การศึกษา3 คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์น่าเรียน (เรียนเอง/ตัวต่อตัว)

3 คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์น่าเรียน (เรียนเอง/ตัวต่อตัว)

ถ้าพูดถึงภา่ษาที่สามที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่คนไทยแล้ว ภาษาญี่ปุ่น คงเป็นอันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย คนไทยจำนวนมากชื่นชอบและเติบโตมากับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นมังงะ อนิเมะ ไปจนถึงอาหารญี่ปุ่นต่างๆ ทำให้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักที่หลายคนอยากจะใช้งานภาษาญี่ปุ่นได้อย่างชำนาญ

นอกจากนี้ถ้าจะว่ากันในเชิงของประโยชน์แล้ว การเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นเองก็มีประโยชน์มาก เพราะประเทศไทยมีบริษัทญี่ปุ่นมากมาย ถ้าคุณสามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นคล่องแคล่วแล้วย้อมเปิดโอกาสให้คุณเข้าถึงงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ รวมไปถึงโอกาสทางการศึกษาและทำธุรกิจอีกนานับประการ

ส่วนใหญ่แล้วผู้่ที่สนใจภาษาญี่ปุ่นจะไปเรียนกันที่โรงเรียนสอนภาษาต่างๆ มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย อย่างไรก็ดีด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาก คุณไม่ต้องตรากตรำและเสียเวลากับรถติดเพื่อไปที่สถาบันอีกต่อไป คุณสามารถเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบตัวต่อตัวกับครูเจ้าของภาษาที่ไหนและเวลาไหนก็ได้ที่คุณต้องการ หรือว่าแม้แต่เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นทางออนไลน์ด้วยตนเอง

เราไปดูกันดีกว่าครับจะมีคอร์สไหนบ้าง

สิ่งที่คุณควรทราบ

คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ผมจะแนะนำในโพสนี้มีสองรูปแบบด้วยกันได้แก่

แบบเรียนตัวต่อตัวกับครู – การเรียนแบบนี้จะเรียนออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม video conference ซึ่งคุณจะเรียนกับครูชาวญี่ปุ่นแบบสดๆ ตัวต่อตัว ครูของคุณจะสอนทักษะทุกด้าน ตั้งแต่การพูด ฟัง อ่าน เขียน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนถามคำถามได้อย่างไม่จำกัด ทำให้เป็นการเรียนภาษาทางออนไลน์ที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ดีข้อเสียของวิธีนี้คือ ค่าเรียนจะคิดเป็นรายชั่วโมง ซึ่งจะสูงกว่าการเรียนด้วยตนเอง นอกจากนี้คุณยังต้องมี internet ที่เสถียรและเร็วในระดับหนึ่ง มิฉะนั้นการเรียนจะติดขัดและทำให้คุณได้รับประสบการณ์การเรียนที่ไม่ดีนัก

แบบเรียนด้วยตัวเอง – การเรียนรูปแบบนี้จะมีหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นที่ชัดเจน และให้ทรัพยากรทางการเรียนมาอย่างครบถ้วน ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นเรียนด้วยตนเอง โดยทั่วไปแล้วคุณสามารถดาวน์โหลดตัวคอร์สมาเรียนแบบ offline ได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องอินเตอร์เน็ตครับ

ข้อดีของการเรียนแบบนี้คือราคาจะถูกกว่าแบบเรียนตัวต่อตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าคุณสงสัยอะไร คุณจะเข้าถึงครูผู้สอน (ในวิดีโอหรือ podcast) ได้ยากกว่ามาก ทำให้ทักษะที่ต้องอาศัยการโต้ตอบและการประเมิน อย่างเช่นการพูดและการเขียนถูกพัฒนาไปได้ไม่ดีเท่าการเรียนแบบตัวต่อตัวครับ

จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่ยากต่อการเรียนให้ชำนาญ ดังนั้นถ้าคุณตั้งเป้าอยากจะใช้งานภาษาญี่ปุ่นให้ได้จริงๆ โดยที่เสียค่าใช้จ่ายไม่มากนัก ผมแนะนำให้เรียนทั้งสองแบบประกอบกันครับ

นั่นก็คือคุณซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ด้วยตัวเองเป็นคอร์สหลัก หลังจากนั้นก็จองคอร์สเรียนแบบตัวต่อตัวไว้บ้าง เพื่อใช้ถามคำถาม และพัฒนาทักษะทางด้านการพูดและการเขียน ด้วยวิธีนี้คุณจะเสียค่าใช้จ่ายไม่มากเกินไป และพัฒนาทักษะทุกด้านได้อย่างสม่ำเสมอ

แต่ถ้าคุณมีงบประมาณไม่จำกัดแล้ว ผมแนะนำให้คุณเรียนแบบตัวต่อตัวยาวๆ กับครูเจ้าของภาษาจะช่วยให้คุณเก่งภาษาญี่ปุ่นได้เร็วที่สุดครับ

การเรียนภาษาญี่ปุ่นแบบตัวต่อตัว

1. Preply

Preply เป็นแพลตฟอร์มเรียนภาษาแบบตัวต่อตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คุณสามารถหาเจ้าของภาษาที่เป็นครูที่จบปริญญาทางด้านการสอนภาษามาเพื่อสอนคุณได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นถ้าคุณกำลังหาครูสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์การสอนเต็มเปี่ยมแล้ว Preply เป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่สุดเลยครับ

นอกจากภาษาญี่ปุ่นแล้ว คุณสามารถเรียนภาษาอื่นๆ ได้เช่นกัน ตั้งแต่ภาษาอังกฤษ, ภาษาเกาหลี, ภาษาสเปน ฯลฯ

การเลือกครูสอนภาษาญี่ปุ่น

ในปัจจุบัน Preply มีครูสอนภาษาญี่ปุ่นมากกว่า 1,000 คน ดังนั้นคุณจำเป็นต้องใช้ screener ก่อนเพื่อเลือกครูให้เหมาะสมครับ

ขั้นตอนที่ผมอยากจะแนะนำมีดังต่อไปนี้

  1. เลือกให้แสดงเฉพาะครูที่เป็น “Native Speaker” เท่านั้น คุณจะได้เรียนกับเจ้าของภาษาครับ
  2. ต่อมาก็แน่นอนว่าเลือกเฉพาะครูที่มาจากประเทศญี่ปุ่น
  3. ในส่วนของ Specialties และ Also Speaks นั้นจะเลือกอะไรก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเตรียมสอบภาษาญี่ปุ่น (N3, N2, N1) หรือว่าอยากสื่อสารกับครูเป็นภาษาไทย คุณก็สามารถระบุลงไปได้ เพื่อที่คุณจะได้ครูที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

หลังจากนั้นคุณจะได้รายชื่อของครูที่เข้าข่าย คุณก็จะประเมินครูต่อไปจากประวัติ วิดีโอแนะนำตัว รูปถ่าย คะแนนรีวิว แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือค่าเรียนครับ

ค่าเรียนต่อชั่วโมงนั้นครูของคุณจะเป็นผู้ตั้งเอง ดังนั้นจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน จากที่ผมสำรวจมานั้น ครูที่ได้รับความนิยมสูงๆ และมีนักเรียนเรียนอยู่ด้วยจำนวนมากจะคิดราคาที่แพงกว่าครูทั่วไป โดยค่าเรียนต่อชั่วโมงจะอยู่ที่ 500-800 บาท แต่ 200-400 บาทก็มีให้เห็นเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ค่าเรียนจะรวมหมดทุกอย่างแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเอกสารใดๆ เพิ่มเติมครับ ค่าเรียนที่คุณเห็นคือราคาที่คุณต้องจ่ายจริงในแต่ละชั่วโมงครับ

เมื่อคุณจะได้ครูที่คุณสนใจจะเรียนด้วยจริงๆ แล้ว คุณสามารถทดลองเรียนกับครูคนนั้นได้ครับ ทั้งนี้คุณจะต้องจ่ายค่าเรียนชั่วโมงแรกไปก่อน ถ้าคุณเรียนแล้วไม่พอใจ คุณสามารถจองเวลาลองเรียนกับครูอีกคนได้ หรือว่ารับค่าเรียนคืนก็ได้เช่นกัน โดยส่วนตัวผมมองว่าแฟร์ดีครับ

จุดแข็งอย่างหนึ่งของ Preply คือ คุณสามารถแจ้งให้ครูทราบได้ว่า คุณต้องการเรียนอะไร หลังจากนั้นครูจะออกแบบหลักสูตรที่ตรงกับความต้องการของคุณ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากจะเน้นเรียนพื้นฐานการพูดภาษาญี่ปุ่น ครูจะได้สร้างบทเรียนที่ช่วยพัฒนาทักษะอย่างที่คุณต้องการครับ

หลังจากเลือกครููและจ่ายค่าเรียนเรียบร้อย คุณก็สามารถเลือกเวลาเรียน และเริ่มต้นเรียนได้ทันทีครับ

โดยรวมแล้วการเรียนกับ Preply นั้นมีอิสระที่สูงมาก คุณสามารถกำหนดได้แทบทุกสิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้นจะเหมาะกับนักเรียนที่ไม่อยากจำกัดตัวเองอยู่ในข้อบังคับของหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นที่น่าเบื่อ รวมไปถึงผู้ที่มีตารางชีวิตที่ไม่แน่นอนครับ

[sc name=”preplythai” ][/sc]

2. Italki

Italki นั้นเป็นแพลตฟอร์มที่มีลักษณะเหมือนกับ Preply ทุกประการ นั่นคือจะสอนภาษาออนไลน์แบบตัวต่อตัว การเลือกครูนั้นจะใช้วิธีเดียวกัน และมีขั้นตอนการเรียนที่เหมือนกัน ดังนั้นในส่วนนี้ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดเพิ่มเติมครับ

อย่างไรก็ดี Italki นั้นมีความแตกต่างอยู่บ้าง นั่นก็คือคุณสามารถเลือกครูที่เป็น “Community Tutors” ได้ หรือหมายความว่าคุณสามารถลงเรียนกับเจ้าของภาษาที่ไม่ได้จบครูมาได้ ดังนั้นการเรียนจะเป็นทางการน้อยกว่า และให้ความรู้สึกว่าเรียนกับเพื่อนชาวญี่ปุ่น มากกว่าจะเรียนกับ “Sensei” ที่อาจจะดูคร่ำเคร่งเกินไป

โดยทั่วไปแล้วผมชอบเรียนออนไลน์กับครูมากกว่า แต่ตัวเลือกหลังนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าคุณอยากจะหาเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่สามารถสอนภาษาให้คุณได้ด้วยครับ

ค่าเรียนของ Italki จะใกล้เคียงกับ Preply นั่นคือประมาณ 500-800 บาทต่อชั่วโมง (ช่วงทดลองเรียนจะได้ลดราคา 50%-80%) อย่างไรก็ดีผู้ที่ต้องการจะเรียนจะต้องเรียนผ่าน app ของ Italki เท่านั้นครับ ทำให้เกิดความยุ่งยาก ถ้าคุณอยากจะเรียนผ่าน Laptop หรือ Desktop ของคุณครับ

เช่นเดียวกับ Preply คุณสามารถเรียนภาษาอื่นๆ นอกจากภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาษาฝรั่งเศส, ภาษารัสเซีย, ภาษาเยอรมัน และอื่นๆ อีกมากมายหลายสิบภาษาเลยครับ

คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ด้วยตัวเอง

3. JapanesePod101

จากที่ผมได้ทดสอบคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์มามากมาย ผมมองว่าคอร์สเรียนของ JapanesePod101 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างเป็นเอกฉันท์เลยก็ว่าได้ เนื้อหาที่คอร์สเรียนนี้ให้นั้น ผมบอกได้เลยว่าไม่มีกั๊ก เพราะแจกไม่ยั้ง ทำให้คุณสามารถพัฒนาทักษะภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ระดับเบสิกไปจนถึงระดับสูงได้เลยทีเดียว

บทเรียนภาษาญี่ปุ่นหลัก

บทเรียนภาษาญี่ปุ่นจะแบ่งออกเป็นสองส่วน นั่นคือบทเรียนหลักและบทเรียนเสริม

บทเรียนหลักจะเรียนผ่าน Podcast หรือว่ารายการวิทยุ โดย Format ของแต่ละบทเรียนจะเป็นแบบนี้ครับ

  • มีผู้ดำเนินรายการสองคน นั่นคือเจ้าของภาษาชาวญี่ปุ่น (สำเนียงชัดเป๊ะแบบญี่ปุ่นแท้) และนักเรียนต่างชาติ
  • เปิดรายการด้วย Dialogue แนะนำถึงสถานการณ์จำลองในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นการไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
  • ครูเจ้าของภาษาจะอธิบายคำศัพท์, แกรมม่า รวมไปถึงรูปแบบการใช้งานอย่างละเอียด
  • นักเรียนต่างชาติจะถามคำถามที่มีผู้สงสัยบ่อย
  • ครูเจ้าของภาษาจะอธิบายวัฒนธรรม และปัจจัยอื่นๆ ที่คุณควรทราบ

ในแต่ละบทเรียนจะยาวประมาณ 10-15 นาที หลังจากที่คุณเรียนจบจะมีแบบฝึกหัดให้คุณได้ฝึกฝนสิ่งที่คุณเรียนไปด้วย เช่นเดียวกับใช้ Voice Recorder เพื่อฝึกออกเสียงครับ

บทเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ของ JapanesePod101

ไม่เพียงเท่านั้นในแต่ละบทเรียนหลักจะมีเอกสารการเรียนแนบมาอย่างละเอียด ครอบคลุมทุกอย่างที่ครูได้สอนไป ไม่ว่าจะเป็นหลักไวยากรณ์ หรือคำศัพท์ พร้อมตัวอย่างประโยคที่ช่วยให้คุณเข้าใจประโยคภาษาญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น โดยส่วนตัวผมมองว่ามีประโยชน์มากๆ ต่อการทบทวนและ “ย่อย” เนื้อหาที่คุณได้เรียนไปครับ

บทเรียนย่อยและทรัพยากรการเรียนอื่นๆ

นอกจากบทเรียนหลักแล้ว ทาง JapanesePod101 ยังมีบทเรียนเสริม (ผสมผสานกันระหว่าง Podcast และวิดีโอ) ที่ครอบคลุมไวยากรณ์ คำศัพท์ หรือทักษะปลีกย่อยอย่างเช่นการอ่าน การฟังเป็นต้น ทำให้คุณได้เนื้อหามาเรียนเพิ่มเติมอีกมากมายมหาศาล และช่วยยกระดับทักษะภาษาญี่ปุ่นของคุณในทุกๆ ด้านครับ

ทั้งนี้ JapanesePod101 จะเพิ่มบทเรียนใหม่แทบจะทุกสัปดาห์ ทำให้โดยรวมแล้ว คุณมี content ให้เรียนหลายร้อยชั่วโมง และยังหลากหลายและทันต่อสถานการณ์ด้วยครับ

ไม่เพียงเท่านั้น JapanesePod101 ยังให้เครื่องมือในการเรียนภาษาอีกมากมาย อาทิเช่น

  • Voice Recorder – เพื่อให้คุณลองฝึกออกเสียงเทียบกับเจ้าของภาษา
  • Flashcards – ช่วยคุณท่องศัพท์ภาษาญี่ปุ่น
  • Grammar Bank – Reference ที่คุณสามารถใช้ตรวจสอบถ้ามีข้อสงสัยเรื่องแกรมม่า

แต่ทรัพยากรการเรียนที่ดีที่สุดก็คือ 1-on-1 Learning หรือว่าครูส่วนตัวครับ นั่นก็คือคุณจะได้ครูส่วนตัวที่จะมาช่วยเหลือคุณในการเรียนภาษาญี่ปุ่น โดยครูจะช่วยเหลือคุณในด้านต่อไปนี้

  • จัดหลักสูตรและลำดับขั้นตอนการเรียนให้เหมาะสม
  • ตอบคำถามทุกข้อที่คุณสงสัย
  • ให้แบบฝึกหัดเพิ่มเติม โดยเฉพาะการพูดและการเขียน รวมไปถึงตรวจแก้และให้ feedback
  • ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของคุณ

เรียกได้ว่า 1-on-1 Learning นี้มาเพื่อจัดการจุดอ่อนของคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ด้วยตัวเองเลยก็ว่าได้ และช่วยให้คุณพัฒนาได้ทุกทักษะจริงๆ อย่างไรก็ดีถ้าจะไปเทียบกับการเรียนผ่าน video conference ผมมองว่ายังไม่สามารถทำได้ครับ

ค่าเรียน

คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นของ JapanesePod101 จะคิดราคาต่อไปนี้

  • Basic – เริ่มต้นที่ $4 หรือประมาณ 120 บาทต่อเดือน
  • Premium – เริ่มต้นที่ $10 หรือประมาณ 300 บาทต่อเดือน
  • Premium Plus – เริ่มต้นที่ $23 หรือประมาณ 690 บาทต่อเดือน

ราคาด้านบนจะเป็นราคาสำหรับสมัครสมาชิก 2 ปีเท่านั้น ถ้าคุณสมัครเป็นรายเดือน หรือรายปีจะได้ที่ราคาสูงกว่านี้ครับ

ผมไม่แนะนำให้สมัคร Basic เพราะคุณแทบจะไม่ได้อย่างอื่นเลย นอกจากเอกสารการเรียนเท่านั้น ผมมองว่าสมัครไปก็ไม่ต่างจากซื้อหนังสือเรียนเท่าไรครับ

ผมแนะนำให้เพิ่มเงินอีกหน่อยแล้วสมัคร Premium ไปเลยดีกว่า เพราะจะได้ทุกอย่างในแพลตฟอร์ม ยกเว้นแค่ 1-on-1 Learning หรือครูส่วนตัวเท่านั้นครับ คุณจะได้ใช้ทรัพยากรการเรียนทุกรูปแบบ โดยเฉพาะแบบฝึกหัดแบบ Interactive ที่ช่วยคุณประเมินทักษะภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง

ส่วน Premium Plus นั้นจะเพิ่ม 1-on-1 Learning ขึ้นมา ซึ่งจะดีเยี่ยม ถ้าคุณต้องการการพัฒนาทักษะแบบครบทุกด้าน แต่เรื่องค่าใช้จ่ายอาจจะสูงเกินไป ผมจึงมองว่าสำหรับผู้เรียนส่วนใหญ่นั้น แค่ Premium ก็พอแล้วครับ

JapanesePod101 ให้คุณลองเรียนได้ฟรี หลังจากสมัคร account ครับ ถ้าใครสนใจก็สามารถทดลองเรียนได้ทันทีครับ

ตัวเลือกอื่นๆ

หลายคนอาจจะสงสัยว่าคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ยังมีอีกมากมาย แต่ทำไมผมถึงไม่แนะนำ โดยเฉพาะเหล่าแบรนด์ใหญ่ๆ ผมจึงขอแจ้งให้ทราบดังต่อไปนี้ครับ

Pimsleur Japanese – ทางเลือกที่น่าสนใจถ้าคุณต้องการพูดภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวันได้อย่างเร็วที่สุด คอร์สของ Pimsleur จะเน้นหนักที่การพูดและการฟังเท่านั้น และให้ความสำคัญกับการฝึกให้คุณ “คิด” เป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ส่วนอื่นอย่างเช่นการเขียนและแกรมม่านั้นแทบจะไม่สอนเลย ทำให้ผมมองว่าไม่สมบูรณ์เท่าไรนักครับ

Duolingo – ตัวเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นที่น่าสนใจสำหรับใครที่ยังไม่อยากจ่ายเงิน ตัวคอร์สจะเน้นไปที่แกรมม่าและการสร้างประโยคเป็นหลัก เหมาะกับมือใหม่ที่อยากลองสัมผัสภาษาญี่ปุ่นดู แต่ไม่เหมาะสำหรับใครที่อยากจริงจัง เพราะตัว app มีบั๊กจำนวนมาก และไม่เน้นทักษะทางด้านอื่นเลยครับ

Rosetta Stone – รูปแบบการเรียนจะใช้ระบบ Immersive Learning ที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ การเรียนช่วงแรกจะสนุกดีเพราะเรียนผ่านรูปภาพ และรูปแบบคอร์สคล้ายเกม แต่เมื่อคุณไต่ระดับที่สูงขึ้น คุณจะรู้สึกว่าคุณยังไม่สามารถพูดได้อยู่ดี เพราะคอร์สไม่ได้เทรนให้คุณใช้งานภาษาในชีวิตประจำวัน

Rocket Japanese – คอร์สเรียนที่คล้ายกับ JapanesePod101 โดยเน้นที่ความครบถ้วนเช่นกัน มีเนื้อหาในรูปแบบ Podcast ให้เรียน อย่างไรก็ดีถ้าพูดถึงความลึกของเนื้อหานั้น ผมมองว่ายังสู้ไม่ได้ครับ

Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwathttps://victorytale.com/about-victorytale/
ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Victory Tale ผมชื่นชอบในหลากหลายสาขาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว เทคโนโลยี ไปจนถึงการลงทุน หลังจากที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ผมก็ได้เป็นนักลงทุนในหุ้น, ติวเตอร์, นักเขียน (ตีพิมพ์ไปแล้ว 3 เล่ม) และในปัจจุบันก็เป็นเจ้าของเว็บไซต์ครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!