เหมาเจ๋อตง เป็นผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างปี ค.ศ.1949-1976 ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เหมามีส่วนทำให้จีนยิ่งใหญ่ แต่ในเวลาเดียวกันก็ได้สร้างปัญหาไว้มากเช่นเดียวกัน
ในฐานะคนดังระดับโลก ชีวิตส่วนตัวของเหมาได้เป็นจุดสนใจของผู้คนบนโลกมานานมากแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่หนังสือชีวประวัติเหมาของ Jung Chang ออกวางขาย หนังสือเล่มนี้ได้วิพากษ์วิจารณ์เหมาอย่างมันส์มือ ทำให้มุมมองต่อเหมาแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะกล่าวถึงในโพสนี้
สำหรับโพสนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรกับร่างของเหมาเจ๋อตงหลังจากที่เหมาล่วงลับไปแล้ว
ข้อมูลสำคัญที่ผมใช้คือ The Private Life of Chairman Mao หนังสือที่เขียนโดย หลี่จื้อซุย แพทย์ประจำตัวของเหมา ผู้ดูแลเขาในวาระสุดท้ายและเป็นผู้จัดการศพด้วย แพทย์คนนี้คือแพทย์คนเดียวกับคนที่วินิจฉัยว่าหลินเปียวเป็นโรคอะไรนั่นแหละครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
การสิ้นชีวิตของเหมา
ในปี ค.ศ.1974 เหมาได้ล้มป่วยลงด้วยโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือที่เรียกกันว่า โรค Lou Gehrig (Lou Gehrig’s Disease) อาการของเหมาย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อของเหมาส่วนต่างๆ ตายลงอย่างช้าๆ ทำให้เหมาเป็นอัมพาต
สองปีต่อมา เหมาเป็นโรคหัวใจและปอด ทำให้สุขภาพของเหมาที่ย่ำแย่อยู่แล้วเลวร้ายลงกว่าเดิม แพทย์ทั้งหลายต่างคิดตรงกันว่า เหมาจะต้องจากไปเร็วๆนี้แน่ แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเท่านั้นเอง
ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1976 เหมาเผชิญกับอาการหัวใจล้มเหลวเป็นครั้งที่ 3 แพทย์พยายามยื้ออาการเอาไว้จนถึงวันที่ 9 กันยายน
ในวาระสุดท้าย เหมาออกอาการว่าเขายังไม่ยอมรับความตาย หลี่จื้อซุยจึงต้องปลอบประโลมว่า “พวกเราช่วยท่านได้”
หลี่จื้อซุยก็พูดไปงั้นเอง เพราะว่าไม่มีใครช่วยเหมาได้อีกแล้ว ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ช่วยไม่ได้ เหมาถอนหายใจได้ครั้งหนึ่ง เขาขาดใจทันที เหมาเสียชีวิตในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ.1976 เขามีอายุได้ 82 ปี
จัดการศพของเขาอย่างไรดี?
คณะโพลิตบิวโร (Politburo) ได้มีการประชุมด่วนในทันที เพื่อปรึกษากันว่าจะบอกประชาชนและจัดการศพของเหมาอย่างไร
สุดท้ายแล้วพวกเขามีมติว่า ให้คณะแพทย์เก็บรักษาศพเอาไว้สองสัปดาห์ เพื่อให้เหล่าประชาชนมาแสดงเคารพและอาลัยต่อผู้นำของพวกเขา
หลี่จื้อซุยและคณะแพทย์ทุกคนรู้ว่าต้องทำทันที เพราะในเวลานั้นนครหลวงเป่ยจิงยังร้อนมาก เพราะอยู่ในเดือนกันยายน ถ้าปล่อยไว้นาน ร่างของเหมาย่อมเปลี่ยนสภาพไปตามธรรมชาติ
สำหรับท่านผู้นำที่ดูสมบูรณ์แบบมาตลอดหลายสิบปี จะให้ร่างดูน่าเกลียดไม่ได้เป็นอันขาด
คณะแพทย์ได้คาดว่าคณะโพลิตบิวโรมีมติเช่นนี้อยู่แล้ว หลี่จื้อซุยรีบเรียกแพทย์ที่เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติวิทยามาทันที และเริ่มต้นการจัดการศพ
วิธีการรักษาศพเพียงสองสัปดาห์เป็นเรื่องง่ายมาก คณะแพทย์ได้ฉีดสารที่เรียกว่า Formaldehyde จำนวนสองลิตรเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ที่ขาของเหมา
ทุกอย่างเสร็จสิ้นเป็นไปตามแผน
แต่จู่ๆ หลี่จื้อซุยกลับได้คำสั่งใหม่มาจากคณะโพลิตบิวโร
เก็บร่างเอาไว้ตลอดไป
คำสั่งใหม่ของคณะโพลิตบิวโรคือ พวกเขาให้คณะแพทย์หาวิธีเก็บร่างของเหมาไว้ตลอดไป เหมือนกับที่สหภาพโซเวียตเก็บรักษาร่างของวลาดิเมียร์ เลนินเอาไว้
หลี่จื้อซุยถึงกับตะลึงงัน นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าจะทำอย่างไร ตัวเหมาเองก็ได้เคยร่างพินัยกรรมไว้ว่า หลังจากที่เขาจากไป ขอให้เผาร่างของเขาเสีย
หลังจากนั้นหลี่จื้อซุยพยายามทักท้วงว่า จีนไม่มีเทคโนโลยีเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่เขากลับได้รับการยืนยันว่าให้ทำตามคำสั่ง ไม่ว่าเขาต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นเงิน ผู้คน อุปกรณ์ หรือทุกอย่างที่เขาต้องการ คณะโพลิตบิวโรยินดีมอบให้หมด
ขออย่างเดียวเก็บร่างของเหมาไว้ให้ได้ก็พอ
ต่อมาไม่นาน จอมพลเย่เจี้ยนอิง หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของคณะโพลิตบิวโรได้เดินทางมาพบกับเขาและถามหลี่จื้อซุยถึงวิธีการเก็บรักษาร่างของเหมา หลี่จื้อซุยยังยืนกรานว่าไม่น่าทำได้
เย่เจี้ยนอิงจึงแนะนำว่าให้ หลี่จื้อซุยลองไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่งานศิลป์และหุ่นขี้ผึ้งดู และให้พวกเขาทำหุ่นขี้ผึ้งของเหมาขึ้นมาเลย ถ้าจำเป็นจะได้ใช้ หลี่จื้อซุยรับปากว่าจะทำตามนั้น แต่เมื่อได้รับคำสั่งมาแล้ว เขาจะลองดูก่อน
ลองผิดลองถูก
ร่างของเหมายังถูกเก็บไว้ในห้องเดิมที่เขาเสียชีวิต หลี่จื้อซุยจึงสั่งให้ขนย้ายร่างของเหมาไปอีกห้องหนึ่งที่กว้างขวางกว่าเพื่อเตรียมการจัดการกับร่างของเหมาอย่างที่คณะโพลิตบิวโรต้องการ
คณะแพทย์ปรึกษากันว่าจะทำตามคำสั่งของคณะโพลิตบิวโรอย่างไร เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งได้รับคำสั่งให้ไปหาข้อมูลในห้องสมุด และพบว่ามีวิธีการเก็บรักษาร่างอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ยาวนานพอสมควร นั่นก็คือฉีดสาร Formaldehyde เข้าไปอีก 12-16 ลิตร ตามขนาดของร่างกาย และจะต้องฉีดภายใน 4-8 ชั่วโมง หลังจากที่เจ้าของร่างจากไป
หลี่จื้อซุยและคณะแพทย์ยังไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะเวิร์คหรือไม่ พวกเขาจึงขออนุญาตไปยังคณะโพลิตบิวโร ฮั่วกั๋วเฟิง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อจากเหมาตอบกลับมาว่า
พวกสมาชิกโพลิตบิวโรไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ทำไมคุณไม่จัดการเสียเลยเล่า ฉันไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
คณะแพทย์จึงลงมือตามวิธีที่หามา พวกเขาฉีด Formaldehyde เข้าไปในร่างของเหมามากถึง 22 ลิตร! มากกว่าที่หาข้อมูลมาได้ถึง 6 ลิตร เพราะพวกเขาคิดว่าฉีดเยอะน่าจะดีกว่า เพื่อความชัวร์ว่าร่างของเหมาอยู่รอดแน่ๆ
ผลออกมาเป็นอย่างไร? หลี่จื้อซุยบันทึกไว้ว่า
ใบหน้าของเหมาบวมเป่งราวกับลูกบอล ความกว้างของคอของเขาเทียบเท่ากับหัว ผิวหนังของเขาเหมือนมีแสงเรืองออกมา สาร formaldehyde ไหลออกมาจากรูขุมขนของเขาราวกับว่าเป็นเหงื่อ หูของเขาบวมเหมือนกัน และทำมุมฉากกับหัวของเขา
Li Zuisui, The Private Life of Chairman Mao
คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้องต่างตกตะลึง พวกเขาทุกคนลงความเห็นว่า สภาพศพหลังฉีดสาร Formaldehyde ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หลายคนพูดขึ้นว่าคณะแพทย์ทำอะไรลงไปกันนี่!
หลี่จื้อซุยเป็นคนเดียวที่ค่อนข้างนิ่ง เขาสั่งการว่าร่างกายที่บวมไม่น่ามีปัญหา เพราะว่าเสื้อผ้าของเหมาปกปิดได้หมดอยู่แล้ว แต่ที่พวกเขาต้องจัดการให้กลับเป็นปกติคือบริเวณศีรษะและคอของศพที่อุดมไปด้วย formaldehyde
แก้ไขสถานการณ์
หลี่จื้อซุยได้สั่งให้คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกคนช่วยกันนวดบริเวณหน้าและคอของเหมา เพื่อที่ formaldehyde จะได้ไหลลงไปด้านล่างของร่างกาย พวกเขาเริ่มนวดด้วยการใช้ผ้า และไม้พันสำลี
ทุกอย่างเรียบร้อยดี จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งบีบที่แก้มของเหมาแรงเกินไป ทำให้หนังของเหมาหลุดออกมาจากร่าง เจ้าหน้าที่คนนั้นถึงกับสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่หลี้จื้อซุยปลอบว่า พวกเราค่อยนำเครื่องสำอางมาตบแต่งก็ได้ หลังจากนั้นพวกเขาจึงนำวาสลีนและของเหลวที่มีสีเนื้อมาแตะที่บริเวณนั้น
สุดท้ายวิธีของหลี่จื้อซุยได้ผล แก้มของเหมาเนียนสนิทราวกับว่าไม่มีการแตกออกมา
ผลสุดท้ายปรากฏว่า ใบหน้าและหูของเหมาเริ่มจะเป็นปกติมากขึ้น แต่คอของเหมายังบวมอยู่ดี พวกเขาจึงนำแจ็คเกตของเหมามาเปลี่ยนเพื่อสวมใส่ให้กับศพ แต่ปรากฏว่าใส่ไม่เข้า เพราะร่างของเหมาบวมจนใหญ่โตมาก เจ้าหน้าที่จึงต้องทำการตัดเสื้อผ้าของเหมาบางส่วน เพื่อจะได้รับกับร่างของเหมา
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นลงความเห็นว่า ร่างของเหมากลับมาเหมือนกับเหมาแล้ว พวกเขาจึงคลุมร่างของเหมาด้วยธงของพรรคคอมมิวนิสต์ คืนวันนั้นพวกเขานำร่างดังกล่าวไปใส่ไว้ในโลงสุญญากาศ เป็นอันเสร็จพิธี
แต่วิธีนี้ยังไม่ใช่วิธีเก็บรักษาร่างของเหมาไว้อย่างถาวร มันแค่ซื้อเวลาให้ร่างของเหมาอยู่ได้นานขึ้นเท่านั้น หลี่จื้อซุยจำต้องหาวิธีอื่นๆ ต่อไป
คณะแพทย์ต้องการทราบว่าสหภาพโซเวียตเก็บร่างของเลนินอย่างไร แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับโซเวียตย่ำแย่อย่างมาก พวกเขาจึงส่งตัวแทนไปยังเวียดนามที่เก็บร่างของโฮจิมินห์ไว้แทน แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เพราะว่าไม่มีใครยอมปริปากพูดเลย
อยู่คงชั่วนิรันดร์
จากการศึกษาอย่างละเอียด หลี่จื้อซุยพบว่าวิธีที่เป็นไปได้มีอยู่วิธีเดียว นั่นก็คือการใช้ formaldehyde เพียงแต่ต้องทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่เท่านั้น
หลังจากที่ประชาชนได้มาเคารพศพเสร็จแล้ว คณะแพทย์ได้ลงมือจัดการขั้นต่อไปในการรักษาร่างของเหมาให้อยู่คงชั่วนิรันดร์
พวกเขานำอวัยวะภายในของเหมาออกมาทั้งหมด ยกเว้นแต่สมอง หลังจากนั้นจึงนำพวกมันแช่ลงไปในขวดที่บรรจุด้วย formaldehyde หลังจากนั้นรูต่างๆของร่างกายจะถูกอุดด้วยผ้าฝ้ายที่ชุ่มไปด้วย formaldehyde นอกจากนี้พวกเขายังได้เจาะท่อที่คอของเหมาเพื่อที่จะเติม formaldehyde ได้ในอนาคต
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาได้ขนย้ายร่างของเหมาไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลใต้ดินในกรุงปักกิ่งเป็นเวลานานถึง 1 ปีเต็ม ทุกอย่างเก็บไว้เป็นความลับ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบว่าภายในนั้นมีร่างของเหมาอยู่
ในปี ค.ศ.1977 หรือเมื่อ “สุสาน” ของเหมาใกล้กับจัตุรัสเทียนอันเหมินสร้างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาจึงนำร่างของเหมาไปไว้ที่นั่นเพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้มาเยี่ยมเยือน ร่างของเหมาอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้