หลินเปียว (林彪) เป็นจอมพลแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขามีส่วนสำคัญยิ่งต่อชัยชนะของพวกคอมมิวนิสต์เหนือพรรคก๊กมินตั๋งในสงครามกลางเมือง เขาเป็นผู้ที่นำกองทัพเข้ากรุงปักกิ่งและเคลื่อนทัพมากกว่าหนึ่งล้านคนเข้าบดขยี้ที่มั่นของพวกก๊กมินตั๋งในภาคใต้ของจีน จนเจียงไคเช็คต้องหลบหนีไปยังไต้หวัน
ในหมู่จอมพลทั้ง 10 ของกองทัพปลดแอก หลินเปียวมีอายุน้อยที่สุด แต่ตำแหน่งของเขาเป็นอันดับ 3 รองจากจูเต๋อ และเผิงเต๋อไหวเท่านั้น หลังจากสงครามสงบลง หลินเปียวได้เรืองอำนาจขึ้นมาในทางการเมือง และเป็นกุญแจสำคัญที่เหมาเจ๋อตงใช้ในการปฏิวัติวัฒนธรรม ชะตาของหลินเปียวพุ่งสูงขึ้นขนาดที่เหมาหมายมั่นว่าจะให้หลินเปียวสืบต่อตำแหน่งของตนหลังจากที่ตนตายไปแล้ว
หากแต่ว่าชีวิตของหลินเปียวต้องอยู่กับโรคประหลาด ที่ทำให้เขาดูเป็นคนลึกลับ ไม่น่าคบหา โรคนี้เป็นโรคที่ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าคืออะไร หลินเปียวป่วยเป็นอะไรกันแน่?
อุบัติเหตุที่ไม่น่าเกิด
ในปี ค.ศ.1938 หลินเปียวควบคุมกองทัพต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ในซานซี กองทัพของเขาจับนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งได้ นายทหารคนดังกล่าวยอมจำนนต่อหลินเปียว และมอบชุดนายทหารญี่ปุ่นและดาบคาตานะ (Katana) ให้กับเขา
หลินเปียวรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นชุดและดาบดังกล่าว เขาจึงสวมใส่ชุดดังกล่าว สะพายดาบคาตานะ และขี่ม้าออกจากกองทัพไปตามลำพัง
ระหว่างที่เขาขี่ม้าอยู่นั้นเอง สไนเปอร์จีนที่สังกัดกองทัพของเหยียนซีชาน (ไม่ได้สังกัดกองทัพของหลินเปียว) เห็นหลินเปียวจากระยะไกล เขาคิดว่าหลินเปียวเป็นนายทหารญี่ปุ่นที่เป็นศัตรู แล้วนายทหารญี่ปุ่นมาอยู่แถวนี้ซึ่งเป็นเขตสงครามได้อย่างไร สไนเปอร์คนนั้นจึงยิงเข้าใส่หลินเปียว กระสุนถากศีรษะของหลินเปียว ทำให้หลินเปียวตกม้าทันที
เคราะห์ยังดีที่หลินเปียวไม่ตาย เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะและหลัง (เนื่องจากตกม้า) ทำให้หลินเปียวต้องไปรักษาตัวที่มอสโกอยู่นาน
อาการประหลาดเริ่มต้น
ถึงแม้อาการบาดเจ็บทางกายของหลินเปียวจะหายดีแล้ว แต่หลินเปียวกลับมีอาการแปลกๆ เขารู้สึกไม่สบายทุกครั้งที่เขาเหงื่อออก นายแพทย์หลี่จื้อซุย หนึ่งในนายแพทย์ประจำตัวของเหมาบันทึกว่าหลินเปียวเริ่มมีอาการกลัวต่อสิ่งเหล่านี้
น้ำ ลม ความเย็น แสงสว่าง และเสียง
อาการของหลินเปียวย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว หลินเปียวเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกและเป็นกังวลเมื่อเขาเห็นรูปแม่น้ำและมหาสมุทร ถึงแม้ว่ารูปดังกล่าวจะเป็นรูปภาพเก่าแก่ก็ตาม
ต่อมาแพทย์ได้รายงานว่า เมื่อหลินเปียวได้ยินเสียงน้ำไหล หลินเปียวจะมีอาการท้องเสีย ไม่มีใครอธิบายได้ว่ามันเชื่อมโยงกันได้อย่างไร
โรคของหลินเปียวจึงไม่ชัดเจน จะบอกว่าหลินเปียวเป็นโรคกลัวน้ำก็ไม่ได้ เพราะหลินเปียวไม่ได้เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ผมจึงขอเรียกโรคของหลินเปียวว่า อาการกลัวธรรมชาติ ละกันครับ
อาการกลัวธรรมชาติ
ถึงแม้หลินเปียวจะมีอาการกลัวธรรมชาติ หลินเปียวก็ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ดี เขามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ถึงแม้ศัตรูภายนอกเขาจะเอาชนะได้ หลินเปียวไม่เคยเอาชนะ อาการกลัวธรรมชาติ ซึ่งเป็นศัตรูภายในได้เลย
หลินเปียวเริ่มมีอาการปวดหัวบ่อยครั้ง ตัวหลินเปียวเองกลับปฏิเสธการรักษาแบบตะวันตก หลินเปียวหันไปศึกษาตำราแพทย์แบบจีน และพยายามรักษาตัวเองด้วยการใช้สมุนไพร แต่มันก็ไม่ได้ช่วยหลินเปียวสักเท่าใดนัก หลินเปียวเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ และต้องกินยานอนหลับอยู่สม่ำเสมอ
อาการกลัวธรรมชาติของหลินเปียวไม่เคยทุเลาขึ้น เมื่อเขามีอายุมากขึ้น หลินเปียวกลับมีอาการดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากความกลัวน้ำและเสียงของมัน หลินเปียวจึงเลิกอาบน้ำ และเลือกที่จะทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นแทน
ต่อมาอาการของหลินเปียวรุนแรงขึ้นอีก หลินเปียวปฏิเสธที่จะดื่มน้ำและผลไม้ต่างๆ โดยสิ้นเชิง หลินเปียวสั่งให้ภรรยาของเขาทำหมั่นโถวต้มแล้วนำไปจุ่มในน้ำ เพื่อที่เขาจะได้รับน้ำโดยที่ไม่ต้องดื่มน้ำตรงๆ
นอกจากนี้เขายังคงมีอาการกลัวแสงและลม ห้องทำงานของหลินเปียวจึงมีแสงน้อยมาก ทำให้มันดูมืดๆทึมๆ สร้างความกลัวกับผู้พบเห็น และด้วยความที่เขากลัวลม เขาจึงปฏิเสธที่จะให้ห้องทำงานของเขามีช่องระบายอากาศ ลมจะได้ไม่ต้องเข้ามา
บั้นปลาย
ด้วยความกลัวโน่นกลัวนี่ หลินเปียวจึงใช้เวลาส่วนตัวไปกับการนั่งเฉยๆ และออกห่างจากสังคมไปทุกวัน เมื่อเขาอายุมากขึ้น หลินเปียวไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์หรือหนังสือใดๆ เลย เรียกได้ว่าหลินเปียวออกจากสังคมไปโดยสิ้นเชิง
แต่ด้วยตำแหน่งสำคัญที่หลินเปียวดำรงอยู่ และอิทธิพลในกองทัพปลดแอก (People’s Liberation Army, 中国人民解放军) ทำให้หลินเปียวกลายเป็นหมากชั้นดีของภรรยาของเขา และเหมาเจ๋อตงเองในการใช้อำนาจของหลินเปียวทำงานสกปรกต่างๆ
เหมากับหลินเปียวแตกคอกันในปี ค.ศ.1971 เมื่อคนพูดน้อยอย่างหลินเปียวกลับวิพากษ์วิจารณ์เจียงชิง ภรรยาของเหมาในการประชุมที่เจียงซาน ทำให้เหมาโกรธมากที่หลินเปียวทำเช่นนั้น นับตั้งแต่บัดนั้น เหมาจึงไม่ไว้ใจหลินเปียวอีกต่อไป โจวเอินไหลพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยแต่ก็ไม่เป็นผล อีกสาเหตุหนึ่งคืออาการกลัวธรรมชาติของหลินเปียวทำให้เขาเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียว ต่อมาในเดือนกรกฎาคม หลินเปียวก็ถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในจีน
หลังจากนั้นไม่นาน มีกระแสว่าหลินเปียวพยายามจะลอบสังหารเหมา แต่ไม่สำเร็จ หลินเปียวและครอบครัวจึงขึ้นเครื่องบินเพื่อที่จะลี้ภัยที่สหภาพโซเวียต แต่เครื่องบินของหลินเปียวกลับตกที่มองโกเลียในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ.1971 หลินเปียวเสียชีวิตทันที การเสียชีวิตของหลินเปียวเป็นหนึ่งในปริศนาในประวัติศาสตร์จีนว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
วินิจฉัยอาการของหลินเปียว
อาการของหลินเปียวถูกวินิจฉัยโดยนายแพทย์หลายท่านด้วยกัน
แพทย์โซเวียตได้เคยตรวจหลินเปียวและเชื่อว่า หลินเปียวเป็นไบโพลาร์ การวินิจฉัยนี้ได้รับการสนับสนุนโดยแพทย์ชาวจีนสายตะวันตกหลายคน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าหลินเปียวเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
งานวินิจฉัยอีกฉบับหนึ่งได้รายงานว่า หลินเปียวมีอาการทางจิตที่เรียกว่า Schizoid Personality Disorder เพราะว่าเขามีอาการนิ่งเฉย ตัดขาดจากสังคม ชอบทำตัวมีความลับ และไร้อารมณ์
แต่ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะว่ารัฐบาลจีนไม่ยอมปล่อยบันทึกทางการแพทย์ของหลินเปียวออกมาสู่สังคม หลินเปียวป่วยเป็นโรคอะไรจึงยังคงเป็นปริศนาต่อไป
Source:
Frank De Kotter, “The Cultural Revolution”