สำหรับครอบครัวโรมานอฟแล้ว เดือนมิถุนายนที่เข้ามาถึงเป็นเดือนแห่งความกดดัน ทั้งครอบครัวและผู้ติดตามเริ่มมีสุขภาพที่ย่ำแย่ กำลังใจที่มีอยู่เริ่มจะถดถอย ทุกคนรู้ดีว่ามีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยพวกเขาได้
สิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่วาระสุดท้ายของครอบครัวในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1918
ความปั่นป่วนที่เยกาเตรินเบิร์ก
ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ภายในเมืองเยกาเตรินเบิร์กเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สาเหตุคือกองทัพเช็กที่ก่อกบฏและยึดเมือง Chelyabinsk ไว้ได้แล้วกำลังไล่ตีพวกบอลเชวิคในที่ต่างๆ แตกกระเจิง เป้าหมายของพวกเขาคือเยกาเตรินเบิร์ก เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของพวกบอลเชวิคในแถบนี้
กองทัพเช็กที่เป็นกองทัพที่มีประสบการณ์ต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว กองกำลังปลอมๆ ของพวกบอลเชวิคจึงไม่อาจต่อสู้ได้
ข่าวนี้ได้ทำให้พวกที่ต่อต้านบอลเชวิคก่อความวุ่นวายในเมืองเยกาเตรินเบิร์ก วันที่ 8-9 มิถุนายน พวกเรดการ์ดส่วนหนึ่งทิ้งอาวุธและหนีไปเข้ากับกองทัพเช็ก ทำให้กำลังบอลเชวิคที่ป้องกันเมืองมีน้อยลงไปอีก ในวันที่ 10 มิถุนายนก็มีการก่อการชุมนุมและจลาจลครั้งใหญ่ เสียงความวุ่นวายนั้นดังเข้ามาในบ้านอิปาตเยฟ ทำให้นิโคลัสสัมผัสได้ เขาเล่าลงไปในไดอารี่ของเขาว่า
10 มิถุนายน เหตุการณ์ภายนอก…เปลี่ยนไปมาก ผู้คุมของพวกเราพยายามไม่พูดคุยกับพวกเรา ราวกับว่าอะไรบางอย่างมันค่อยดี ใครๆ ก็สัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกและความกังวลในตัวพวกเขา ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!
สามวันต่อมา อัฟดีฟคุยกับนายแพทย์บอทกินว่า เขาและคณะกรรมาธิการโซเวียตกลัวเรื่องการกระทำของฝ่ายต่อต้าน ดังนั้นครอบครัวซาร์อาจจะต้องเดินทางเร็วๆ นี้ และขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า พวกเขาอาจจะต้องเดินทางไปยังมอสโก
รัดชินสกี้ นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชาวรัสเซียวิเคราะห์ประเด็นนี้ว่า คณะกรรมาธิการอูรัลน่าจะต้องการสังหารพวกโรมานอฟระหว่างที่เดินทางมากกว่าที่จะมอบตัวนิโคลัสให้มอสโก เพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการอูรัลถึงกับยอมงัดข้อกับมอสโกเพื่อนำตัวนิโคลัสมาที่นี่ การจะปล่อยตัวนิโคลัสให้มอสโกง่ายๆย่อมเป็นไปได้ยาก พวกเขาน่าจะหาเหตุสังหารครอบครัวโรมานอฟในป่าลึกเหมือนที่ทำกับไมเคิล
ด้วยสาเหตุที่ไม่ปรากฏแน่ชัด อัฟดีฟยังไม่สั่งให้พวกโรมานอฟเดินทางเสียที ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในบ้านอิปาตเยฟต่อไป
แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากความวุ่นวายนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้พวกบอลเชวิคตัดสินใจลงมือกับนิโคลัสและครอบครัวในเวลาต่อมา
ความสัมพันธ์กับพวกทหาร
อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้ว พวกทหารในบ้านอิปาตเยฟส่วนใหญ่เป็นทหารหนุ่มที่ไม่เคยจับปืนมาก่อน บางคนก็มีอายุยังน้อยด้วย ส่วนพวกที่เคยเป็นทหารเก่าก็เคยต่อสู้เพื่อจักรวรรดิรัสเซียมาก่อน ดังนั้นในเนื้อแท้แล้วพวกเขาไม่ได้จงเกลียดจงชังระบอบซาร์เหมือนกับพวกบอลเชวิค
จริงอยู่ว่าพวกโรมานอฟถูกห้ามไม่ให้พูดคุยกับพวกทหาร แต่อัฟดีฟกลับไม่เข้มงวดกับกฎข้อนี้มากนัก นิโคลัสและครอบครัวจึงได้โอกาสในการสานสัมพันธ์กับพวกทหาร
นิโคลัสพูดคุยกับพวกทหารอย่างเป็นมิตร เขามักจะสอบถามความเป็นมาของพวกทหาร ถ้าเคยอยู่ในกองทัพรัสเซียก่อนปี ค.ศ.1917 นิโคลัสจะบอกพวกเขาว่า “ทหารของฉัน” แต่ถ้ามาหลังจากนั้น นิโคลัสจะเรียกว่า “พวกเด็กๆ”
เหล่าสี่สาวโรมานอฟเองก็ไม่ต่างกัน พวกเธอมักจะพูดคุยกับเหล่าทหาร อายุของพวกเธอกับพวกเขาก็ใกล้เคียงกันด้วย ทำให้การพูดคุยยิ่งง่ายดายเข้าไปใหญ่
สำหรับพวกทหารแล้ว นิโคลัสและครอบครัวโรมานอฟในความคิดของพวกเขาตอนแรกกับตัวเป็นๆ ที่ได้สัมผัสช่างต่างกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ครอบครัวโรมานอฟเป็นครอบครัวง่ายๆที่ไม่ถือตัวและหยิ่งยโส
นั่นทำให้พวกทหารเริ่มมีไมตรีให้ครอบครัวโรมานอฟทีละน้อย โดยเฉพาะต่อเหล่าสี่สาวโรมานอฟ
นานวันเข้า นอกจากอ่านหนังสือแล้ว นิโคลัสจะใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกับเหล่าทหาร ทำให้เขาทราบถึงข่าวสารต่างๆ จากโลกภายนอก บางวันนิโคลัสถึงกับไปเล่นเกมและสูบบุหรี่ในห้องพักของพวกทหารเลยทีเดียว
ในวันหนึ่งนิโคลัสจำได้ว่าทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเคยเป็นทหารที่เคยร่วมอยู่ในกองอารักขาเขาที่คอเคซัส หลังจากนั้นทหารคนนี้ได้คอยช่วยเหลือครอบครัวโรมานอฟหลายๆอย่าง จนกระทั่งพวกบอลเชวิคทราบเรื่อง ทหารคนนั้นจึงถูกสั่งให้ไปรบในสมรภูมิแทน
สำหรับสี่สาว (อาจจะยกเว้นโอลกาเพราะเธอป่วย) พวกเธอมักจะมานั่งพูดคุยและดื่มชากับพวกทหาร พวกเธอมักถามคำถามเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเขา และพูดถึงความหวังของพวกเธอที่จะได้ลี้ภัยไปยังอังกฤษ ความสนิทสนมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกทหาร “ลามปาม” โดยไม่ตั้งใจ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเขาเล่นมุกตลกบางอย่างที่ลามปาม ทำให้ทาเทียน่าถึงกับหน้าซีดและวิ่งหนีออกไป มาเรียจึงต้องมาดุด่าพวกทหารแทนที่พี่สาวของเธอ เธอกล่าวว่า
ทำไมคุณถึงไม่รังเกียจตัวเองเมื่อคุณใช้ถ้อยคำที่น่าอับอายเช่นนั้น ทำไมคุณถึงคิดว่าสามารถเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวที่มีชาติตระกูลที่ดีด้วยคำล้อเลียนอย่างนั้น แล้วคุณหวังจะให้เธอมีไมตรีตอบคุณได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์โดยรวมก็ถือว่าดีมากและพัฒนาไปในทางบวก แต่นั่นไม่สามารถทำให้พวกทหารฝ่าฝืนคำสั่งของพวกบอลเชวิคได้ พวกเขาถูกสั่งให้ค้นบ้านและริบทรัพย์สินของพวกโรมานอฟที่นำมาจากทาบอสค์ไปจำนวนมาก ถึงแม้ว่าในใจอาจจะไม่ต้องการทำก็ตาม
กรณีแผนที่
นอกจากปล่อยให้พวกทหารพูดคุยกับครอบครัวโรมานอฟแล้ว อัฟดีฟเองก็เริ่มปล่อยปละละเลยหลายๆ อย่าง ส่วนหนึ่งก็เพราะนิโคลัสเองที่ดูอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัย
หากแต่ว่าเหตุการณ์หนึ่งได้ทำให้อัฟดีฟโกรธมาก
เรื่องมีอยู่ว่า ครอบครัวโรมานอฟมักจะส่งจดหมายจำนวนมากให้กับญาติพี่น้องและเพื่อนๆ อยู่เสมอ จดหมายเหล่านี้จะถูกเปิดอ่านอย่างเข้มงวดโดยพวกบอลเชวิค
หากแต่ว่าการที่อัฟดีฟปล่อยปละละเลย นั่นหมายความว่าน่าจะมีช่วงหนึ่งที่เขาขี้เกียจ และไม่ได้อ่านจดหมายอย่างจริงจัง แต่อยู่มาวันหนึ่งอัฟดีฟกลับมาตรวจสอบจดหมายและพบว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งของนิโคลัสที่ส่งตรงถึง แกรนด์ดยุคนิโคลัส หรือ นิโคลาชา
เนื้อความในจดหมายฉบับนี้ อัฟดีฟมองปราดเดียวก็รู้ว่ามีปัญหา
ภายในจดหมายฉบับนั้นมีภาพสเก็ตช์ของบ้านอิปาตเยฟอย่างละเอียด และระบุไว้อย่างชัดเจนว่าแต่ละห้องมีอะไรบ้าง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นิโคลัสจงใจเขียนขึ้นเพื่อให้บุคคลจากภายนอกเข้ามาช่วยเหลือตนเอง
อัฟดีฟเดินมาหานิโคลัสด้วยความโกรธจัด นิโคลัสกลับปฏิเสธหน้าตายว่าเขาไม่ทราบเรื่อง อัฟดีฟจึงกล่าวว่าไม่ว่าใครก็ดูออกว่านี่เป็นลายมือของนิโคลัสอย่างชัดเจน นิโคลัสเห็นอัฟดีฟทำท่าจะเอาเรื่อง เขาจึงยอมรับสารภาพ และให้สัญญาว่าจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก
อัฟดีฟได้แต่บอกนิโคลัสว่า ถ้าเขาผิดสัญญา นิโคลัสจะถูกส่งตัวไปอยู่ในคุก
กรณีนี้เองก็เป็นอีกแค่หนึ่งที่ดูเหมือนเป็นการเตือนพวกบอลเชวิคอย่างแรงๆ ว่า พวก “นักโทษ” ไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่คิดไว้ พวกเขายังพยายามที่จะปลดปล่อยตัวเองอยู่
จดหมายลับ
ในเดือนมิถุนายนเช่นเดิม ครอบครัวโรมานอฟได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง โดยทหารรักษาการณ์นายหนึ่งเป็นผู้มอบมันให้กับนิโคลัส แต่บ้างว่ามันมาพร้อมกับขวดนมที่เหล่าแม่ชีฝากมาให้ครอบครัวโรมานอฟ
จดหมายจ่าหน้าถึงอเล็กซานดรา เธอจึงเป็นผู้อ่านจดหมายดังกล่าว เธอพบว่ามันมาจาก “เหล่านายทหารในกองทัพรัสเซีย” หรือ “พวกเขา” เมื่อเห็นเช่นนั้นเธอรู้สึกตื่นเต้นมาก
ภายในจดหมายบอกอเล็กซานดราว่ามีนายทหารผู้จงรักภักดีกำลังมาช่วยเหลือเธอ “พวกเขา” ไม่สามารถระบุตัวตนได้ แต่โดลโกรูคอฟและทาทิชเชฟรู้จัก “พวกเขา”
อเล็กซานดราเชื่อในจดหมายฉบับนั้นอย่างสนิทใจ เธอขอให้นิโคลัสตอบจดหมายนั้นกลับไป ถึงแม้จดหมายดังกล่าวน่าสงสัย เพราะว่าเขียนผิดไวยากรณ์และคำศัพท์ที่ไม่ควรจะผิดหลายจุด
นิโคลัสตอบจดหมายในทันที และส่งจดหมายดังกล่าวในภาชนะที่ส่งกลับไปให้แม่ชี หลังจากที่พวกโรมานอฟกินเสร็จแล้ว
ในวันเดียวกันก็มีจดหมายเข้ามาอีกฉบับหนึ่ง “นายทหารแห่งกองทัพรัสเซีย” ได้ขอให้นิโคลัสทำอย่างไรก็ได้เพื่อที่จะเปิดหน้าต่างเพิ่มบานใดบานหนึ่ง และให้ระบุในจดหมายด้วยว่าบานไหน
เป็นเรื่องน่าแปลกที่จู่ๆ ในวันรุ่งขึ้น หน้าต่างบานหนึ่งก็เปิดขึ้นเอง ราวกับว่าพระเจ้าเป็นผู้เปิดมัน
นิโคลัสจึงรีบตอบกลับไปทันทีว่าหน้าต่างบานที่สองจากหัวมุมบ้านได้เปิดแล้ว และยังให้รายละเอียดทุกอย่างในบ้านด้วยว่ามีการระวังป้องกันตรงไหนบ้าง
ข้อความที่นิโคลัสได้รับกลับมาก็คือ “พวกเขา” ขอให้พวกโรมานอฟทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ทุกคนควรใส่เสื้อผ้าที่พร้อมจะออกไปข้างนอกเวลากลางคืน และคอยเงี่ยหูฟังเสียงนกหวีดตอนเที่ยงคืน
อย่างไรก็ตาม “พวกเขา” ขอให้นิโคลัสระวังตัวอย่างมาก เพราะพวกบอลเชวิคอาจจะทำอะไรก็ได้ในช่วงเวลาที่จะมีการช่วยเหลือ “พวกเขา” จะลงมือเมื่อแน่ใจว่าทำสำเร็จเท่านั้น
อเล็กซานดราจึงให้ทุกคนเตรียมตัวอย่างที่ “พวกเขา” บอกมา แต่รอไปหลายคืนก็ไม่มีเสียงนกหวีดดังขึ้นมาแต่อย่างใด
ความจริง
ความจริงแล้วไม่มีใครมาช่วยนิโคลัสและครอบครัวทั้งนั้น ทั้งหมดคือแผนการของพวกบอลเชวิค!
จดหมายทั้งหมดเป็นแผนการของพวกบอลเชวิคเองที่จะทดสอบนิโคลัสว่า เขายังมีความอันตรายต่อพวกบอลเชวิคเพียงใด
พวกบอลเชวิครู้ดีว่าพวกชนชั้นสูงชาวรัสเซียใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสาร ดังนั้นเพื่อให้แนบเนียน จดหมายดังกล่าวควรจะเป็นภาษาฝรั่งเศส วอยคอฟ หนึ่งในพวกเชกาสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสได้อย่างพอใช้ เขาจึงถูกสั่งให้ทำหน้าที่นี้
เขาจึงปลอมแปลงจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาและลงนามว่า “เหล่านายทหารในกองทัพรัสเซีย” เพื่อดูว่านิโคลัสจะตอบอย่างไร ซึ่งผลที่ออกมาคือนิโคลัสให้การร่วมมือเป็นอย่างดี มันจึงแสดงให้เห็นว่านิโคลัสยังต้องการที่จะหลบหนีอยู่ และแปลว่าเขายังเป็นตัวอันตรายของพวกบอลเชวิค
หน้าต่างที่เปิดออกย่อมแน่นอนว่าเป็นการกระทำของพวกบอลเชวิคเองที่จงใจเล่นละครเพื่อหลอกนิโคลัส ไม่ใช่การกระทำของพระเจ้าอย่างที่อเล็กซานดราคิด นอกจากนี้โดลโกรูคอฟและทาทิชเชฟที่พวกเขาอ้างถึงก็กลายเป็นศพไปแล้ว แม้พวกโรมานอฟจะยังไม่รู้ก็ตาม
ดูเหมือนว่านิโคลัสและอเล็กซานดราหลงกลพวกบอลเชวิคอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตามรัดซินสกี้ได้มองเรื่องนี้อย่างแตกต่างออกไป เขามองว่านิโคลัสน่าจะมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าจดหมายฉบับนั้นเป็นของปลอม เพราะพวกนายทหารต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างคล่องแคล่ว และไม่ผิดง่ายๆ เช่นนี้แน่ๆ ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกได้
แต่นิโคลัสตอบไปเช่นนั้นเพื่อจะหาเรื่องให้พวกบอลเชวิคสังหารเขาเสียในฐานะที่เป็นตัวปัญหา นิโคลัสหวังว่าพวกบอลเชวิคจะปล่อยตัวครอบครัวของเขาเป็นอิสระ เพราะว่าพวกเธอไม่มีพิษมีภัยอันใด
หลักฐานที่ใช้สนับสนุนทฤษฎีนี้คือ นิโคลัสเขียนเล่าเรื่องที่จะมีผู้มาช่วยทั้งหมดไว้ในไดอารี่ของเขา ราวกับว่าต้องการให้พวกบอลเชวิคมาอ่านและสังหารเขาเสีย ทั้งๆที่นิโคลัสรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ควรเป็นความลับ และพวกบอลเชวิคชอบแอบเปิดอ่านไดอารี่ของเขาอยู่แล้ว
นิโคลัสเองก็เคยกล่าวไว้ว่า
ไม่มีการเสียสละใดที่ฉันทำไม่ได้
ทั้งหมดนี้เป็นปริศนา ไม่มีใครรู้แน่ชัดนอกจากตัวนิโคลัสเองว่าเขาคิดอะไรในเวลานั้น
แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกบอลเชวิคมั่นใจมากขึ้นว่าจะต้องกำจัดครอบครัวโรมานอฟ
อ่านตั้งแต่ตอนแรกและติดตามตอนต่อไปได้ที่ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ หรือติดตามตอนที่ 22 ได้ที่นี่
หนังสืออ้างอิงอยู่ ที่นี่