ประวัติศาสตร์พระอุทายี: ภิกษุจอมแสบแห่งพุทธกาล ผู้นำมาซึ่งศีลพระจำนวนมาก

พระอุทายี: ภิกษุจอมแสบแห่งพุทธกาล ผู้นำมาซึ่งศีลพระจำนวนมาก

โดยส่วนมากแล้ว ในวิชาพระพุทธศาสนาที่เราเรียนกันมา เรามักจะได้เรียนแต่ภิกษุที่มีคุณธรรมดี มีสติปัญญามาก และเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด แต่มีภิกษุอยู่รูปหนึ่งที่ก่อเรื่องมากมาย นำมาสู่การบัญญัติสิกขาบทจำนวนมากของพระพุทธเจ้า ทำให้ในปัจจุบันภิกษุมีศีลมากถึง 227 ข้อ

พระรูปนี้คือ พระอุทายี เมื่อรวมกับฉายาแล้ว พระรูปนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า พระโลลุทายี (อุทายี จอมเลอะเทอะ บ้างว่าอุทายีจอมโลเล) เพื่อแยกออกจากพระอรหันต์ที่ชื่อเหมือนกันอีกสองรูป

พระอุทายีจอมเลอะเทอะผู้นี้จริงๆแล้วเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แต่เป็นคนฉลาดแบบศรีธนญชัย เพราะเขาชอบหาข้อว่างของสิกขาบทไปก่อเรื่องได้ตลอด เรื่องเหล่านี้ปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก ซึ่งมีการเล่าถึงว่าสิกขาบทของพระภิกษุแต่ละข้อที่บัญญัติโดยพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด ช่วงที่ผมบวชอยู่ 15 วัน ผมมีโอกาสได้อ่านพอดี แต่ละเรื่องบันเทิงเป็นอย่างยิ่ง ในที่นี้จึงขอนำเสนอเรื่องเด่นของท่าน

ฆ่าสัตว์

พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระอุทายีผู้นี้ก็อยู่ที่วัดนี้ด้วย มีอยู่วันหนึ่งฝูงนกกาบินไปบินมา ทำให้พระอุทายีรำคาญ พระอุทายีจึงใช้ธนูระดมยิงเข้าใส่พวกมัน ด้วยความที่พระอุทายียิงแม่นมากๆ นกกาเลยร่วงหล่นลงมาตายมากมาย

ถึงแม้นกกาจะตายไปแล้ว พระอุทายียังไม่หนำใจ เขาจึงตัดศีรษะพวกนกพวกกามาเสียบหลาวแล้วเรียงได้ติดๆกันราวกับว่าเป็นการตั้งโชว์

ภิกษุรูปอื่นไปถามว่าใครฆ่าพวกนกเหล่านี้ พระอุทายีก็รับตรงๆ ว่าตนเองเป็นคนฆ่า เพราะว่าไม่ชอบพวกนกพวกกา เหล่าภิกษุเหล่านั้นจึงโพนทะนาเรื่องนี้กันใหญ่จนสุดท้ายไปเข้าพระกรรณพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกพระอุทายีมาพบและไต่ถามว่า พระอุทายีกระทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ พระอุทายีรับว่าจริง พระพุทธเจ้าทรงติเตียนพระอุทายี หลังจากนั้นพระองค์บัญญัติสิกขาบทว่า

อนึ่ง ภิกษุใด แกล้งพรากสัตว์จากชีวิต เป็นปาจิตตีย์

พระวินัยปิฏก เล่มที่ 2 มหาวิภังค์ ภาค 2

หลังจากนี้ภิกษุใดที่ฆ่าสัตว์จะต้องอาบัติปาจิตตีย์ ซึ่งเป็นอาบัติอย่างกลาง พระอุทายีรอดเพราะว่าเป็นภิกษุคนแรกที่กระทำผิด แต่ถ้าทำครั้งต่อไปไม่รอดแล้ว

เรื่องเพศ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พีคที่สุดของพระอุทายีเลยก็ว่าได้ เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทในหมวดสังฆาทิเสส ซึ่งเป็นอาบัติหนักที่รองจากปาราชิกเพียงอย่างเดียว ถึง 5 ข้อ จากทั้งหมด 13 ข้อ

สิกขาบททั้ง 5 ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่เกิดจากหลากหลายเหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่งล้วนแต่เกิดจากพฤติกรรมผิดๆ ของพระอุทายี ถ้ายกมาทั้งหมดน่าจะยาวเกินไป จึงขอเสนอตัวอย่างคร่าวๆ เพียงสองเรื่องนี้

ปล่อยสุกกะ

สุกกะที่นี้เป็นภาษาบาลีแปลว่า อสุจิ การปล่อยสุกกะจึงแปลว่า การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

เหตุการณ์เกิดขึ้นในวัดเดิม นั่นก็คือ วัดเชตวัน ที่กรุงสาวัตถี มีพระอยู่รูปหนึ่งชื่อ พระเสยยกะ พระรูปนี้ดูซูบผอม ไม่กระปรี้กระเปร่า เพราะว่ายังเป็นพระหนุ่มที่ยังมีความต้องการทางเพศ

พระอุทายีเห็นเช่นนั้นจึงแนะนำว่า ให้พระเสยยกะฉันอาหารตามแต่ที่ชอบเลย จำวัดให้พอ สรงน้ำให้พอ หลังจากนั้นถ้าเกิดอารมณ์ทางเพศก็จงใช้มือสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง

พระเสยยกะได้ฟังก็สงสัยว่าตนเองควรทำเช่นนั้นหรือ พระอุทายีจึงบอกว่า ควร เพราะตนเองก็ทำเช่นนั้น พระเสยยกะจึงทำตามที่พระอุทายีบอก หลังจากนั้นเขาก็สดชื่นขึ้น หน้าตาก็สดใส พอพระรูปอื่นเห็นเข้าเลยถามว่า พระเสยยกะทำยาอะไรฉัน ทำไมยาดีจัง

พระหนุ่มตอบกลับว่า ไม่ได้ทำอะไรฉัน แต่หลังจากฉันอาหารแล้ว สรงน้ำแล้ว จำวัดแล้ว เขาได้ใช้มือสำเร็จความใคร่ทางเพศ พระรูปอื่นได้ฟังจึงนำพระเสยยกะไปติเตียนกันยกใหญ่ จนเรื่องทราบมาถึงพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงเรียกพระเสยยกะไปติเตียน และบัญญัติสิกขาบทว่า

ปล่อยสุกกะเป็นไปด้วยความจงใจ เป็นสังฆาทิเสส

พระวินัยปิฏก เล่มที่ 1 มหาวิภังค์ ภาค 1

ลูบไล้และแทะโลมสตรี

มีอยู่วันหนึ่ง พระอุทายีอยู่ในป่า วิหารของพระอุทายีสวยงามน่าชม ประชาชนโดยรวมจึงเดินทางมาชมวิหารของท่าน พราหมณ์ชายและหญิงที่เป็นสามีภรรยากันก็ได้มาขอพระอุทายีชมด้วย พระอุทายีก็อนุญาต

พระอุทายีเดินนำหน้าพราหมณ์ชายหญิงเข้าไปในวิหาร ระหว่างที่ทั้งสองชมวิหาร พระอุทายีแสร้งทำเป็นไปปิดหน้าต่าง แล้วเดินย้อนมาด้านหลังเพื่อฉวยโอกาสลูบไล้จับโน่นจับนี่ของพราหมณ์หญิง

เมื่อออกมาจากวิหาร พราหมณ์ชายไม่ทราบเรื่องจึงชมเชยพระอุทายีว่ามีอัธยาศัยดี แต่พราหมณ์หญิงกลับพูดขึ้นว่า พระอุทายีได้ลวนลามเธอด้วยการจับส่วนต่างๆ ของร่างกายเธอ พราหมณ์ชายทราบเช่นนั้นจึงติเตียนพระอุทายีและพระสงฆ์โดยรวมอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ความจึงทราบไปถึงภิกษุรูปอื่นๆ และพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าจึงทรงเรียกพระอุทายีไปติเตียนอย่างยาวมาก และบัญญัติสิกขาบทว่า

อนึ่ง ภิกษุใดกำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว ถึงความเคล้าคลึงด้วย กายกับมาตุคาม คือจับมือก็ตาม จับช้องผมก็ตาม ลูบคลำอวัยวะอันใดอันหนึ่งก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

เรื่องวิหารนี้ยังไม่จบ สตรีจำนวนมากยังมาขอพระอุทายีชมวิหารนั้นอยู่ดี พระอุทายีเองก็ให้ แต่ครั้งนี้ไม่ลวนลามทางกายแล้ว เพราะมีสิกขาบทตั้งไว้แล้ว แต่เปลี่ยนไปลวนลามทางคำพูดแทน พระอุทายีใช้คำพูดแทะโลมและวิพากษ์วิจารณ์ร่างกายของสตรีเหล่านั้น สตรีบางคนเล่นด้วยก็เล่นหูเล่นตากับพระอุทายี ส่วนบางคนก็รีบกลับออกไป และเม้าท์มอยพระอุทายีว่า ถ้าสามีพูดยังไม่ชอบ แล้วนับประสาอะไรกับพระอุทายี

สุดท้ายเรื่องก็ไปถึงพระพุทธเจ้าเช่นเดิม พระอุทายีโดนติเตียนยกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทใหม่ว่า

อนึ่ง ภิกษุใด กำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ เหมือนชายหนุ่มพูดเคาะหญิงสาวด้วยวาจาพาดพิงเมถุน เป็น- *สังฆาทิเสส.

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

เป็นพ่อสื่อ

เหตุเกิดที่เมืองสาวัตถีตามเดิม พระอุทายีมีผู้เข้าไปพบจำนวนมาก พอเห็นลูกศิษย์ลูกหาชายที่ยังไม่มีภรรยา พระอุทายีก็จะเชียร์ว่ามีลูกสาวของบ้านโน้น หน้าตาดี พูดจาคมคายเฉลียวฉลาด ควรแก่ลูกศิษย์ชายผู้นี้ ญาติพี่น้องของลูกศิษย์หนุ่มก็จะบอกว่า ขอให้พระอุทายีทาบทามให้หน่อย พระอุทายีจึงบอกแก่ครอบครัวหญิงสาวว่า ลูกศิษย์หนุ่มหน้าตาดี ฉลาด ขยัน

เรื่องเป็นเช่นนี้เรื่อยไป หนุ่มสาวหลายคู่จึงได้แต่งงานกัน เพราะพระอุทายี จนกระทั่งวันหนึ่ง

มีสาวกของอาชีวกมาสู่ขอธิดาของหญิงม่ายคนหนึ่ง หญิงม่ายคนนั้นไม่ยอมยกให้ สาวกผู้นั้นจึงไปขอให้พระอุทายีช่วยเหลือ พระอุทายีไปเจรจาให้หญิงม่ายยกลูกสาวให้ โดยบอกว่าพระอุทายีรู้จักครอบครัวฝั่งชายเป็นอย่างดี หญิงม่ายได้ฟังเช่นนั้นเลยยินยอมให้ลูกสาวแต่งงานกับสาวกของอาชีวกผู้นั้น

ครอบครัวฝ่ายชายเลี้ยงดูเธอในฐานะสะใภ้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ต่อมาก็ปฏิบัติกับเธอราวกับว่าเป็นคนใช้ หญิงม่ายจึงไปขอร้องให้ดูแลลูกสาวตนอย่างดีตามที่รับปากไว้ แต่กลับถูกปฏิเสธ หญิงม่ายเดินทางไปขอพระอุทายีให้ช่วยเหลือ แต่ฝ่ายชายกลับไม่ฟังพระอุทายีแล้ว พร้อมกับไล่พระอุทายีออกมาด้วยอีกคนหนึ่ง

เมื่อพระอุทายีถูกไล่ออกมา เขาจึงปฏิเสธหญิงม่ายว่าจะไม่ไปพูดให้แล้ว หญิงม่ายจึงทำการสาปแช่งพระอุทายีโทษฐานที่ทำให้ตนเองหลงเชื่อจนยอมยกลูกสาวให้ เรื่องนี้ทราบไปถึงภิกษุอื่นๆ สุดท้ายก็ถึงพระพุทธเจ้าจนได้

พระพุทธเจ้าเรียกพระอุทายีไปว่ากล่าวเช่นเดิม และบัญญัติสิกขาบทว่า

อนึ่ง ภิกษุใด ถึงความเป็นผู้ชักสื่อ บอกความประสงค์ของบุรุษแก่สตรี ก็ดี บอกความประสงค์ของสตรีแก่บุรุษก็ดี ในความเป็นเมียก็ตาม ในความเป็นชู้ ก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

บั้นปลาย

พระอุทายีเป็นตัวการสำคัญยิ่งที่ทำให้สิกขาบท หรือ ศีลของพระเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

มีอยู่วันหนึ่ง พระอุทายีสวดบทในงานต่างๆอย่างมั่วๆ เช่น ในงานศพ พระอุทายีกลับสวดมงคลคาถา ส่วนในงานแต่งงาน พระอุทายีกลับสวดบทที่ใช้งานศพ หากแต่ว่าพระอุทายีเองก็มิได้ทราบว่าตนเองสวดผิด

พระพุทธเจ้าทรงเอ่ยพระธรรมเทศนาว่า พระอุทายีมีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่อดีตชาติ พระองค์ได้ตรัสพระพุทธภาษิตให้พระอุทายีสำนึก หลังจากนั้นพระอุทายีได้ประพฤติตัวดีขึ้น ต่อมาท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยองค์หนึ่ง

หลักฐานพุทธทั้งหมดไม่ได้ระบุข้อมูลแน่ชัดว่าบั้นปลายของพระอุทายีเป็นอย่างไร ได้บรรลุมรรคผลนิพพานหรือไม่ แต่นักวิชาการหลายคนตีความว่าพระอุทายีน่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในที่สุด หนึ่งในข้อสังเกตที่น่าสนใจคือพระโลลุทายีผู้นี้น่าจะเป็นคนเดียวกับพระอุทายีอีกคนหนึ่งที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ครับ

เรื่องของพระอุทายีจึงเป็นตัวอย่างเรื่อง “ต้นร้ายปลายดี” ก็ว่าได้

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!