เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในกลางปี ค.ศ.1918 และเป็นหนึ่งในเคสที่มีผู้พูดถึงบ่อยครั้งว่าจะทำอย่างไรให้พวกเขารอดชีวิต ท่านที่สนใจก็ลองคิดตามดูก็ได้ครับ
คุณและครอบครัวเป็นนักโทษอันทรงเกียรติที่สุดในประเทศ “พวกเขา” ไม่มีวันปล่อยให้คุณและครอบครัวหลุดออกไปได้เป็นอันขาด ดังนั้นการรักษาการณ์เพื่อไม่ให้คุณหนีจึงอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเต็มพิกัด
พวกเขาขังคุณอยู่ในคฤหาสน์ที่มีกำแพงสูงใหญ่ล้อมรอบ คุณไม่อาจมองเห็นสิ่งใดๆ นอกกำแพงนั้นได้เลย แม้คุณจะยืนอยู่ที่ชั้นสองก็ตาม ภายในบ้านมีทหารยามเฝ้าคุณและครอบครัวตลอด 24 ชม ออฟฟิศของพวกเขาอยู่ด้านล่าง ส่วนคุณ ครอบครัว และข้าราชบริพารพักอาศัยอยู่ข้างบน แต่ละส่วนของบ้านยังมีหอตรวจการณ์ขนาดเล็กที่เหล่าทหารยามคอยเฝ้าไม่ให้ใครลักลอบเข้ามาได้
เหล่าทหารยามเป็นมิตรกับคุณเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาชอบมานั่งคุยและเล่นเกมกับลูกสาวทั้ง 4 ของคุณ พวกเขาอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นมิตรกับคุณใช้ได้ แต่เขาก็มีความเข้มงวดอยู่บ้าง
อ่อ เกือบลืมบอกไป มีทหารนายหนึ่งตกหลุมรักลูกสาวคนหนึ่งของคุณด้วย และเหมือนว่าลูกสาวของคุณจะมีไมตรีตอบกลับไปเช่นเดียวกัน
คุณเป็นชายวัยกลางคนอายุ 50 ปีเต็ม สุขภาพของคุณสมบูรณ์ดี แต่ในระยะหลัง คุณมีปัญหาเรื่องแผลที่ก้นนิดหน่อย ทำให้คุณนอนไม่สะดวกเท่าใดนัก
ภรรยาของคุณอายุอ่อนกว่าคุณเล็กน้อย ไม่มีใครชอบหน้าเธอเท่าไร เธอมักจะใช้เวลาอยู่เงียบๆ และสวดมนต์ตามรูปแบบของเธอ เธอแข็งแรงดี แต่มักมีอาการแน่นหน้าอกนิดหน่อย
คุณมีลูกสาววัยรุ่นวัย 17-25 ปีจำนวน 4 คน และลูกชายวัย 13 ขวบอีก 1 คน ลูกสาวทุกคนแข็งแรงดี แต่ลูกชายวัย 13 ปีของคุณเป็นโรคฮีโมฟีเลีย นั่นแปลว่าเขาป่วยบ่อยครั้ง และใช้เวลาส่วนใหญ่นอนอยู่บนเตียง ถ้าเขากระแทกกับอะไรแข็งๆสักอย่าง เขาอาจจะตายได้ในทันที
นอกจากครอบครัวคุณแล้ว คุณยังมีผู้ติดตามอีก 4 คน
คนแรกคือ แพทย์ชราผู้ดูแลคุณมานานปี ในระยะหลังตัวเขากลับป่วยเสียเอง แต่เขาเป็นกันชนที่สำคัญระหว่างคุณกับ “พวกเขา”
คนที่สองคือ พ่อครัววัยกลางคน 1 คน เขาทำอาหารเก่งมาก และมีทักษะในการพลิกแพลงวัตถุดิบอย่างยอดเยี่ยม
คนที่สามคือ คนขับรถวัยกลางคน 1 คน เขาเป็นทหารวังเก่าแก่ที่อยู่กับคุณมานานมาก
คนที่สี่คือ นางกำนัลวัยกลางคนอีก 1 คน
ทั้งสี่คนพร้อมที่จะตายเพื่อคุณทุกเวลา โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้คุณยังมีสุนัขตัวเล็กๆ อีก 3 ตัวที่เลี้ยงเอาไว้
ทรัพย์สินของคุณเหลืออยู่บางส่วน อาทิเช่น เครื่องเพชรที่คุณนำติดตัวมาด้วย แต่คุณไม่มีเงินสดใดๆ เหลืออยู่เลย เพราะถูกริบไปหมดแล้ว
พวกคุณแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเลย แม้กระทั่งในเวลารับประทานอาหาร เวลาที่คุณจะอยู่เป็นส่วนตัวได้มีแค่ เวลาเข้าห้องน้ำกับเวลานอนเท่านั้น
ถึงแม้จะดูเหมือนว่า คุณและครอบครัวถูกตัดจากโลกภายนอก คุณยังได้รับอนุญาตให้พบกับ แพทย์ 1 คน บาทหลวง 1 คนและแม่ชีจากโบสถ์ข้างๆ 1-2 คน แต่คุณไม่อาจจะกำหนดได้ว่าคุณจะได้เจอบุคคลเหล่านี้เมื่อใด เพราะ “พวกเขา” เป็นผู้กำหนด ไม่ใช่คุณ
แม่ชีจากโบสถ์ข้างๆได้รับอนุญาตให้นำอาหารมามอบให้คุณได้ แต่ทุกสิ่งที่เข้ามาในบ้านจะถูกค้นอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมจากพวกทหารยาม
คุณไม่รู้เหตุการณ์ข้างนอกเลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง คุณรู้แต่ว่าผู้คนที่อยู่ในเมืองที่คุณอยู่ไม่เป็นมิตรกับคุณเท่าไรนัก นอกจากนี้คุณยังรู้ว่ามีกลุ่มคนที่พร้อมจะบุกเข้ามาช่วยเหลือคุณอยู่ในเมืองนั้น ด้วยความที่เมืองนี้เป็นเมืองอยู่ในดินแดนตอนเหนือสุดของโลก อากาศในฤดูหนาวจึงเย็นยะเยือก แต่โชคดีในเวลานั้นเป็นฤดูร้อน ทำให้อากาศภายนอกเย็นสบาย
คุณมีเวลาทั้งหมดสองเดือน แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน ผู้บังคับบัญชาทหารยามและพวกทหารยามจะถูกเปลี่ยนเป็นคนที่โหดๆ และเกลียดคุณมาก
คุณจะทำอย่างไรดี เพื่อให้คุณและครอบครัวของคุณรอดชีวิต (ด้านล่างมีต่อ)
.
.
.
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในช่วงสองเดือนสุดท้ายในชีวิตของซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัว ทุกพระองค์ถูกคุมขังโดยพวกบอลเชวิคที่บ้านอิปาติเยฟในเมืองเยกาเตรินเบิร์ก คำถามว่านิโคลัสควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ตนเองและครอบครัวรอดชีวิต เป็นคำถามเชิง what-if หรือ alternate history ที่มีการพูดถึงบ่อยครั้งในสังคมตะวันตก