ราชินีมิน (Queen Min) หรือ จักรพรรดินีมยองซอง (Empress Myeongseong) เป็นจักรพรรดินีพระองค์สุดท้ายของเกาหลี ราชินีมินเป็นผู้ปกครองที่มีความสามารถและรักบ้านเกิดเมืองนอนของเธอเหนือสิ่งอื่นใด
ราชินีมินตระหนักว่าโชซอน (เกาหลี) อ่อนแอและกำลังประสบกับภัยคุกคามอย่างหนักหน่วงจากญี่ปุ่น ราชินีมินจึงพยายามช่วยเหลือกษัตริย์โกจงแห่งโชซอน (Gojong of Joseon) พระสวามีในการปฏิรูปประเทศให้เข้มแข็งขึ้นในทุกๆด้าน และพยายามเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศเพื่อคานอำนาจญี่ปุ่น ทำให้ราชินีมินกลายเป็นหัวหน้าของกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นในโชซอนไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้ชาวญี่ปุ่นจึงเห็นว่าราชินีมินเป็นปรปักษ์สำคัญของการขยายอำนาจของญี่ปุ่น เหล่านายทหารและที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่นในเกาหลีต่างต้องการจะหาทางกำจัดราชินีมินเสีย ไม่ต่างอะไรกับที่พวกเขาจัดการกับนักการเมืองสายพิราบในประเทศตัวเองในเวลาต่อมา
ปูมหลัง
ในเดือนกันยายน ค.ศ.1895 มิอูระ โกโระได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำดินแดนเกาหลีแทนที่ อิโนะอุนะ คาโอรุ มิอูระผู้นี้ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรทางการทูต เขามีหัวอนุรักษ์นิยมและสนับสนุนการขยายอำนาจของญี่ปุ่นด้วยการใช้ความรุนแรง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มิอูระสนับสนุนให้รัฐบาลญี่ปุ่นเปลี่ยนเกาหลีเป็นรัฐในอารักขามาโดยตลอด
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีเจตนาอะไรในการส่งคนอย่างมิอูระเข้ามาเป็นรัฐมนตรีที่เกาหลี
ก่อนที่เดินทางออกจากญี่ปุ่น มิอูระบอกนักข่าวว่า
ตำแหน่งรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในความยากลำบาก แต่ฉันคิดว่ามันเหมาะสมที่จะลองใช้ทฤษฎีทางการทูตของฉัน
ภายในไม่กี่เดือน เราจะได้รู้ว่า “ทฤษฎีทางการทูต” ของมิอูระหมายความว่าอย่างไร
เมื่อมิอูระมาถึงเกาหลี เขาพบว่าเกาหลีกำลังอยู่ในสภาพแตกแยกอยู่แล้ว ราชินีมินและผู้สนับสนุนกำลังทำทุกวิธีทางในการกำจัดอิทธิพลของญี่ปุ่น เธอพยายามนำจักรวรรดิรัสเซียเข้ามาในเกมการเมืองในเกาหลี ทำให้ราชินีมินขัดแย้งกับกลุ่มสนับสนุนญี่ปุ่น และกลุ่มที่ต่อต้านการปฏิรูปที่นำโดยแดวอนกุน บิดาของกษัตริย์โกจงเป็นอย่างมาก
ต่อมาไม่นาน มีข่าวว่าราชินีมินกำลังจะให้มีการสลายกองทหารฮูลยอนแด (훈련대) ซึ่งเป็นกองทหารที่ฝึกฝนโดยญี่ปุ่น มิอูระมองว่าราชินีมินพยายามกวาดล้างกลุ่มสนับสนุนญี่ปุ่นในเกาหลี เพื่อเปิดทางให้กองทัพรัสเซียเข้ามาในเกาหลีในไม่ช้า
ความสัมพันธ์ของราชสำนักเกาหลีและฝ่ายญี่ปุ่นจึงเลวร้ายลงมาก มิอูระตัดสินใจว่าเขาจะต้องใช้วิธีเด็ดขาดในการจัดการกับราชินีมินและปกป้องผลประโยชน์ของญี่ปุ่น นั่นคือการลอบสังหารนั่นเอง
แต่การจะทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะราชินีมินพำนักอยู่ในวังและมีการอารักขาอย่างเข้มงวด
มิอูระจึงดึงแดวอนกุนมาเป็นพันธมิตร แดวอนกุนเองก็เห็นราชินีมินเป็นศัตรูอยู่แล้วจึงตอบตกลง ทั้งๆ ที่จริงๆแล้วราชินีมินเป็นลูกสะใภ้ของตัวแดวอนกุนเองด้วยซ้ำไป
อนึ่งที่มิอูระต้องการดึงแดวอนกุนเข้ามาร่วมด้วยนั้นมีเหตุผลอยู่สองประการ
- การลอบสังหารจะได้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องภายในของเกาหลี มิอูระและญี่ปุ่นจะได้ใช้แดวอนกุนเป็นไม้กันหมา ถ้าถูกโจมตีว่าเป็นผู้สังหารราชินีมิน
- ฝ่ายญี่ปุ่นจะได้ใช้กองทหารฮูลยอนแดที่จงรักภักดีต่อแดวอนกุนนับพันคนในการบุกเข้าวังเพื่อสังหารราชินีมิน
ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1895 มิอูระได้ทราบข่าวจากอันคยองซู รัฐมนตรีกระทรวงสงครามของเกาหลีว่า ราชสำนักเกาหลีกำลังจะยุบกองทหารฮูลยอนแดในไม่ช้า และจะให้มิน ยองอิก ที่เป็นเสนาบดีที่สนับสนุนรัสเซียมาช่วยบริหารราชการแผ่นดิน
ข่าวที่ได้รับการยืนยันเช่นนั้น ทำให้มิอูระตัดสินใจว่าการลงมือจะต้องเกิดขึ้นเร็วที่สุด นั่นคือในคืนวันนั้น
มิอูระเลือกที่ไม่แจ้งรัฐบาลโตเกียวให้ทราบถึงสิ่งที่เขากำลังจะทำลงไป เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำในทันที
การบุกสังหารราชินีมิน
เย็นวันที่ 7 ตุลาคม ตามแผนการกองทหารฮูลยอนแดจะเข้าโจมตีพระราชวังและบุกเข้าไปสังหารราชินีมิน แต่มิอูระกลับลังเลเพราะคิดว่าเพียงแค่กองทหารฮูลยอนแดอาจจะลงมือไม่สำเร็จ ดังนั้นมิอูระจึงสั่งให้ตำรวจญี่ปุ่นและพวกโรนินทั้งหมดรวมแล้วอีกอย่างน้อย 50 คนเข้าร่วมการสังหารด้วย
เช้าตรู่ของคืนวันที่ 8 ตำรวจญี่ปุ่นปีนกำแพงพระราชวังเคียงบ็อกของเกาหลีเข้าไปในวัง และเปิดประตูพระราชวังจากข้างใน เพื่อให้กองทหารฮูลยอนแดและพวกโรนินญี่ปุ่นบุกเข้าไปในวังได้
พวกกองทหารฮูลยอนแดเข้าสัประยุทธ์กับทหารรักษาวังที่ประตูกวางฮวามุน ทำให้อีคยองซิก เสนาบดีกรมวังถูกสังหาร ระหว่างนั้นเองพวกโรนินญี่ปุ่นก็บุกเข้าพระราชวังชั้นในเพื่อหาตัวราชินีมิน
พวกโรนินญี่ปุ่นพบราชินีมินในที่สุด พวกเขาสังหารราชินีมินด้วยการใช้ดาบแทงสังหารพร้อมกับนางกำนัลอีกสองนาง ร่างของราชินีมินถูกลากออกไปที่สวนใกล้เคียง และเผาด้วยน้ำมันเพื่อทำลายหลักฐาน ราชินีมินจึงสิ้นพระชนม์ในคืนวันนั้น เธอมีอายุเพียง 43 ปีเท่านั้น
ผลที่ตามมา
การสิ้นพระชนม์ของราชินีมินได้ทำให้แดวอนกุนกลับเข้ามามีอำนาจ และนำพวกที่สนับสนุนญี่ปุ่นมากมายเข้ามานั่งเป็นรัฐมนตรี เกาหลีตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์ และต่อมาก็ตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นในท้ายที่สุด
มิอูระพยายามโกหกหน้าตายว่าตนเองและญี่ปุ่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ไม่มีใครเชื่อเลยสักคนเดียว เพราะคนมากมายรวมไปถึงเจ้าหน้าที่อเมริกันและรัสเซียต่างเห็นว่าโรนินญี่ปุ่นหลายสิบคนบุกเข้าไปในพระราชวังเคียงบ็อกในคืนวันนั้น เหล่านางในเองก็เห็นว่าพวกโรนินญี่ปุ่นลากร่างราชินีของตนไป
สถานทูตญี่ปุ่นรีบชี้แจงนานาประเทศว่า
การสังหารถูกกระทำโดยชาวเกาหลีที่แต่งกายเป็นชาวญี่ปุ่นในชุดตะวันตก
คำชี้แจงไม่ต่างอะไรกับการ “แถ” ทูตชาวอเมริกันที่เห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นตอบโต้ในประเด็นนี้ว่า
คำชี้แจงมันน่าตลกเกินกว่าที่จะโต้แย้ง
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าไม่มีประเทศไหนเชื่อเลย สุดท้ายรัฐบาลญี่ปุ่นจึงต้องประกาศว่าทุกอย่างเป็นการกระทำจาก “ทฤษฎีการทูต” ของมิอูระแต่เพียงผู้เดียว และปลดมิอูระออกจากตำแหน่ง พร้อมกับนำตัวกลับไปยังญี่ปุ่นเพื่อขึ้นศาลทันที
ในเวลาต่อมามิอูระและพรรคพวกรวม 56 คนถูกศาลฮิโรชิมานำตัวขึ้นศาลเพื่อเข้ารับการไต่สวน การนำมิอูระมาไต่สวนก็เป็นเพียงการกระทำของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องการให้โลกเห็นว่าได้ลงโทษมิอูระแล้วเท่านั้น เห็นได้ชัดจากคำตัดสินที่ออกมา
มิอูระและพรรคพวกทุกคนต่างได้รับการยกฟ้อง แม้ตัวมิอูระเองจะได้รับสารภาพในชั้นศาลว่าเป็นผู้ลงมือก็ตาม ศาลญี่ปุ่นตัดสินยกฟ้องโดยอธิบายว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดกับมิอูระและพรรคพวก ซึ่งเป็นเรื่องน่าขันอีกเช่นเดียวกัน เพราะทั้งหลักฐานและพยานมีมากมายนับไม่ถ้วน
การสังหารราชินีมินทำให้กระแสต่อต้านญี่ปุ่นเกิดขึ้นทั่วทั้งเกาหลีใน ณ เวลานั้น ในปี ค.ศ.1909 มือสังหารชาวเกาหลีได้ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี อิโตะ ฮิโระบุมิของญี่ปุ่น หนึ่งในข้ออ้างที่เขาใช้เพื่อเป็นเหตุผลในการสังหารคือเพื่อต้องการล้างแค้นให้ราชินีมิน
กษัตริย์โกจงเสียใจมากกับการจากไปของราชินีมิน โกจงใช้เวลาอยู่คนเดียวอยู่หลายสัปดาห์ก่อนจะโปรดให้มีการจัดพิธีศพให้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ในเวลาต่อมาการลอบสังหารครั้งนี้มีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ว่า “Eulmi Incident“
ปัจจุบันผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงอยู่ ในปี ค.ศ.2009 องค์กรเกาหลีหลายแห่งยังพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลญี่ปุ่นขอโทษอย่างเป็นทางการต่อกรณีการสังหารราชินีมิน เราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการสังหารครั้งนี้มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์เกาหลี-ญี่ปุ่นเลวร้ายมาจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตของราชินีมินรวมไปถึงเหตุการณ์การลอบสังหารได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครเพลง และซีรีส์หลายครั้งในเกาหลีใต้
Sources:
Duus, The Abacus and The Sword