ตอนที่ 1 อยู่ที่นี่ (แนะนำให้อ่านก่อน)
เดือนกันยายน ค.ศ.1906 ซานโดรที่เจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรัสเซียได้ขออนุญาตซาร์นิโคลัสที่ 2 ไปพำนักยังต่างประเทศ นิโคลัสอนุญาตให้ตามคำขอ
ช่วงเวลาอัน “แปรปรวน” ของซานโดรจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่บัดนั้น
ครอบครัวของซานโดร
ซานโดร และเซเนีย ตัดสินใจเดินทางไปพำนักที่ฝรั่งเศส ในเวลานั้นทั้งสองมีลูกด้วยกัน 6 คนแล้ว และกำลังจะมีคนที่ 7 ในไม่ช้า บุตรทั้ง 6 ได้แก่
- เจ้าหญิงอิรินา อเล็กซานดรอฟนา
- เจ้าชายอันเดร อเล็กซานดรอวิช
- เจ้าชายฟยอดอร์ อเล็กซานดรอวิช
- เจ้าชายนิกิต้า อเล็กซานดรอวิช
- เจ้าชายดมิทรี อเล็กซานดรอวิช
- เจ้าชายรอสติฟสลาฟ อเล็กซานดรอวิช
ส่วนคนที่ 7 ที่อยู่ในครรภ์ของเซเนียคือ เจ้าชายวาซิลี อเล็กซานดรอวิช
ตามกฎหมายเก่าแล้ว บุตรชายและบุตรสาวของซานโดรทุกคนจะได้รับยศศักดิ์เป็นแกรนด์ดยุค หรือ แกรนด์ดัชเชส แต่กฎหมายใหม่ที่ออกโดยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทำให้ทุกคนได้เป็นเพียง “เจ้าชาย” และ “เจ้าหญิง” เท่านั้น
ความรักครั้งใหม่?
ชีวิตในฝรั่งเศสของซานโดรดำเนินไปอยู่สุขสบาย มันสบายเสียจนซานโดรโน้มน้าวให้เซเนียอยู่ที่นี่ต่อ
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ซานโดรเปลี่ยนใจไม่กลับรัสเซีย แต่ซานโดรระบุไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า เขาเริ่มรู้สึกสนใจผู้หญิงคนอื่นเป็นครั้งแรก หลังจากที่แต่งงานกับเซเนียมาได้ 12 ปี
คนที่ซานโดรถูกใจคือ หญิงสาวลูกครึ่งระหว่างสเปนและอิตาลี (เขาไม่เคยระบุชื่อเธอลงในบันทึก) ซานโดรเล่าว่าเธอเป็นคนฉลาด และมีเสน่ห์มาก เธอมักจะเดินทางมาที่บ้านของเขาเป็นประจำ แต่ซานโดรไม่ได้ระบุว่าเธอมาทำไม
ผ่านไปสักพัก บันทึกของซานโดรก็แสดงให้เห็นว่าเขาติดใจนิสัยและจริตของเธอ ซานโดรเล่าว่าเมื่อเขาได้ออกไปข้างนอกกับเธอ ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยมีนิสัยแบบ “แมว” ซึ่งก็คือ “การบ่นไปมาว่าไม่ต้องการโน่น ไม่ต้องการนี่ และอยากได้โน่นนี่ไปเรื่อย”
ในช่วงนั้นซานโดรเล่าว่าเขาเหมือนกับว่าหมดอาลัยตายอยาก และปราศจากคู่คิด (เพราะเซเนียกำลังตั้งท้อง) ผู้หญิงคนนี้จึงเริ่มมีอิทธิพลต่อชีวิตของเขาอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอพัฒนาขึ้นเป็นความรักอย่างช้าๆ
ช่วงแรกซานโดรยังไม่ยอมรับว่าเขารักเธอ จนกระทั่งเขาลองเปรียบเทียบความรู้สึกของเขาที่มีต่อเซเนีย และที่มีต่อเธอ เขาพบว่ามันเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ซานโดรรู้ดีว่าเขาต้องเลือก แต่เขายังไม่อยากไปจากเซเนียตอนนี้ ทำให้ซานโดรอยู่ภายใต้ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ผ่านไปนานเข้า ซานโดรก็อยู่ในสถานะอินเลิฟอย่างรุนแรง เขากลับไปรัสเซียเพียงไม่นานก็กลับไปฝรั่งเศสอีก
ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่รัสเซีย เขาพร่ำคิดถึงแต่หญิงคนรักของเขา ขนาดตอนที่นิโคลัสแจ้งว่าการเมืองในรัสเซียกำลังปั่นป่วนวุ่นวาย ซานโดรกลับตอบซาร์แห่งรัสเซียอย่างส่งเดชไปเรื่อย เขาให้เหตุผลในบันทึกว่าใจของเขาไม่ได้อยู่ที่รัสเซีย แต่อยู่ที่ “เธอ”
เมื่อกลับไปถึง Biarritz เมืองในฝรั่งเศสที่ซานโดรและครอบครัวพำนักอยู่ เขารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องบอกเรื่องทั้งหมดกับเซเนีย ซานโดรรู้สึกผิดอย่างมาก และไม่ต้องการจะปกปิดอีกต่อไปแล้ว
ซานโดรบอกความจริงทั้งหมดกับเซเนียว่า เขามีหญิงคนรักอยู่อีกคนแล้ว เมื่อเซเนียได้ยินเช่นนั้น เธอชะงักงันไป ภายในเวลาไม่นาน เธอก็เริ่มร้องไห้ออกมาด้วยหัวใจที่แตกสลาย
หลังจากนั้นซานโดรและเซเนียก็ทำข้อตกลงกัน นั่นคือทั้งสองจะปฏิบัติต่อกันและกันตามเดิม เพื่อที่ลูกๆ ของทั้งสองจะได้รับความอบอุ่นของบิดามารดาเช่นเดิม นับตั้งแต่บัดนั้นซานโดรและเซเนียก็พำนักด้วยกันในฐานะ “เพื่อน” มากกว่าจะเป็น “สามีภรรยา”
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ซานโดรยกย่องเซเนียว่า เธอวางตัวเหมือนกับนางฟ้าเลยทีเดียว อย่างไรก็ดีเขาไม่เคยแต่งงานกับหญิงคนรักแต่อย่างใด
เครื่องบิน
ระหว่างที่อยู่ในฝรั่งเศส ซานโดรได้ทราบข่าวว่านักบินฝรั่งเศสได้บินข้ามช่องแคบอังกฤษได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้ซานโดรตระหนักว่าถ้ารัสเซียมีเครื่องบินรบ รัสเซียจะได้เปรียบมากในสงคราม เขารีบเดินทางกลับรัสเซียเพื่อเสนอโปรเจ็คดังกล่าวให้กับนิโคลัสทันที
นับเป็นวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมของซานโดรที่เห็นศักยภาพของยานพาหนะชิ้นนี้ในการทำสงคราม
เมื่อได้ฟังการพรีเซ้นของซานโดรจนจบ นิโคลัสได้แต่ยิ้มเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไรเลย แต่รัฐมนตรีกระทรวงสงครามและรัฐมนตรีว่าการกองเรือล้วนแต่คิดว่าซานโดรบ้าที่คิดจะใช้เครื่องบินในการทำสงคราม
ทั้งสองช่างไม่รู้ประสิทธิภาพของเครื่องบินเสียเลย!
แม้รัฐมนตรีสองคนจะหัวเราะเยาะซานโดร นิโคลัสกลับอนุญาตให้ซานโดรเลือกนายทหารบางส่วนไปฝึกกับนักบินฝรั่งเศสได้
สามปีต่อมาซานโดรใช้เงินก้อนใหญ่ของเขาในการจัดซื้อเครื่องบิน และประจวบเหมาะกับที่นายทหารที่เขาส่งไปเรียนการบินจบการศึกษามาพอดี ซานโดรจึงจัดตั้งโรงเรียนการบินขึ้น โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนการบินแห่งแรกในรัสเซีย ซานโดรตั้งใจว่ากองบินของเขาจะได้สนับสนุนกองทัพรัสเซียในสงครามภายภาคหน้า
สู่สงครามโลกครั้งที่ 1
ซานโดรใช้ชีวิตอยู่ในรัสเซียโดยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการพัฒนาฝูงบินของเขา และพยายามหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองให้น้อยที่สุด ซานโดรเล่าว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่รัสปูตินและพรรคพวกของเขากำลังขึ้นสู่อำนาจ ทำให้สถานการณ์ในราชสำนักเริ่มตึงเครียด
จากภายนอก ซานโดรเล่าว่าความสัมพันธ์ของเขากับนิโคลัสและอเล็กซานดราดูเป็นมิตรมาก แต่ภายในเขาไม่ได้สนิทสนมกับซาร์และซาริซาอย่างเช่นเดิม ทุกอย่างดูแย่ลงโดยเฉพาะเมื่อในราชสำนักมีการแตกแยกเป็นสองฝ่าย นั่นคือฝ่ายซาริซาคนเก่า (หมายถึงมาเรีย มารดาของนิโคลัส) และซาริซาคนใหม่ (อเล็กซานดรา)
ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าเชื้อพระวงศ์โรมานอฟที่ประพฤติตัวเหลวแหลกก็มีหลายคน ซานโดรเองก็เข้าข่ายว่าจะเหลวแหลกด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีใครรู้เรื่องของเขา และเขายังไม่ได้แต่งงานกับคนรักใหม่อย่างออกหน้าออกตา ทำให้นิโคลัสยังไม่สามารถลงโทษเขาได้
ซานโดรเองก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาเพิ่มให้กับซาร์แห่งรัสเซียที่กำลังกลัดกลุ้มกับพฤติกรรมฉาวๆ ของสมาชิกในราชวงศ์ระดับสูงอย่างเช่น ไมเคิล และโอลกา น้องชายและน้องสาวแท้ๆ ของนิโคลัสเอง
อย่างไรก็ดี ซานโดรรู้สึกว่าเขาต้องการอยู่กับคนรักใหม่อย่างใกล้ชิด และไม่อยากจะเดินทางไปปารีสเพื่อไปพบเธออีกแล้ว ในปี ค.ศ.1910 ซานโดรเสนอให้หญิงคนรักเดินทางไปออสเตรเลียพร้อมกับเขา โดยเขาจะสละตำแหน่งแกรนด์ดยุค และไปใช้ชีวิตอยู่กับเธอ
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เพราะหญิงคนรักของเขาปฏิเสธข้อเสนออย่างหนักแน่น และขอให้ซานโดรให้ความสำคัญกับการพัฒนาฝูงบินและโรงเรียนการบินให้ดี รวมไปถึงตระหนักถึงสถานะของตนเอง ถ้าซานโดรทำไม่ได้เธอจะไปจากเขาทันที
การปฏิเสธของเธอทำให้ซานโดรได้สติ เขาทุ่มเททุกกำลังให้กับฝูงบินของเขา ในปี ค.ศ.1912 ซานโดรเล่าว่าฝูงบินของเขาดำเนินไปอย่างดีเยี่ยม จนได้รับคำชมอย่างเป็นทางการจากนิโคลัส
เขาเล่าว่าเมื่อได้รับคำชมจากซาร์แห่งรัสเซีย เขารู้สึกปลิ้มปิติมาก เพราะเหมือนกับเป็นการทำให้พวกข้าราชการที่ “หนอนกำลังชอนไช” ตาสว่าง
ชีวิตในปีสุดท้ายก่อนเกิดสงคราม ซานโดรได้เดินทางไปเที่ยวอเมริกา เมื่อเขากลับมาถึงรัสเซีย เขาก็ได้พบว่าผู้คนทั่วไปกำลังพูดถึงว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า อย่างไรก็ดีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดสงครามแต่อย่างใด รัสเซียกำลังพัฒนาศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรมของตนเองอย่างคร่ำเคร่งด้วย
ในปี ค.ศ.1914 ซานโดรได้ทำหน้าที่ส่งบุตรสาวคนโตอย่างอิรินาเข้าพิธีมงคลสมรสกับเจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซูป็อพ ผู้ที่จะเป็นมือสังหารรัสปูตินในอีกเกือบสี่ปีข้างหน้า
ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุขและความสงบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันราบรื่นเกินกว่าที่จะเป็นจริง
แต่ความสงบนี้เองที่จะเป็นความสงบก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมาถึง พายุที่ว่าก็คือ “สงครามโลกครั้งที่ 1”
Sources:
Grand Duke Alexander, Once A Grand Duke
เรื่องนี้เป็นส่วนเสริมของเรื่อง วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ
หนังสืออ้างอิงอยู่ที่นี่