ชิซูโกะ มิอูระ (Shizuko Miura) เป็นนางพยาบาลจำเป็นชาวญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เธอได้รับการฝึกเพียงวันเดียวก็ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่เลย ผมได้อ่านเรื่องของเธอจากหนังสือเล่มนี้
พออ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจและแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของสงครามจึงขอนำมาสรุปไว้ในโพสนี้
ภัยสงครามเข้ามาใกล้
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากความพ่ายแพ้ยับเยินที่มิดเวย์ (Battle of Midway) และกัวดัลคะแนล (Guadalcanal Campaign) ของฝ่ายญี่ปุ่น กองทัพอเมริกาจึงรุกไล่หนักทั้งจากทางน้ำและทางอากาศไปทีละเกาะ และเคลื่อนที่เข้าใกล้แผ่นดินแม่ของญี่ปุ่นมาตามลำดับ
วันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1944 กองทัพอเมริกันเข้าโจมตีเกาะไซปัน (Saipan) ซึ่งเป็นเกาะที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น ถ้าญี่ปุ่นสูญเสียไซปันไป อเมริกาจะมีฐานทัพสำหรับส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวนมหาศาลเข้าไปถล่มแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่นให้ราบเป็นหน้ากลอง
ครอบครัวของชิซูโกะอาศัยอยู่ที่ติเนียน ส่วนตัวชิซูโกะอยู่ที่การะปัน (Garapan) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของเกาะไซปัน
เมื่อกองทัพอเมริกันบุกเข้าไซปัน ทั้งกองทัพเรือและกองทัพอากาศก็เปิดฉากถล่มหัวหาดอย่างหนัก เพื่อทำลายแนวต้านทานของทหารญี่ปุ่น
การยิงถล่มของฝ่ายอเมริกันทำให้หมู่บ้านการะปันของชิซูโกะกลายเป็นทะเลเพลิง ชิซูโกะต้องหนีตายเอาชีวิตรอดด้วยการวิ่งหนีลึกเข้าไปเกาะ
ชิซูโกะหนีเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งบอกเธอว่ากองทัพอเมริกันกำลังบุกขึ้นบนฝั่ง และกองพันรถถังของญี่ปุ่นกำลังจะเข้าสกัดกั้น ชิซูโกะได้ยินก็ตกใจมากเพราะพี่ชายของเธออยู่ในกองพันรถถังดังกล่าวด้วย เธอจึงรีบวิ่งออกมาดูโดยไม่ได้คิดถึงอันตราย
ภาพที่เธอเห็นคือ กองพันรถถังของญี่ปุ่นแล่นออกมาจากที่ตั้งเพื่อหยุดยั้งกองทัพอเมริกัน ทหารญี่ปุ่นคนเดิมพยายามเตือนเธอให้ระวังอันตราย แต่เธอกลับไม่สนใจ
กองพันรถถังของญี่ปุ่นกระหน่ำยิงทหารอเมริกันที่กำลังขึ้นฝั่ง พร้อมด้วยการยิงของปืนกลหนักและไรเฟิลของฝ่ายญี่ปุ่น เรืออเมริกันบางลำจึงถอยออกไป
แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่นาที แสงสว่างวาบก็พุ่งขึ้นจากเรือรบอเมริกันทุกลำที่อยู่ใกล้กับไซปัน เสี้ยววินาทีต่อมาเสียงระเบิดก็ดังขึ้นในจุดที่กองพันรถถังของญี่ปุ่นอยู่ นอกจากนี้เครื่องบินอเมริกันก็เข้าโจมตีใส่แนวป้องกันของฝ่ายญี่ปุ่น
ในเวลาเพียงสิบห้านาที การยิงของญี่ปุ่นก็เงียบเสียงลง และไม่ดังขึ้นอีกเลย ณ เวลานั้น ชิซูโกะมั่นใจว่าพี่ชายของเธอที่อยู่ในกองพันรถถังจากเธอไปแล้วตลอดกาล
ชิซูโกะมองไปที่เกาะติเนียนซึ่งเป็นเกาะที่ครอบครัวของเธออยู่ เธอก็รู้สึกสลดใจเพราะเป็นห่วงบิดามารดาและคิดว่าท่านคงจากไปแล้วเช่นกัน พอมองลงไปที่ความพินาศที่เกิดจากสงครามด้านล่าง ชิซูโกะตัดสินใจว่าเธอจะอาสาเป็นนางพยาบาลที่เขาดอนเนย์ซึ่งอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะ
ก่อนที่จะจากบริเวณดังกล่าวไป เธอมองไปยังจุดที่กองพันรถถังของญี่ปุ่นเคยตั้งอยู่ แล้วกล่าวคำอำลาพี่ชายของเธอเป็นครั้งสุดท้าย “พี่ชาย ลาก่อนนะ”
นางพยาบาลพิเศษ
ชิซูโกะเดินกลับเข้าไปในถ้ำหลบภัย เธอพบกับประชาชนมากมายที่รออยู่ในนั้น ทันใดนั้นมีหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเข้าสวมกอดเธอ เธอไม่ใช่ใครอื่น พี่สาวแท้ๆของเธอนั่นเอง พี่สาวของเธอได้เข้ามาหลบอยู่กับพี่เขยในถ้ำ
หลังจากนั้น ชิซูโกะบอกกับทั้งสองว่า เธอจะไปอาสาเป็นนางพยาบาลที่เขาดอนเนย์ พี่เขยคัดค้านทันทีด้วยความโกรธ เขาบอกชิซูโกะว่าพ่อแม่ของชิซูโกะมอบหมายให้เขาดูแลเธอ แล้วเธอจะไปอยู่ในสถานที่ที่มีแต่ผู้ชาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เขาจะไปมองหน้าพ่อแม่ของเธอได้อย่างไร
ทุกคนตายหมดแล้ว!
ชิซูโกะตะโกนออกมาในบัดดล เธอลั่นวาจาต่อไปว่า
พี่อยากจะเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตหรืออย่างไร
หลังจากนั้นชิซูโกะอำลาทั้งสองและเดินทางไปที่โรงพยาบาลที่เขาดอนเนย์ เธอได้เข้าพบกับศัลยแพทย์ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าแพทย์ทหารเพื่ออาสาเป็นนางพยาบาล เขากลับกล่าวกับชิซูโกะว่า
ผู้หญิงทำอะไรที่นี่ไม่ได้หรอก รีบกลับไปเสียเถอะ ที่นี่เป็นเขตทหาร เราไม่อนุญาตให้ผู้หญิงอยู่ที่นี่!
ชิซูโกะพยายามจะเดินตามศัลยแพทย์ผู้นั้นไปอยู่นาน จนสุดท้ายเขาทนลูกตื้อของชิซูโกะไม่ไหว เขาจึงพูดขึ้นว่า
ก็ได้ หลังจากนี้ไปเธอคือพยาบาลนะ
ศัลยแพทย์ใหญ่นำสายคล้องแขนสีแดงขององค์กรกาชาดมาผูกให้กับเธอแล้วก็สั่งให้เธออย่าเห็นแก่ตัว เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา สุดท้ายเขาเตือนเธอว่า
หลายสิ่งที่เจ็บปวดและน่าเศร้ากำลังจะเกิดขึ้น จงอย่ายอมแพ้และทำให้ดีที่สุด
ชิซูโกะจึงมองดูไปที่สายคล้องสีแดงที่แขนของเธอ แพทย์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า
เธอยังเด็ก ผมเกรงว่าเธอจะสะเทือนใจ
แต่ไม่มีใครหยุดยั้งความตั้งใจของชิซูโกะไว้ได้
งานสะเทือนใจ
งานแรกของชิซูโกะเป็นงานที่ไม่ยากอะไรนัก หน้าที่ของเธอแค่ถือไฟฉายให้แพทย์สนามที่กำลังปฐมพยาบาลผู้ป่วยอยู่ แต่แล้วภาพที่ไม่น่ามองก็ปรากฏแก่ดวงตาของชิซูโกะ
แพทย์สนามคนหนึ่งกดไปที่ชิ้นส่วนระเบิดที่ปักอยู่ที่หลังของทหารที่เขากำลังปฐมพยาบาลอยู่ ทหารคนนั้นร้องขึ้นและสลบไปทันที แพทย์สนามเห็นชิซูโกะตกตะลึง เขาจึงบอกเธอว่า
มันง่ายกว่าถ้าพวกเขาสลบไปนะ
แพทย์สนามพยายามจะนำชิ้นส่วนระเบิดออกจากร่างทหารผู้นั้นถึงสามครั้งแต่ก็นำไม่ออก สุดท้ายศัลยแพทย์ใหญ่จึงมาจัดการกับเคสนี้ด้วยตนเอง เขาตัดเนื้อของทหารคนดังกล่าวด้วยมีดผ่าตัดที่คมกริบ (Scalpel)
ด้วยความตื่นเต้นกับภาพที่เห็นทำให้ชิซูโกะมือสั่น ไฟฉายที่เธออยู่จึงเอียงไปมา ศัลยแพทย์รู้สึกรำคาญ เขาจึงตวาดชิซูโกะให้อยู่นิ่งๆ หลังจากนั้นเขาก็นำชิ้นส่วนระเบิดที่ใหญ่เท่ากับกล้ามออกมา ภาพที่เธอเห็นทำให้ชิซูโกะถึงกับตัวแข็งไป
ผู้ป่วยคนต่อมาบาดเจ็บที่เท้าซ้าย ศัลยแพทย์ใหญ่ยื่นกรรไกรอันหนึ่งให้กับชิซูโกะ แล้วสั่งให้เธอตัดกางเกงของเขาออก เธอพบว่าที่ขาของเขามีผ้าพันแผลที่เต็มไปด้วยเลือด มันติดอยู่กับบาดแผลราวกับว่าติดกาวไว้เลยทีเดียว
ชิซูโกะค่อยๆ ตัดกางเกงของเขาออก เธอกลัวว่าผู้ป่วยจะร้องถ้าเธอตัดมันแรงเกินไป ศัลยแพทย์จึงพูดขึ้นว่า
คุณพยาบาล อย่าลังเล! ถ้าคุณกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บ คุณก็ไม่มีประโยชน์ในที่นี่!
ศัลยแพทย์ใหญ่ดึงผ้าพันแผลชิ้นนั้นด้วยตนเองจนมันหลุดออก ทันใดนั้นชิซูโกะเห็นกระดูกเท้าของทหารผู้นั้นแตกเละ เลือดมันมากมายพวยพุ่งออกมาจากบาดแผลนั้น
ศัลยแพทย์มองไปที่เท้านั้นแล้วพูดกับผู้ป่วยว่า
เท้าของคุณไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เราควรจะตัดทิ้ง
หลังจากนั้นเขานำกรรไกรมากดที่เท้าของทหารผู้นั้น แล้วถามขึ้นว่า คุณรู้สึกหรือไม่
เมื่อพูดขึ้นว่า “ไม่” ศัลยแพทย์จึงพูดกับชิซูโกะว่า
ก็เป็นตามที่คิดไว้ คุณพยาบาล ตัดมันทิ้งเสียเลย
เมื่อชิซูโกะกำลังจะตัดขาของเขา ทหารผู้นั้นกลับตัวสั่นด้วยความกลัว ศัลยแพทย์เห็นเช่นนั้นจึงถามแพทย์อีกคนว่า เขาเหลือยาชาอยู่เท่าไร เมื่อได้คำตอบว่าเหลือเพียงสามกล่องเท่านั้น ศัลยแพทย์ใหญ่ตัดสินใจให้ชิซูโกะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ทหารผู้นั้น แล้วนำตัวเขาไปไว้อีกที่หนึ่ง เขาจะกลับมาตัดเท้าของทหารผู้นั้นทีหลัง
หลังจากที่ชิซูโกะเดินกลับมา ศัลยแพทย์คนเดิมก็พูดขึ้นว่า
คราวนี้ คุณพยาบาล ถึงเวลาของคุณที่จะทำทุกอย่างเมื่อกี้ด้วยตนเอง
ชิซูโกะถึงกับตะลึงไป ความมั่นใจที่เธอมีอยู่เล็กน้อยหายไปทันที
อย่างไรก็ตาม พอชิซูโกะทำไปหลายเคส เธอก็ชำนาญมากขึ้นทุกวัน ชิซูโกะสามารถตัดชิ้นเนื้อและเปลี่ยนผ้าพันแผลได้อย่างเชี่ยวชาญ
ร้อยเอกผู้น่าสงสาร
ในโรงพยาบาลเล็กๆ ในเกาะที่ห่างไกลนี้ มีผู้บาดเจ็บถึงพันกว่าคน แทบทั้งหมดนอนอยู่บนพื้น พวกเขาส่งเสียงร้องดังระงมด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ชิซูโกะคิดว่าถ้านรกมีจริง ที่นี่แหละคือนรก
เธอเดินไปทั่วสถานที่ดังกล่าว และป้อนน้ำให้ทหารที่เจ็บปวด จนกระทั่งเธอพบกับทหารคนหนึ่ง ชื่อของเขาคือ ร้อยเอกชิโนดะ ตาของเขาทั้งสองข้างถูกหนอนไชจนถลนออกมา เมื่อชิซูโกะเห็นภาพดังกล่าว เธอถึงกับตัวสั่น แต่เธอก็ฝืนความกลัวและขยะแขยงเพื่อนำหนอนแต่ละตัวออกจากตาของเขา
ระหว่างที่เธอนำหนอนออกจากดวงตาของเขานั้น เธอเล่าเรื่องของเธอและสาเหตุที่เธอมาเป็นนางพยาบาลให้ชิโนดะฟัง เมื่อชิโนดะได้ฟังน้ำตาของเขาก็ไหล เขาหยิบรูปของผู้หญิงในชุดกิโมโนที่เปี้อนไปด้วยเลือดของเขามาให้ชิซูโกะดู เขาเล่าให้เธอฟังว่านี่คือภรรยาของเขาเอง เขาเดินทางมารบสามวันหลังจากที่แต่งงานกับผู้หญิงในรูปนี้
ชิโนดะกล่าวขึ้นว่า
เมื่อผมได้รับบาดเจ็บ ผมคิดถึงแต่ภรรยาของผม ผมอยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อเธอ แต่ผมคงไม่รอด
ชิซูโกะรู้สึกสะเทือนใจจนไม่สามารถพูดออกมาได้ เธอจัดการกับหนอนต่อไปจนหมด เหลือแต่ตัวที่อยู่ตรงกลางดวงตาของเขาเท่านั้น เธอใช้ผ้าสะอาดสองผืนแช่ใน Mercurochrome แล้วพันไปที่ดวงตาของเขา เธอบอกกับเขาว่า
อดทนรออีกสักหน่อยนะคะ ภรรยาของคุณกำลังรออยู่
ในวันต่อมา อาการของชิโนดะแย่ลงมาก เขาเริ่มหมดกำลังใจจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป เธอจึงเล่าเรื่องของเธอและให้กำลังใจเขาเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ชิโนดะพูดขึ้นว่า เขาชอบเธอมาก เธอทำให้เธอคิดถึงน้องสาวของเขาที่อยู่ที่ฮอกไกโด เขาจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ช่วงนั้นเองกองทัพเรือญี่ปุ่นถูกตีแตกยับเยินในสมรภูมิที่ทะเลฟิลิปปินส์ ทหารอเมริกันเข้าโจมตีอย่างหนักจนตัดที่มั่นของญี่ปุ่นบนเกาะไซปันเป็นสองส่วน และกำลังบุกรุดหน้าเข้ากวาดล้างทหารญี่ปุ่นทั้งหมดบนเกาะ ทหารญี่ปุ่นที่ได้รับบาดเจ็บจึงถูกลำเลียงมาที่โรงพยาบาลอย่างไม่หวาดไม่ไหว ชิซูโกะจึงลืมชิโนดะไปเลยเพราะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปฐมพยาบาลผู้ป่วยใหม่
หลายวันผ่านไป เธอนึกถึงชิโนดะขึ้นมาได้ เธอจึงไปเยี่ยมชิโนดะเขา แต่ทว่าเธอกลับพบแต่ทหารคนอื่น พวกเขาพากันต่อว่าเธอว่า ชิโนดะเรียกหาเธอตลอดทั้งคืน แต่เธอก็ไม่มา จนสุดท้ายเขาเสียชีวิตไปแล้วในคืนก่อน
วาระสุดท้ายของโรงพยาบาล
หลังจากการตายของชิโนดะ ทหารญี่ปุ่นที่ตายในโรงพยาบาลก็เพิ่มขึ้นมาก ศพถูกกองทิ้งในโรงพยาบาลเฉยๆ โดยไม่ได้ทำการเผาหรือฝัง เพราะมันมีมากเหลือเกินจนไม่มีเวลา
ศพเหล่านี้กลายเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าหนอน ร่างเหล่านี้ส่งกลิ่นคลุ้งไปทั่ว ห้องน้ำที่มีสภาพแย่อยู่แล้วก็แย่ขึ้นไปอีก
เมื่อเวลาผ่านไป ชิซูโกะเข้มแข็งขึ้นมาก ราวกับเธอลืมไปเลยว่าเธอเป็นผู้หญิง เธอกลายเป็นผู้ที่จิตวิญญาณของพยาบาลเต็มตัว เธอไม่รู้สึกอายอีกแล้วเมื่อเห็นผู้ชายเปลือย เธอเล่าว่าเธออาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง บ่อยครั้งเธอจำต้องฝืนตัดขาหรือเท้าของพวกทหารโดยที่ไม่ได้ใส่ยาชาให้กับพวกเขา เพราะยาชาทุกกล่องหมดไปแล้ว ทหารเหล่านี้ร้องจนสลบไป
วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1944 ทหารอเมริกันบุกเข้ามาใกล้ถึงโรงพยาบาลที่ทีมแพทย์อยู่ ทีมแพทย์ทุกคนจำนวน 8 คนที่เหลืออยู่จึงได้รับแจกระเบิดคนละลูกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจากไปอย่างทรงเกียรติ (ตามความคิดของพวกเขา)
แต่ทว่ายังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะตาย พวกเขาย้ายสถานพยาบาลไปยังชายฝั่งตะวันตกของเกาะ โดยนำเฉพาะผู้ป่วยที่สามารถเดินได้ไป ส่วนผู้ป่วยที่ถูกตัดเท้า ตัดขาถูกทิ้งเอาไว้ในโรงพยาบาลเดิม
ชิซูโกะพูดกับหัวหน้าศัลยแพทย์ว่า เธอจะอยู่ที่นี่และยอมตายร่วมกับทหารที่ถูกทิ้งไว้อยู่ตรงนี้ แต่ศัลยแพทย์ใหญ่กลับสั่งเธอว่าต้องไปกับพวกเขา ไม่มีทางเลือกอื่น
บรรดาทหารที่ไม่ได้ไปจึงคลานมาห้อมล้อมเธอ พวกเขาฝากให้เธอบอกครอบครัวของพวกเขาด้วยว่าเกิดอะไรเกิดขึ้นที่เกาะนี้
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดและเธอต่างร้องเพลง “คุดันซากะ” ซึ่งเป็นเพลงที่แม่เฒ่านำเหรียญกล้าหาญของลูกที่ตายไปที่ไว้ศาลเจ้ายาสุคุนิ สุดท้ายผู้ป่วยที่เดินไม่ได้ต่างพากันมารวมตัวกัน และพูดขึ้นว่าพวกเราจะไปศาลยาสุคุนิด้วยกัน ชิซูโกะและศัลยแพทย์อยู่กับพวกเขาจนเห็นสมควรแก่เวลาจึงพากันเดินออกมา
เสียงขอบคุณของทหารเหล่านั้นดังไปทั่ว เมื่อชิซูโกะเดินออกมาจากโรงพยาบาลเดิมจนไกลลิบ เธอได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหลายลูกติดต่อกัน นั่นเป็นเสียงของทหารญี่ปุ่นที่เดินไม่ได้จำนวนสามร้อยคนพากันปลิดชีพตนเองนั่นเอง
ค่ายพัก
อีกไม่กี่วันต่อมา ทหารอเมริกันก็บุกเข้าถึงหุบเขาที่เธอย้ายมา ในเวลานั้นโอกาสจะหนีของเธอหมดลง เพราะทหารอเมริกันเข้ายึดครองพื้นที่แล้วทุกแห่ง ชิซูโกะเห็นทหารผิวดำสองคนเดินลงมาใกล้เธอ
ชิซูโกะไม่เคยเห็นชาวอเมริกันผิวดำมาก่อน เธอจึงกลัวมาก ในเวลานั้นเอง เสียงดนตรีประหลาดก็ดังขึ้นทั่วทั้งภูเขาที่เธอหลบอยู่ เธอไม่เคยได้ยินดนตรีดังกล่าวมาก่อนเลย ดนตรีที่ว่าคือดนตรีแจ๊สนั่นเอง เมื่อได้ยินเสียงดนตรีดังกล่าว ชิซูโกะจึงสูญเสียความกล้าหาญที่จะฆ่าตัวตาย
จริงๆแล้วศัลยแพทย์ใหญ่อนุญาตให้เธอยอมจำนนต่อพวกอเมริกันได้ แต่เธอกลับลังเล เพราะเธอกลัวว่าทหารอเมริกันจะทำร้ายเธอ เธอจึงยืนนิ่งเมื่อทหารอเมริกันผิวดำทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้
ในเวลานั้นเอง ศัลยแพทย์ใหญ่ใช้ปืนยิงคอของตัวเอง ส่วนแพทย์อีกคนหนึ่งก็ใช้มีดกรีดคอตนเองสามครั้งแล้วล้มลงต่อหน้าชิซูโกะ เลือดของทั้งสองไหลบ่ามาที่ขาของเธอ
ชิซูโกะเห็นเช่นนั้นจึงเกิดความกล้าจะฆ่าตัวตายอีกครั้งหนึ่ง เธอปาระเบิดไปที่หินขนาดใหญ่ แล้วกระโดดลงไปเพื่อจะฆ่าตัวตาย
เสียงระเบิดดังขึ้น แต่หลังจากนั้นเธอกลับได้ยินเสียงพูดคุยกันระงม แต่เธอไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน สุดท้ายแล้วปรากฎว่าเธอยังไม่ตาย ชิซูโกะตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งหนึ่ง เธอพยายามจะลุกขึ้น เธอกลับพบนายทหารอเมริกันคนหนึ่งพูดกับเธอเป็นภาษาญี่ปุ่น
เธอยังบาดเจ็บ อย่าเพิ่งลุกขึ้น
เธอขอน้ำเปล่าจากเขามาดื่ม นายทหารอเมริกันบอกว่าไม่มี เขามีแต่น้ำมะเขือเทศเท่านั้น ชิซูโกะลองดื่มไปเล็กน้อยก็บ้วนออกมาเพราะทนกับรสชาติของมันไม่ได้ แต่เธอก็กินจนหมดตามที่นายทหารอเมริกันแนะนำ
เธอถามนายทหารอเมริกันว่าคนอื่นในหุบเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง เขาตอบว่าทุกคนตายหมดยกเว้นเธอคนเดียว ชิซูโกะจึงถามเขาว่าทำไมเขาถึงพูดภาษาญี่ปุ่นได้ นายทหารอเมริกันจึงบอกว่าเขาเคยศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น ภายหลังเขาได้มาสมัครเป็นทหารในกองทัพอเมริกัน
นายทหารอเมริกันบอกเธอว่าชาวญี่ปุ่นที่ยอมจำนนจะถูกนำไปอยู่ที่ค่ายพักที่ Charan Kanoa ชิซูโกะไม่เชื่อหูตนเอง สิ่งที่เธอได้ยินมาคือทหารอเมริกันน่ากลัวและจะทำร้ายชาวญี่ปุ่นทุกคนที่ยอมจำนน เธอจึงกลัวทหารอเมริกันมากโดยเฉพาะทหารผิวดำสองคนที่เธอพบก่อนหน้านี้
นายทหารอเมริกันได้ฟังก็หัวเราะและบอกเธอว่า
พวกเขานั่นแหละที่ช่วยชีวิตเธอ
ระหว่างทางที่เขากำลังนำเธอไปที่ค่ายพัก นายทหารอเมริกันบอกชิซูโกะเมื่อผ่านชายฝั่งทะเลว่า มีซากศพพลเรือนญี่ปุ่นอยู่เต็มทะเลไปหมด เขาถามชิซูโกะว่าเธออยากจะดูหรือไม่ เมื่อเธอตอบว่าอยาก นายทหารอเมริกันจึงพาเธอไปที่หน้าผาแห่งหนึ่ง
หน้าผาแห่งความเศร้า
หน้าผาแห่งนี้เป็นหน้าผาที่พลเรือนชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเลือกที่จะฆ่าตัวตาย เพราะพวกเขาถูกล้างสมองโดยรัฐบาลของพวกเขาเองว่าพวกอเมริกันโหดร้ายเพื่อที่ทุกคนจะได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ในสงคราม
เมื่อไซปันแตก พลเรือนนับหมื่นคนจึงพากันมากระโดดหน้าผาตาย บางคนมีลูกเล็กเด็กแดงก็ผลักลูกของเขาลงไปก่อน แล้วจึงกระโดดตามลงไป แต่หลายคนที่กระโดดแล้วยังไม่ตายก็ได้รับการช่วยเหลือโดยทหารอเมริกันเป็นอย่างดี
เมื่อชิซูโกะไปถึง เธอได้เห็นซากศพของเพื่อนร่วมชาติของเธอลอยกลาดเกลื่อนในทะเล หรือไม่ก็กองอยู่ที่โขดหินเต็มไปหมด
ดูภาพได้ ที่นี่
นายทหารอเมริกันเห็นภาพดังกล่าวก็กลั้นน้ำตาไม่ได้ น้ำตาของเขาไหลออกมาอาบแก้มและถามชิซูโกะว่า เพราะเหตุใดพวกเขาถึงทำเช่นนี้ ชิซูโกะไม่อาจจะเอ่ยคำตอบออกมาได้
หลังจากนั้น เธอจึงเดินทางมาถึงค่ายพักที่ Charan Kanoa ค่ายนั้นสว่างมากราวกับเมืองๆ หนึ่ง รอบๆ ค่ายมีเต้นท์วางเรียงอยู่มากมาย ถึงแม้ว่าจะมาถึงค่ายแล้ว ชิซูโกะยังเชื่อว่านายทหารอเมริกันโกหก เธอจะถูกยิงตาย ณ ที่นี่ เธอเชื่อแบบนั้นจนกระทั่งเธอเห็นเด็กผู้หญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเกาะรั้วอยู่ เธอพยายามจะวิ่งเข้าไปในค่าย ถึงแม้ว่านายทหารอเมริกันจะแนะนำให้เธอไปโรงพยาบาลก่อนก็ตาม
ชิซูโกะรีบวิ่งไปทั้งๆที่ยังอ่อนแอ เธอจึงล้มลง แต่มือหลายคู่ดึงเธอให้ยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง ใบหน้าของพวกเขาช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน พวกเขาคือชาวญี่ปุ่นที่รอดชีวิตนั่นเอง
ชิซูโกะ มิอูระ คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากสงครามที่ไซปัน ในขณะที่พลเรือนญี่ปุ่นจำนวน 22,000 คนสิ้นชีวิตไปในสงครามดังกล่าว
Source:
The Rising Sun by John Toland