุกคนจะต้องจ่ายค่าปรับเป็นรายหัวแก่ซาลาดิน มิเช่นนั้นจะถูกกวาดต้อนไปเป็นทาส ใครที่จ่ายค่าปรับแล้วจะได้รับการคุ้มครองให้เดินทางออกไปจากเมืองได้พร้อมกับทรัพย์สินส่วนตัว

ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.1187 กองทัพมุสลิมของซาลาดินเข้าเมืองเยรูซาเลม โดยที่ไม่มีการปล้นสะดมแต่อย่างใด ชาวเมืองส่วนใหญ่จ่ายค่าไถ่ตัวและเดินทางออกไปจากเมือง มีแต่ชาวเมืองประมาณ 8,000 คนเท่านั้นที่ยากจนและไม่สามารถจ่ายค่าปรับได้จึงถูกขายไปเป็นทาส

สถานที่ทางศาสนาของชาวคริสต์ถูกรักษาไว้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีการทำลายแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามโบสถ์หลายแห่งถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด (เช่นเดียวกับที่เกิดกับคอนสแตนติโนเปิล) สถานที่ทางศาสนาอย่าง Dome of the Rock ที่เป็นที่นับถือร่วมของสามศาสนาได้มีการนำไม้กางเขนออกไป และประดับประดาใหม่ตามธรรมเนียมอิสลาม

อย่างไรก็ตามซาลาดินก็ไม่ได้ปล้นสะดมและฆ่าฟันผู้คน ต่างกับการเข้าเมืองครั้งแรกของกองทัพครูเสดจากหน้ามือเป็นหลังมือ การกระทำของซาลาดินต่อชาวคริสต์ครั้งนี้ทำให้ซาลาดินมีชื่อเสียงมากในฐานะสุลต่านมุสลิมผู้มีใจเป็นธรรมและมีความเมตตา

ผลที่ตามมา

การสูญเสียเยรูซาเลมให้ชาวมุสลิมไม่ได้ทำให้อาณาจักรเยรูซาเลมจบสิ้นลง อาณาจักรเยรูซาเลมย้ายไปตั้งเมืองหลวงที่เอเครอ จนกระทั่งถึงกาลแตกดับในช่วงปลายศตวรรษที่ 13

ถึงกระนั้นเหตุการณ์นี้ได้ทำให้ทั่วทั้งยุโรปตกใจเป็นอย่างยิ่ง กษัตริย์ต่างๆ ในยุโรปจึงตอบสนองด้วยการส่งกองทัพเข้ามาตีชิงเยรูซาเลมกลับคืน และเกิดเป็นสงครามครูเสดครั้งที่สามในเวลาต่อมา

การเข้าตีกรุงเยรูซาเลมของซาลาดินถูกทำเป็นภาพยนตร์ในชื่อเรื่อง “Kingdom of Heaven” แต่แน่นอนว่าตัวเหตุการณ์ถูก dramatize หรือทำให้เวอร์วังตามแบบฉบับของฮอลลีวูด ตั้งแต่ความดุเดือดของการรบ ไปจนถึงบทบาทของบาเลียน และซาลาดิน

Sources:

  • Asbridge, The Crusades
  • Edbury, The Conquest of Jerusalem and the Third Crusade

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!