จิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินสื่อหวงตี้ เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของราชวงศ์ฉินและประเทศจีน เขาเป็นผู้ที่รวมแผ่นดินที่วุ่นวายในยุคจ้านกว๋อให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามชาติกำเนิดของฉินสื่อหวงตี้กำกวมเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่ผมจะเล่าต่อไป ผมต้องขออธิบายให้ทุกท่านทราบก่อนว่า สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง มันอาจจะเป็นสิ่งที่มีผู้แต่งเติมขึ้นมาในภายหลังก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นการอ่านเรื่องนี้ ผมขอให้ทุกท่าน “ฟังหูไว้หู” ละกันครับ
ของดีที่เก็บกักตุนไว้ได้
ที่แคว้นจ้าวมีองค์ชายแคว้นฉินคนหนึ่งนามว่า อี้เหริน เขาโอรสของอันกว๋อจวิน รัชทายาทแคว้นฉิน ดังนั้นเขาจึงเป็นหลานปู่ของฉินจาวเซียงหวาง
แต่ทว่าเขาเป็นโอรสของสนมที่อันกว๋อจวินไม่โปรดปราน ดังนั้นฉินจาวเซียงหวางจึงให้อี้เหรินมาเป็นองค์ประกันในแคว้นจ้าว เพื่อที่แคว้นจ้าวจะได้วางใจว่าแคว้นฉินจะไม่โจมตีแคว้นจ้าว
ทุกท่านทราบดีว่าแคว้นฉินตระบัดสัตย์อยู่เสมอ แคว้นฉินเข้าโจมตีแคว้นจ้าวอยู่ตลอด ดังเช่นที่ปรากฏที่ฉางผิง และหานตาน
สถานะของอี้เหรินจึงไม่ค่อยดีนัก จ้าวหวางปฎิบัติต่อเขาอย่างหยาบคาย อี้เหรินต้องทนอดๆอยากๆ ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆเท่านั้น
แต่แล้ววันหนึ่งพ่อค้าใหญ่คนหนึ่งนามว่า หลี่ว์ปู้เหว่ย มาพบกับอี้เหรินเข้า
หลี่ว์ปู้เหว่ยเป็นพ่อค้าที่มีความสามารถค้าขายอยู่ในระดับต้นๆและยังกว้างขวางรู้จักคนมากมายอีกด้วย เมื่อเขามาพบกับอี้เหริน เขาถึงกับรำพึงว่า
ข้าได้พบกับของดีที่เก็บกักตุนไว้ได้แล้ว
หลี่ว์ปู้เหว่ยรีบกลับไปหาบิดาของเขา และถามบิดาขึ้นว่า ถ้าตนเองซื้อที่นาทำกำไร เขามีโอกาสได้กำไรสักเท่าใดกัน
บิดาตอบหลี่ว์ปู้เหว่ยว่าได้ประมาณสิบเท่า หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงถามต่อไปแล้วถ้าเปลี่ยนไปขายเพชรนิลจินดาจะได้กำไรสักเท่าใด ครั้งนี้บิดาตอบว่าร้อยเท่า
หลี่ว์ปู้เหว่ยถามบิดาต่อไปว่า
แล้วถ้าข้าได้ช่วยให้คนผู้หนึ่งให้ครอบครองแว่นแคว้น เป็นหวางเล่า ข้าจะได้กำไรสักเท่าใด
บิดาของหลี่ว์ปู้เหว่ยตาค้างไป แล้วกล่าวว่า
ประมาณไม่ได้ กำไรของเจ้าจะประมาณไม่ได้
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงเล่าความจริงให้บิดาฟังทั้งหมด และเล่าแผนของเขาที่จะยอมสูญเสียเงินทองเพื่อช่วยเหลือองค์ชายแคว้นฉิน ผู้เป็น “ของดีที่เก็บกักตุนไว้ได้” ให้ขึ้นครองแคว้นฉิน เขาได้กล่าวกับบิดาเขาว่า
ถ้าข้าลงแรงทำนา อย่างมากข้าก็มีเงินทองไว้แต่เพียงซื้อเสื้อผ้าและอาหารเท่านั้น แต่ถ้าข้าสามารถช่วยองค์ชายผู้หนึ่งให้เป็นหวาง ผลประโยชน์ที่ข้าจะได้รับมีมากมายมหาศาลสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน ข้าขออนุญาตท่านพ่อนำเงินของครอบครัวเรานี้ไปสนับสนุนองค์ชายอี้เหรินที่มาเป็นตัวประกันที่เมืองหานตานนี่ ให้เป็นฉินหวาง
บิดาเขาไม่ได้ว่าอย่างไร หลังจากนั้นหลี่ว์ปู้เหว่ยจึงเข้าไปตีสนิทกับองค์ชายอี้เหริน ผู้มาตกระกำลำบากที่แคว้นจ้าวทันที
เมื่อหลี่ว์ปู้เหว่ยเดินเข้าบ้านของอี้เหรินไปนั้น เขาเห็นบ้านพักของอี้เหรินทรุดโทรมอย่างมาก บ้านของเขาไม่ได้รับการรักษาใดๆ ไม่สมพระเกียรติที่เป็นถึงหลานชายของฉินหวางแม้แต่น้อย อันที่จริงอี้เหรินมีชีวิตรอดไปวันๆโดยไม่โดนจ้าวหวางสังหารก็เป็นบุญของเขาแล้ว
อี้เหรินถามหลี่ว์ปู้เหว่ยว่ามีธุระอะไรถึงเข้ามาในบ้านของเขา
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงตอบว่า
เรียนองค์ชาย ข้าพระองค์ชื่อหลี่ว์ปู้เหว่ย เป็นพ่อค้าผู้หนึ่งในเมืองหานตานนี่ ข้าพระองค์เห็นว่าบ้านพักของท่านทรุดโทรมมากแล้ว จึงมาทูลขอให้องค์ชายซ่อมแซมให้สวยงามเสียหน่อยเถิด ข้าพระองค์ยินดีจะเป็นธุระซ่อมแซมบ้านหลังนี้ให้ยิ่งใหญ่อลังการสมเกียรติของท่าน
อี้เหรินตอบหลี่ว์ปู้เหว่ยกลับไปว่า
ข้าถึงจะเป็นพระนัดดาฉินหวาง แต่ก็ตกมาเป็นองค์ประกันในแคว้นจ้าว ไม่มีบารมีและทรัพย์สินอันใดจะซ่อมแซมที่อยู่แห่งนี้ได้หรอก ท่านนำเงินไปทำบ้านของท่านให้สวยงามเถิด
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงทูลตามความจริงว่า
ข้าพระองค์คิดว่า ถ้าบ้านของท่านสวยงามเมื่อไรแล้วนั้น บ้านของข้าพระองค์ก็จะสวยงามตามไปด้วย เช่นนี้ข้าพระองค์จึงมาพบท่านนั่นเอง
อี้เหรินเข้าใจเจตนาการมาของหลี่ว์ปู้เหว่ยในบัดดลว่าพ่อค้าผู้นี้ต้องการสนับสนุนเขา ทั้งสองคนจึงพูดคุยกันถึงแผนการอย่างเปิดอก
แผนการของหลี่ว์ปู้เหว่ย
พ่อค้าสมองใสจึงทูลว่า
หัวหยางฝูเหริน พระมารดาเลี้ยงขององค์ชายเป็นที่โปรดปราน แต่นางไม่มีบุตร อันกว๋อจวินบิดาของท่าน ก็ยังไม่แต่งตั้งบุตรผู้สืบตำแหน่ง ถ้าฉินหวางสวรรคต บิดาท่านก็ต้องได้เป็นฉินหวาง ถ้าท่านเป็นบุตรผู้สืบตำแหน่ง ท่านก็จะได้เป็นรัชทายาท องค์ชายมิหวังให้พระบิดาแต่งตั้งท่านบ้างหรือ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอี้เหรินก็สนใจ เขาถามว่าหลี่ว์ปู้เหว่ยมีแผนการอะไร
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงทูลว่า
ข้ายินดีเป็นไปเจรจาความกับหัวหยางฝูเหรินเพื่อให้นางสนับสนุนท่าน แผนการของข้าคือ ข้าจะว่ากล่าวให้หัวหยางฝูเหรินรับท่านเป็นบุตรบุญธรรม ภายหลังจึงค่อยให้นางช่วยท่านเป็นบุตรผู้สืบตำแหน่ง เช่นนี้เมื่อบิดาท่านขึ้นครองราชย์ ท่านจะได้เป็นรัชทายาท ต่อไปแคว้นฉินจะอยู่ในภายใต้มือท่าน
อี้เหรินได้ยินก็รู้สึกลิงโลดใจยิ่งนัก เขากล่าวกับหลี่ว์ปู้เหว่ยว่า
แผนการของท่านช่างวิเศษยิ่งนัก ถ้าท่านสำเร็จแล้ว ข้าได้ครอบครองแคว้นฉินแล้วไซร้ ข้ายินดีปกครองแคว้นฉินร่วมกับท่าน
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงกลับไปที่บ้าน เขามีทองคำอยู่พันตำลึง หลี่ว์ปู้เหว่ยแบ่งทองคำไว้ห้าร้อยตำลึงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเมืองเสียนหยาง (ปัจจุบันคือซีอาน) ส่วนอีกห้าร้อยตำลึงมอบให้อี้เหรินไว้ใช้เพื่อทำความรู้จักกับขุนนางจ้าว เพื่อป้องกันไม่ให้จ้าวหวางสังหารเขาเสียก่อน
นั่นเท่ากับว่าหลี่ว์ปู้เหว่ยลงทุนทรัพย์สินทั้งหมดที่มีในบ้านกับอี้เหรินเลยทีเดียว!
ด้วยความที่เป็นคนกว้างขวางจากการค้าขาย ทำให้หลี่ว์ปู้เหว่ยรู้ว่าหัวหยางฝูเหรินมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งที่สนิทกับนางมาก เพื่อการนี้เขาจึงเข้าหาพี่สาวของนางเสียก่อน
พ่อค้าหัวใสนำทองห้าร้อยตำลึงไปซื้อของมีค่ามากมายในเมืองเสียนหยาง แล้วนำของเหล่านั้นไปมอบให้พี่สาวของหัวหยางฝูเหริน พี่สาวของนางเห็นของมีค่ามากมาย นางจึงยินดีช่วยเหลือหลี่ว์ปู้เหว่ยให้เข้าพบหัวหยางฝูเหรินได้
เมื่อได้พบนาง หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงทูลนางว่า
ทูลฝูเหริน ข้าพระองค์เป็นพ่อค้าค้าขายอยู่ในเมืองหานตานเมืองหลวงของแคว้นจ้าว ข้าได้พบพานกับ อี้เหริน บุตรเลี้ยงของท่าน พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ข้าพระองค์นำของมีค่าดังกล่าวมาถวายพระองค์ด้วยความรัก ความคิดถึง ที่ไม่ได้พบพานพระองค์มาอย่างยาวนานยิ่งนัก
หัวหยางฝูเหรินเห็นของมีค่ามากมาย ในใจเริ่มโปรดปรานอี้เหรินไม่น้อย เมื่อหลี่ว์ปู้เหว่ยกลับไปแล้ว พี่สาวของนางจึงบอกกับนางว่า
เจ้าไม่มีโอรส ถ้าเจ้าแก่ชราแล้วอันกว๋อจวินไม่โปรดปรานเจ้าแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าว่าเจ้ารับอี้เหรินเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าดีหรือไม่ เขาเป็นคนมีมารยาทดีงาม รู้จักขนบธรรมเนียมเช่นนี้ ถ้าเจ้าแก่เฒ่าไปแล้ว ก็จะได้พึ่งพาอาศัยเขาได้
หัวหยางฝูเหรินเห็นจริงดังคำพี่สาวว่า นางจึงทูลขอต่ออันกว๋อจวินว่าให้ยกอี้เหรินเป็นโอรสบุญธรรมของตนเอง อันกว๋อจวินอนุญาตให้ตามคำขอ และให้หลี่ว์ปู้เหว่ยนำตราของราชบุตรไปมอบให้อี้เหรินที่แคว้นจ้าว
หลี่ว์ปู้เหว่ยเห็นแผนการเป็นไปตามที่วางไว้ เขารีบกลับไปหานตานเมืองหลวงของแคว้นจ้าวพร้อมกับตราตั้งราชบุตร อี้เหรินดีใจยิ่งนักถึงกับกล่าวขอบคุณไม่หยุด
ภรรยาน้อย
หากแต่หลี่ว์ปู้เหว่ยไม่ได้มีแผนแต่เพียงเท่านั้น เขาต้องการมากกว่านี้อีก หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเพื่อฉลองการที่อี้เหรินได้เป็นราชบุตรเอก ในการจัดงานนี้มีนัยแอบแฝงอยู่
ในวันงานนั้น อี้เหรินอารมณ์ดียิ่งนัก เขาจึงดื่มกับหลี่ว์ปู้เหว่ยจนเริ่มมึนเมา เมื่อหลี่ว์ปู้เหว่ยเห็นอี้เหรินเริ่มเมาแล้ว เขาจึงให้นางจ้าวจี ภรรยาน้อยคนงามของตน เดินออกมานั่งรินสุราให้อี้เหริน
สายตาของคนทั้งสองจึงปะทะกัน อี้เหรินเห็นนางจ้าวจีงดงามยิ่งนัก ด้วยความมึนเมาจึงลืมมารยาทที่เหมาะสม เขาจึงเอ่ยปากขอนางให้มาเป็นภรรยาของเขาจากหลี้ปู้เหว่ย
หลี่ว์ปู้เหว่ยยิ้มกริ่มด้วยความดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่เขาต้องวางท่าไว้ก่อน มิฉะนั้นจะผิดสังเกต หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงทำเป็นโกรธจัดและกล่าวกับอี้เหรินว่า
องค์ชาย ข้าได้นำทรัพย์สินของครอบครัวช่วยเหลือองค์ชายกลายเป็นพระราชบุตรเอกของพระบิดา มิหนำซ้ำยังช่วยเหลือด้านความเป็นอยู่ขององค์ชายอย่างดี ในวันนี้ก็จัดงานเลี้ยงดูองค์ชาย ให้ภรรยาน้อยของตนเองมารินสุราให้ท่าน แล้วเหตุใดองค์ชายถึงมาไร้มารยาทกับข้าพเจ้าเช่นนี้เล่า
อี้เหรินสะดุ้งตกใจจนแทบหายมึนเมา เขากล่าวขอโทษกับหลี่ว์ปู้เหว่ย
ข้าต้องขอโทษท่านอย่างใจจริง ข้าดื่มสุรามากเกินไปจนมึนเมา ทำให้ข้าหลงลืมเมื่อพบกับความงดงามของภรรยาน้อยท่าน ข้าจึงไร้มารยาทต่อท่านเช่นนี้ ขอให้ท่านอย่าได้คิดเป็นอื่นเลย
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า อี้เหรินพึงใจในภรรยาน้อยของเขาใช่หรือไม่”
ฝ่ายอี้เหรินเห็นหลี่ว์ปู้เหว่ยถามตรงๆ เขาก็ตอบตรงๆ เช่นกันว่าใช่
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงกล่าวว่า
ข้ายอมเสียสละทรัพย์สินทั้งบ้านมามอบให้องค์ชาย อนุภรรยาคนเดียวเหตุไฉนจะไม่อาจสละให้ได้ ขอให้องค์ชายทรงรับนางไว้ด้วยเถิด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อี้เหรินดีใจเป็นล้นพ้น เขากล่าวขอบคุณหลี่ว์ปู้เหว่ยไม่หยุดปาก หลังจากนั้นนางจ้าวจีก็เป็นภรรยาของอี้เหรินสืบต่อมา
อี้เหรินไม่รู้เลยว่า เขากำลังอยู่ในกลลวงของหลี่ว์ปู้เหว่ย
หลี่ว์ปู้เหว่ยทราบดีว่าอนุภรรยาคนงามกำลังตั้งครรภ์ลูกของตนเองได้สองเดือนเศษแล้ว เขาต้องการจะให้บุตรชายของเขาเป็นฉินหวางในวันข้างหน้า เขาจึงสั่งให้อนุภรรยาทำสิ่งที่ผิดธรรมเนียมจีนโบราณ นั่นคือออกมารินสุราให้ชายอื่น
เจตนาของเขาคือให้อี้เหรินเห็นรูปโฉมของนางแล้วลุ่มหลง เขาจะได้มาขอนางจากเขาไปเป็นภรรยา
ในตอนแรกนางจ้าวจีไม่ต้องการจะทำ เพราะนางรักหลี่ว์ปู้เหว่ยและท้องได้สองเดือนกว่าแล้ว แต่หลี่ว์ปู้เหว่ยบอกนางว่าถ้านางยอมทำตาม วันใดที่นางได้เป็นหวงโฮ่ว (ฮองเฮา) ของแคว้นฉิน ตัวเขาได้เป็นสมุหนายกผู้คุมอำนาจ ส่วนบุตรชายเป็นฉินหวาง เขากับนางก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี แถมยังมียศศักดิ์ใหญ่ยิ่ง
นางจ้าวจีจึงจำใจยอมทำตามแผนการของหลี่ว์ปู้เหว่ย
เจ็ดเดือนผ่านไป นางจ้าวจีควรจะคลอดบุตรมาได้แล้ว แต่ครรภ์ของนางกลับไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่านางกำลังจะคลอดบุตรเลย
จนกระทั่งอีกสองเดือนถัดมา นางคลอดบุตรเป็นทารกน้อยคนหนึ่ง อี้เหรินคิดว่าเป็นบุตรของตนเอง เขาจึงรักบุตรคนนี้สุดหัวใจ เขาตั้งชื่อให้ว่าอิ๋งเจิ้ง
ทารกน้อยคนนั้นไม่ใช่ผู้ใดนอกจากจิ๋นซีฮ่องเต้นั่นเอง
ประเด็นขัดแย้ง
เรื่องที่ผมเล่ามาด้านบนนี้เป็นประวัติศาสตร์สายรอง นักประวัติศาสตร์ส่วนมากไม่เชื่อว่าเป็นจริง เนื่องจากเรื่องนี้มีที่มาจากหลักฐานสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ที่สืบต่อจากราชวงศ์ฉิน มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเขียนประวัติศาสตร์สมัยฉินให้ดูแย่ที่สุด ซึ่งรวมไปถึงชีวประวัติของผู้ก่อตั้งราชวงศ์ด้วย
ทั้งนี้เพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะปกครอง (Legitimacy to Rule) สำหรับราชวงศ์ฮั่นเอง หรือประมาณว่าราชวงศ์ฉินไม่เหมาะสมที่จะครอบครองแผ่นดิน ราชวงศ์ฮั่นจึงเป็นผู้สืบต่ออย่างชอบธรรม
ในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการที่ไม่ใช่เรื่องเล่าจึงถือว่าฉินสื่อหวงตี้เป็นบุตรที่แท้จริงและชอบธรรมของอี้เหริน อายุครรภ์ก็ชี้ให้เห็นว่าฉินสื่อหวงตี้เป็นโอรสของอี้เหรินด้วย ดังนั้นผมอนุมานตามประวัติศาสตร์สายหลักที่ว่าฉินสื่อหวงตี้เป็นโอรสของอี้เหริน
อี้เหรินครองราชย์
หลายปีผ่านไป กองทัพฉินยกมาตีแคว้นจ้าวอีกครั้ง จ้าวหวางต้องการจะสังหารอี้เหรินแก้แค้น หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงรีบติดสินบนขุนนางแคว้นจ้าวให้ปล่อยตัวอี้เหรินออกจากเมืองหานตานก่อนที่จ้าวหวางจะลงอาญา ทำให้อี้เหรินรอดตายได้อย่างหวุดหวิด
อี้เหรินกลับมาเมืองเสียนหยางในท้ายที่สุด เมื่อไปถึงหลี่ว์ปู้เหว่ยจึงให้อี้เหรินอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปเข้าเฝ้าบิดาและมารดาเลี้ยงทันที
หลี่ว์ปู้เหว่ยทราบมาก่อนว่า หัวหยางฝูเหรินเป็นชาวฉู่ ดังนั้นเขาจึงนำเสื้อผ้าของชนชั้นสูงชาวฉู่อย่างดีมาให้อี้เหรินสวมใส่เพื่อเข้าเฝ้า
อี้เหรินจึงเข้าเฝ้าอันกว๋อจวินและหัวหยางฝูเหริน เมื่อหัวหยางฝูเหรินเห็นอี้เหรินสวมใส่ชุดชาวฉู่มาเข้าเฝ้าก็ดีใจมากนางเอ่ยปากชมอี้เหรินไม่ขาดปากว่า เขาเป็นบุตรที่รักนางจริงๆ รู้ว่านางชอบอะไร ทำให้นางโปรดปรานอี้เหรินมาก
ตั้งแต่นั้นอี้เหรินเฝ้าปฎิบัติบิดาและมารดาเลี้ยงอย่างเต็มความสามารถ หัวหยางฝูเหรินจึงขอร้องให้อันกว๋อจวินแต่งตั้งอี้เหรินเป็นบุตรเอก อันกว๋อจวินอนุญาตให้ตามคำขอพร้อมกับเปลี่ยนชื่ออี้เหริน เป็น จื้อฉู่
หลังจากอี้เหรินกลับมาอยู่เมืองเสียนหยางได้ไม่นาน ฉินจาวเซียงหวางผู้ครองราชย์มามากกว่าห้าสิบปีก็เสด็จสวรรคต อันกว๋อจวินขึ้นครองราชย์สืบต่อ
หากแต่ว่าหลังจากครองราชย์ได้เพียงสองวัน อันกว๋อจวินกลับสวรรคตไปด้วยอีกคนหนึ่ง ตำแหน่งหวางจึงตกแก่จื้อฉู่ หรือ อี้เหริน เขาจึงขี้นครองราชย์เป็นฉินจวงเซียงหวาง กษัตริย์แห่งแคว้นฉิน
ฉินจวงเซียงหวางตอบแทนบุญคุณของหลี่ว์ปู้เหว่ยอย่างมโหฬาร เขาสถาปนาหลี่ว์ปู้เหว่ยขึ้นเป็นสมุหนายกแคว้นฉิน มีศักดินาหนึ่งแสนครัวเรือน และมีอำนาจการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในแคว้นฉิน
การลงทุนของหลี่ว์ปู้เหว่ยจึงให้ผลตอบแทนอันประมาณค่าไม่ได้อย่างที่บิดาของเขาว่าไว้จริงๆ
การสวรรคตอันลึกลับ
แต่แล้วเรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อฉินจวงเซียงหวางกลับสวรรคตหลังจากครองราชย์ได้เพียงเกือบสามปีเท่านั้น ราชโอรสอิ๋งเจิ้งที่เกิดจากนางจ้าวจี จึงได้ราชสมบัติโดยมีนามว่าฉินหวางเจิ้ง ในขณะนั้นฉินหวางเจิ้งอายุได้ 13 ปีเท่านั้น
การสวรรคตของอันกว๋อจวินและฉินจวงเซียงหวางเป็นเรื่องลึกลับในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉินที่เป็นที่ถกเถียงมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีเรื่องเล่าสืบต่อมาตั้งแต่โบราณว่าหลี่ว์ปู้เหว่ยวางยาพิษทั้งสองพระองค์เพื่อให้อิ๋งเจิ้งขึ้นเป็นฉินหวางโดยไว
ทั้งสองยังมีอายุไม่มากนักเมื่อสวรรคต อันกว๋อจวินอายุประมาณ 50 พรรษา ในขณะที่ฉินจวงเซียงหวางอายุ 33 ชันษาเท่านั้น มันจึงดูน่าประหลาดยิ่งนักที่อยู่ๆ ทั้งสองจะจากไปในเวลาใกล้ๆกัน
อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์สายหลักหรือในพงศาวดารไม่ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด นักประวัติศาสตร์จึงไม่มีหลักฐานที่จะสรุปได้ว่าหลี่ว์ปู้เหว่ยเป็นฆาตกรปลงพระชนม์ทั้งสองหวาง แม้ว่ามันจะน่าสงสัยมากๆ ก็ตาม
Sources:
- Sima Qian, Records of The Grand Historian
- วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3