เหตุการณ์วันที่ 15 พฤษภาคม (May 15 Incident) เป็นเหตุการณ์สำคัญครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองญี่ปุ่น เพราะมันได้เปลี่ยนทิศทางของญี่ปุ่นไปสู่การทำสงคราม และก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
เรื่องเป็นอย่างไร เราไปดูกันเลยดีกว่าครับ
นายทหารสายเหยี่ยว
ในปี ค.ศ.1930 ญี่ปุ่นได้ลงนามในสนธิสัญญากำจัดขนาดของกองทัพเรือหรือที่เรียกกันว่า สนธิสัญญานาวีลอนดอน (London Naval Treaty) กับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐอเมริกา
เจตนารมณ์ของสนธิสัญญาคือให้ทุกประเทศลดขนาดของกองทัพเรือลง เพื่อหยุดการแข่งขันพัฒนากองทัพเรือที่อาจจะนำไปสู่สงครามใหญ่อย่างที่เกิดในสงครามโลกครั้งที่ 1
รัฐบาลสายพิราบ (รักสงบ) ของญี่ปุ่นได้ลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้พวกนายทหารรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสายเหยี่ยว (สายนิยมสงคราม) ล้วนแต่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้พวกนายทหารสายเหยี่ยวในกองทัพต่างต้องการให้จักรพรรดิฮิโรฮิโต หรือ จักรพรรดิโชวะ (พระบิดาของจักรพรรดิอากิฮิโต) ทรงอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย ดินแดนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิญี่ปุ่นเหนือดินแดนในเอเชีย
พวกนายทหารสายเหยี่ยวได้รวมกลุ่มกันเป็นสมาคมลับเรียกว่า ซากุระไค (Sakurakai, 桜会)
เจตนารมณ์ของกลุ่มนี้มีอยู่สองอย่าง นั่นก็คือ
- คืนอำนาจให้กับจักรพรรดิและกำจัดระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิไทโช (Taicho Democracy)
- หาเหตุขยายอำนาจของญี่ปุ่นในเอเชีย
กลุ่มซากุระไคได้หาเหตุยั่วยุจีนเป็นระยะๆ เพื่อสร้างข้อขัดแย้งที่จะนำไปสู่สงครามระหว่างญี่ปุ่นและจีน เช่นพวกเขาแอบวางระเบิดทางรถไฟของจีน หรือสังหารนายพลจางจั๋วหลิน นายพลจีนที่มีอำนาจในแมนจูเรีย (เสิ่นหยางและฮาร์บินในปัจจุบัน)
การกระทำของพวกนายทหารสายเหยี่ยวเหล่านี้เป็นไปโดยปราศจากคำสั่ง หรือ แม้กระทั่งตรงกันข้ามกับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา พวกเขาลงมือทำด้วยตัวของพวกเขาเอง เพราะทุกคนคิดว่านี่เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับญี่ปุ่น
แนวคิดการละเมิดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเช่นนี้มีชื่อเรียกว่า Gekokujo (下克上)
ในปลายปี ค.ศ.1931 พวกนายทหารเหล่านี้แอบวางระเบิดที่ทางรถไฟของพวกเดียวกันเอง เมื่อเกิดระเบิดทำให้ทางรถไฟเสียหาย พวกเขาจึงรีบใส่ความจีนว่าเป็นผู้ลงมือก่อการ หลังจากนั้นกองทัพญี่ปุ่นฉวยโอกาสเข้ายึดเมืองเสิ่นหยาง (มุกเด็น) ของจีน
รัฐบาลสายพิราบไม่ได้มีคำสั่งใดๆ ให้บุกเข้ามุกเด็น แต่พวกนายทหารทำกันเอง และเมื่อรัฐบาลสั่งให้หยุดข้อขัดแย้งกับจีน แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง พวกเขากลับเดินหน้าต่อไปโดยละเลยคำสั่งที่ได้รับมาทั้งหมด แต่สุดท้ายแล้วรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้ประกาศสงครามกับจีนอย่างที่พวกนายทหารหวังไว้
พวกนายทหารตระหนักว่าที่พระจักรพรรดิไม่ประกาศสงครามก็เพราะพวกรัฐบาลพิราบยังอยู่ พวกเขาต้องการที่จะสื่อสารกับพระจักรพรรดิโดยตรง โดยไม่ต้องมีพวกสายพิราบมาขัดขวางอีก
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการกำจัดรัฐบาลสายพิราบไปให้ได้เร็วที่สุด
แผนการล้มเหลว
พวกกลุ่มซากุระไคคิดว่าการจะกำจัดรัฐบาลสายพิราบ พวกเขาต้องสังหารสมาชิกคนสำคัญๆ ของรัฐบาลให้จงได้
แผนการที่พวกนายทหารคิดจะลงมือคือ พวกนายทหารประมาณ 120 คน จะบุกเข้าไปสังหารนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสายพิราบทั้งหมด ต่อมาพวกเขาจะนำความไปกราบทูลพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตที่วัง ตามมาด้วยการทำฮาราคิรีฆ่าตัวตายให้หมดทุกคน
ความลับเกิดรั่วไหล ทำให้ฝ่ายรัฐบาลจับกุมพวกนายทหารที่คิดการดังกล่าวได้เกือบทั้งหมดได้ในวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ.1931 แต่เพราะแรงกดดันจากเหล่าประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มขวาจัด พวกนายทหารจึงถูกขังอยู่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เรียกว่า Brocade Flag Revolution
เริ่มต้นลงมือครั้งใหม่
ความล้มเหลวในเหตุการณ์ Brocade Flag Revolution ทำให้แนวคิดพวกนายทหารใหม่ที่เป็นสายเหยี่ยวเริ่มสุดโต่งมากขึ้นทุกที พวกเขามองว่านอกจากพวกรัฐบาลพิราบแล้ว พวกนักธุรกิจบางคนต้องถูกกำจัดเช่นเดียวกัน เพราะว่าพวกเขาฉ้อโกง และมักมากในผลประโยชน์ของตัวเอง สงครามจึงยังไม่เกิดขึ้น
ช่วงต้นปี ค.ศ.1932 พวกนายทหารชั้นผู้น้อยสายเหยี่ยว (พวกเขามียศไม่เกินพันตรี) เริ่มต้นลงมือสังหารบุคคลสำคัญในญี่ปุ่น เหยื่อรายแรกคือ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จุนโนะสุเกะ อิโนอุเอะ บุรุษผู้เที่ยงตรง ผู้พยายามหยุดการขยายกองทัพญี่ปุ่นมาโดยตลอด หลังจากไม่กี่วันพวกนายทหารก็บุกเข้ายิง ทาคุมะ ตัน ประธานบริษัทมิตซุย ด้วยการยิงแบบเผาขน ระหว่างที่เขากำลังจะลงจากรถ
เรื่องที่น่าเศร้าคือ ประชาชนจำนวนมากในเวลานั้นกลับสงสารฆาตกรมากกว่าเหยื่อ ศาลตัดสินให้มือสังหารในทั้งสองกรณีได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ทุกคนก็รู้ว่าอีกไม่นาน ทั้งสองก็ได้ออกมาแล้วเพราะการอภัยโทษ
พวกนายทหารตกลงกันว่า พวกเขาจะลงมือครั้งใหญ่ด้วยการบุกเข้าสังหารสมาชิกระดับสูงของรัฐบาลสายพิราบในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ.1932 หลังจากนั้นจะยึดอำนาจและตั้งรัฐบาลใหม่ที่นำโดยกองทัพ รัฐบาลใหม่จะมีรูปแบบเป็นเผด็จการทหารขวาจัด สงครามจะได้เกิดขึ้นได้
เหตุการณ์ 15 พฤษภาคม
นายทหารผู้ก่อการสิบคนได้ขึ้นแท็กซี่มาบ้านพักของ สึโยชิ อินุไค นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลสายพิราบ พวกเขาบุกผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยได้สำเร็จ และเข้าไปถึงห้องของสิโยชิทันที
สิโยชิเป็นชายร่างเล็ก และมีอายุได้ถึง 75 ปีแล้ว สิโยชิผู้นี้ต่อต้านการรุกรานแมนจูเรียของประเทศตัวเองมาโดยตลอด เพราะเขาเห็นอันตรายของญี่ปุ่นที่จะเกิดจากการทำสงครามเป็นอย่างดี สิ่งเขาเห็นเป็นสิ่งที่พวกนายทหารวัย 20 ปี ที่กำลังเลือดร้อนมองไม่เห็น
เมื่อสิโยชิพบกับพวกนายทหารเหล่านี้ เขากลับเชิญพวกเขาเข้าไปห้องแบบญี่ปุ่น และเชื้อเชิญให้เขานั่งลง
ระหว่างนั้นเอง พวกนายทหารคนหนึ่งกลับพูดขึ้นว่า
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกันต่อไป ยิง!
นายทหารสิบคนในห้องนั้นจึงชักปืนยิงเข้าใส่สิโยชิทันที สิโนชิล้มลงจมกองเลือด เขาพูดขึ้นว่า
ถ้าฉันพูดได้ คุณจะเข้าใจ
นายทหารคนหนึ่งกลับตอบไปว่า
การพูดคุยนั้นไร้ประโยชน์
หลังจากนั้นสิโยชิก็เสียชีวิตลง
ตามแผนการของพวกนายทหารนั้น พวกเขาวางแผนจะสังหารชาร์ลี แชปลิน ดาราตลกชื่อดังชาวอเมริกันที่อยู่ในญี่ปุ่นในเวลานั้นด้วย เพื่อที่จะหาเหตุประกาศสงครามกับอเมริกา แต่แชปลินรอดชีวิตไปได้เพราะเขาไปดูการแข่งขันซูโม่พอดี
นอกจากนี้ความพยายามในการสังหารรัฐมนตรีคนอื่นก็จบลงด้วยความล้มเหลว แผนที่จะยึดอำนาจก็ไม่สำเร็จ พวกมือสังหารทุกคนจึงไปมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่โดยดี
ผลที่ตามมา
ประชาชนชาวญี่ปุ่นจำนวน 350,000 คนต่างมาลงนามที่ศาลด้วยเลือดของตนเองเพื่อขอให้ศาลผ่อนปรนการลงโทษให้กับเหล่ามือสังหารเหล่านี้
อนึ่งก็เพราะพวกมือสังหารได้โจมตีว่ารัฐบาลของสิโยชิได้ “คอรัปชั่น” มากมาย พวกเขาอ้างว่าที่พวกเขาทำไปก็เพื่อต้องการเตือนคนญี่ปุ่นทั้งปวง และต้องการให้ประเทศมีการปฏิรูป นั่นก็คือเปลี่ยนเป็นประเทศที่นำโดยทหาร ปวงชนที่สนับสนุนแนวทางเหล่านี้จึงแห่มาลงนามกันอย่างเต็มที่
ผลสุดท้ายเหล่ามือสังหารต่างได้รับโทษน้อยมากตามที่ทุกคนคาดไว้ ทุกคนถูกปล่อยออกจากคุก เพียงสามปีหลังจากสิโยชิเสียชีวิต
หลังจากนี้อำนาจของรัฐบาลประชาธิปไตยของญี่ปุ่นก็น้อยลงทุกที และไม่สามารถหยุดยั้งอำนาจของฝ่ายทหารได้อีกต่อไป เพราะประชาชนจำนวนมากไม่สนับสนุน ญี่ปุ่นถูกครอบงำโดยกองทัพ และได้รับบทเรียนราคาแพงมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง