GMAT หรือ Graduate Management Admission Test เป็นการสอบที่วัดความสามารถของผู้สอบไม่ว่าจะเป็นการคิดวิเคราะห์ การคำนวณ ภาษา การเขียนภาษาอังกฤษ ฯลฯ เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการสมัครเรียนต่อเข้า MBA Program หรือปริญญาโทบริหารธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา
การสอบ GMAT ให้ได้คะแนนดีนั้นเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการเข้าโรงเรียนธุรกิจอันดับต้นๆ อย่างเช่น Harvard, Sloan หรือ Wharton อย่างที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่การทำคะแนนออกมาให้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และต้องอาศัยการฝึกฝนและติวเข้มอย่างยวดยิ่ง
จริงอยู่ว่าการติว GMAT สามารถทำได้ที่สถาบันต่างๆ ทั่วทั้งกรุงเทพ อย่างไรก็ดีคอร์สเหล่านั้นมีราคาสูงถึงสูงมาก บางคอร์สเองก็ไม่มีการการันตีผลสัมฤทธิ์ด้วย แถมคุณยังต้องฝ่ารถติดเพื่อไปเรียนในห้องที่แออัดอีก ถ้าคุณติดงานก็อาจจะไปเรียนไม่ได้ หรือว่าไม่มีสมาธิ ทำให้มาเรียนก็เหมือนไม่ได้มา
ดังนั้นในความคิดเห็นของผม การเรียน GMAT ออนไลน์เป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างมาก เพราะราคาถูกกว่า มีการการันตีผลสัมฤทธิ์ แถมถ้าคุณลงคอร์สแบบ self-paced คุณจะเรียนที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ แล้วแต่ที่คุณต้องการ
เราไปดูกันดีกว่ามีคอร์สเรียน GMAT ออนไลน์ไหนน่าสมัครบ้าง
แนะนำข้อสอบ GMAT
ในปัจจุบัน ข้อสอบที่ใช้วัดประกอบด้วย 4 ส่วนด้วยกันได้แก่
- Analytical Writing Assessment – ประเมินความสามารถของผู้สอบในส่วนของ Crtical Thinking และการนำเสนอประเด็นดังกล่าวให้เข้าใจ การสอบส่วนนี้จะใช้เวลา 30 นาที
- Integrated Reasoning – วัดทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล เช่นการอ่านตาราง กราฟิก เป็นต้น ในส่วนนี้จะใช้เวลาสอบ 30 นาที
- Quantitative Reasoning – วัดทักษะในการคำนวณ และการแก้ไขปัญหา ระยะเวลาในการสอบจะอยู่ที่ 62 นาที
- Verbal Reasoning – วัดทักษะภาษาอังกฤษ และในการคิดวิเคราะห์ ระยะเวลาในการสอบจะอยู่ที่ 65 นาที
รวมแล้วระยะเวลาในการสอบ GMAT จะอยู่ที่ 3 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ ทั้งนี้การสอบในปัจจุบันจะใช้คอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับ TOEFL แต่จะมี 2 สิ่งที่ต่างกันออกไป
- คุณสามารถเลือก Part ที่จะสอบก่อนหลังได้ 3 รูปแบบ แล้วแต่ว่าคุณอยากจะสอบ Part ไหนก่อน นอกจากนี้ยังมีพัก Break ยาว 8 นาทีให้อีก 2 ครั้ง
- ตัวข้อสอบจะเป็นแบบ Computer-Adaptive หมายความว่าถ้าคุณตอบถูกในข้อก่อนหน้า คุณจะได้คำถามที่ยากขึ้นในข้อถัดไป ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณตอบผิด ข้อต่อไปจะเป็นคำถามที่ง่ายขึ้น อย่างไรก็ดีการสอบลักษณะนี้จะทำให้คุณไม่สามารถย้อนกลับหรือกลับไปแก้ไขข้อก่อนหน้าได้ ถ้าคุณตอบลงไปแล้วคือตอบไปเลยครับ
ในส่วนของผลคะแนนจะอยู่ระหว่างช่วง 200-800 (เหมือนกับ SAT) สิ่งที่สำคัญคือคุณจะโดนหักคะแนนถ้าการทำข้อสอบไม่เสร็จทันเวลา ดังนั้นการบริหารเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับการสอบ GMAT ให้ได้คะแนนดีครับ
การสอบ GMAT จะมีค่าใช้จ่าย $250 ต่อครั้ง (ถ้าคุณสอบในประเทศไทย) และมีค่าใช้จ่ายปลีกย่อยอีกมากมาย (ซึ่งคุณไม่จำเป็นต้องจ่าย) ถ้าสนใจในรายละเอียดอ่านได้ที่นี่ครับ
เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน ทำให้คุณไม่ต้องไปสอบที่ศูนย์สอบอีกต่อไป แต่สามารถสอบที่ไหนก็ได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งการสอบจะอยู่ในการดูแลของผู้คุมสอบอย่างเคร่งครัด
ถัดไปเราไปดูกันดีกว่าครับมีคอร์สไหนน่าเรียนบ้าง
1. Prep Scholar
Prep Scholar เป็นสถาบันออนไลน์ที่มีคอร์สชั้นยอดที่ช่วยคุณเตรียมสอบต่างๆ ทั้งในระดับปริญญาตรี และระดับปริญญาโท เรียกได้ว่าคุณจะสอบอะไรก็มีคอร์สคุณภาพเยี่ยมให้เรียนครับ
สำหรับคอร์สเรียน GMAT ของ Prep Scholar จะเป็นคอร์สแบบ Self-paced หรือว่าคุณจะเรียนและฝึกฝนทุกอย่างแบบความต้องการของคุณ ผ่านทางการเรียนแบบวีดิโอและ Interactive Lesson ผสมผสานกันครับ
ตัวคอร์สนั้นจัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญของ Prep Scholar ที่เคยสอบ GMAT มาแล้วได้คะแนนอยู่ใน Top 1% ดังนั้น คุณไว้ใจได้เลยว่าการสอนจะถูกต้องและครบถ้วนอย่างแน่นอน
ภายในคอร์สจะประกอบด้วย
- Diagnostic Assessment – การประเมินผลเบื้องต้น ในส่วนนี้จะเป็นวัดทักษะของคุณว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อนตรงไหน เพื่อที่ AI จะได้จัดคอร์สและแผนการเรียนที่เหมาะสมสำหรับคุณ
- บทเรียนแบบ Interactive Lesson มากกว่า 50 บท
- แบบฝึกหัดกว่า 1,200 ข้อ
- ข้อสอบจำลองที่ใช้วัดความพร้อมอีก 4 ชุด
- Study Plan ที่ช่วยให้คุณวางแผนในการเตรียมสอบ
- การันตีคะแนนว่าจะเพิ่มอย่างน้อย 60 คะแนน ถ้าไม่ถึง รับเงินคืน
ทั้งหมดนี้ราคาจะอยู่ที่ $259 หรือประมาณ 7,770 บาทครับ โดยจะมีเวลาให้เรียนทั้งหมด 4 เดือน ซึ่งถือว่าคุ้มค่าอย่างมากเลยทีเดียว ทาง Prep Scholar แนะนำว่าคุณควรจะใช้เวลาอย่างน้อย 100 ชั่วโมงไปกับการเตรียมสอบ GMAT ซึงภายในคอร์สมี content อย่างเพียงพอทั้งในส่วนของภาษาอังกฤษและการคำนวณครับ
สำหรับใครที่อยากติว GMAT ออนไลน์แบบตัวต่อตัว ทาง Prep Scholar ก็มีตัวเลือกให้เช่นกัน โดยราคาจะเริ่มต้นที่ $799 ไปจนถึง $3,399 เลยทีเดียว แต่ในส่วนนี้ผมไม่แนะนำเท่าไรนัก เพราะว่าราคาสูงมาก และคุณอาจจะเรียนในช่วงเช้ามาก หรือไม่ก็เย็นมาก แต่ถ้าถามว่าคุณภาพดีหรือไม่ คำตอบก็คือดีตามมาตรฐานอย่างแน่นอนครับ
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
- คอร์สคุณภาพเยี่ยมได้มาตรฐาน จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์
- ราคาย่อมเยาเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ
- มีความรู้ระดับไหนก็เรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับพื้นฐาน หรือว่าเก่งอยู่แล้ว
- มี Study Plan ที่ช่วยให้คุณจัดการการเตรียมสอบอย่างมีประสิทธิภาพ
- การันตี 60 คะแนนขึ้นไป
- ลองเรียนฟรีได้ 5 วัน
ข้อเสีย
- ข้อสอบเสมือนให้แค่ 4 ชุด ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ
2. The Princeton Review
สำหรับใครที่เคยสอบ SAT หรือ TOEFL ไปแล้วน่าจะคุ้นเคยกับ The Princeton Review เป็นอย่างดีว่าเป็นสถาบันติวสอบรวมไปถึงผู้จัดจำหน่ายคู่มือติวสอบคุณภาพสูง สำหรับ GMAT แล้ว The Princeton Review ก็มีคอร์สสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มทักษะในการทำข้อสอบเช่นเดียวกันครับ
ในส่วนของคอร์สจะมีตัวเลือกมากมาย ตั้งแต่ Self-paced. Fundamentals, GMAT 700+ และติว GMAT แบบตัวต่อตัว
เรามาดูในส่วนของ Self-paced กันดีกว่าเพราะผมเชื่อว่าน่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดครับ สิ่งที่คุณจะได้ในคอร์ส Self-paced มีดังต่อไปนี้
- การเรียนการสอนแบบวีดิโอกว่า 37 ชั่วโมงที่จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญ (วีดิโอจะถูกจัดเรียงโดยใช้ระบบ Adaptive หรือหมายความว่าถ้าคุณทำแบบฝึกหัดได้ดี คุณจะได้บทเรียนที่ยากขึ้น)
- Quick Review หรือรีวิวสั้นๆ ช่วยให้คุณทบทวนง่ายขึ้น ไม่ต้องไล่ทบทวนทุกบทเรียนตั้งแต่แรก
- Adaptive Drill – แบบฝึกหัดที่ใช้วัดความสามารถและทักษะของ The Princeton Review จะใช้ระบบ Adaptive เช่นเดียวกับข้อสอบ ซึ่งจะช่วยให้คุณชินกับการเผชิญกับข้อสอบของ GMAT ที่ทวีความยากขึ้น (รวมทั้งหมดมากกว่า 4,000 ข้อ)
- Practice Tests อีก 10 ชุดเพื่อวัดความสามารถของคุณก่อนที่จะเข้าสู่ห้องสอบ
- 1-hour session ที่คุณจะได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับข้อสอบ วิธีการเตรียมสอบ ซึ่งคุณจะได้คำแนะนำดีๆ ช่วยให้การเตรียมสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น เหมาะมากๆ กับใครที่ต้องการทำคะแนนสูงๆ อย่างเช่น 700
- หนังสือ GMAT Official Guide ของ The Princeton Review
ในส่วนนี้ราคาจะอยู่ที่ $799 หรือประมาณ 23,970 บาท โดยให้ระยะเวลาที่เรียนได้ทั้งหมด 4 เดือนด้วยกัน
สำหรับ Fundamentals และ GMAT 700+ รูปแบบการเรียนจะเป็นแบบ Live Online หรือการเรียนกับผู้เชี่ยวชาญทางออนไลน์ คุณจะได้ตอบคำถาม แสดงความคิดเห็น และโต้ตอบกับครูของคุณ แต่เนื่องจากเรื่อง Timezone ที่ต่างกัน ผมจึงไม่แนะนำเท่าไรนัก เว้นเสียแต่ว่าคุณโอเคกับการเรียนช่วงกลางคืนหรือเช้ามาก หรือไม่ก็อยู่ที่อเมริกาอยู่แล้วครับ
อย่างไรก็ดีคอร์ส GMAT 700+ ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะการันตีคะแนนว่าจะได้สูงกว่า 700 ซึ่งจะเป็นคอร์สของผู้ที่ต้องการทำคะแนนให้ได้สูงๆ เพื่อเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชั้นนำนั่นเองครับ แต่ข้อเสียก็คือราคาแพงมาก ($1,599 หรือประมาณ 47,970 บาท) ครับ
ในส่วนของคอร์สเรียนตัวต่อตัวนั้น ทาง The Princeton Review ก็มีเช่นกัน แต่ราคาสูงมาก นั่นคืออยู่ที่ $167 หรือประมาณ 5,000 บาทต่อชั่วโมงครับ คุณจะได้รับการแก้ไขจุดอ่อนทุกอย่างตั้งแต่
ข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- บทเรียน แบบฝึกหัด ตลอดจนข้อสอบที่ใช้ในคอร์สมีคุณภาพสูงตามมาตรฐานของ The Princeton Review
- ใช้ระบบ Adaptive แทบทุกส่วนในคอร์ส ทำให้คุณคุ้นชินกับการสอบแบบนี้
- ขอคำแนะนำดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญ GMAT ได้
- แบบฝึกหัดและ Practice Tests ให้มาจำนวนมาก เรียกได้ว่าเกินพอ
- โดยรวมแล้วถือว่าเป็นคอร์สเรียน GMAT ที่สมบูรณ์ที่สุดในตลาด
ข้อเสีย
- การันตีแค่คะแนนจะเพิ่ม ไม่ได้การันตีว่าจะเพิ่มกี่คะแนนเหมือน Prep Scholar
- ระยะเวลาเรียนแค่ 4 เดือน แม้ว่าจะจ่ายแพงมาก
- ราคาสูงถึง $799
3. Target Test Prep
Target Test Prep เป็นสถาบันที่แต่ก่อนสอนเฉพาะฝั่งคำนวณของ GMAT อย่างเดียว แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มในส่วนของภาษาอังกฤษเข้าไปแล้วเรียบร้อย
สิ่งที่โดดเด่นคือ คะแนน GMAT เฉลี่ยของนักเรียนที่ติวจากสถาบันนี้ถือว่าสูงมาก โดยกว่า 84% ได้คะแนนสูงกว่า 700 ผมจึงมองว่า Target Test Prep นำเสนอคอร์สเรียน GMAT ที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการพัฒนาคะแนนฝั่ง Quant ของ GMAT ครับ
เรามาดูกันดีกว่าครับ เราจะได้รับอะไรบ้างจากคอร์สนี้
- บทเรียน GMAT แบบ self-paced มากกว่า 800 บทที่เต็มไปด้วยตัวอย่าง การอธิบายที่ละเอียดมากๆ และเทคนิคต่างๆ ที่ช่วยให้คุณสอบผ่านและทำคะแนนได้ดีอย่างไม่ต้องกังวล
- Personalized Study Plan – แผนการเรียนที่ตรงกับความต้องการของคุณ (ภายใต้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ) และ Progress tracking ซึ่งช่วยให้คุณทราบว่าคุณเรียนไปได้เท่าไรแล้ว มีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหนบ้าง
- แบบฝึกหัดแบบ Interactive กว่า 4,000 ข้อ โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้เวลาตนเองข้อละกี่นาที
- วิดีโอเฉลยแบบละเอียดถึงกว่า 1,200 คลิป
- Expert Support – คุณสามารถส่งอีเมล์ไปถามผู้เชี่ยวชาญได้ทุกเวลา
เดิมที Target Test Prep จะเน้นไปที่ในส่วนของ Quant แต่เร็วๆ นี้ได้เพิ่ม GMAT Verbal (ภาษาอังกฤษ) เข้ามาแล้วเช่นกัน ทำให้คุณสามารถใช้ในการเตรียมสอบทั้ง 2 ส่วนเลยครับ ทำให้ไม่ต่างอะไรกับคอร์ส GMAT อื่นๆ ครับ
ในส่วนของราคา คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการระยะเวลาเข้าถึงคอร์สกี่เดือน สำหรับรายเดือนจะอยู่ที่ $199 ถ้าต้องการ 4 เดือนจะได้ราคาพืเศษที่ $649 หรือประมาณ 8,970 บาท ขณะที่ 6 เดือนจะอยู่ที่ $799 ทั้งนี้ในส่วนนี้ผมมองว่าคอร์ส 4 เดือนน่าจะเพียงพอต่อการเตรียมสอบครับ ถ้าคุณไม่ชอบสามารถขอคืนเงินได้ฟรีในเวลา 7 วัน
ข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- บทเรียนในส่วนของ GMAT Quantitative มีคุณภาพที่ดี
- เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้อย่างง่ายดาย
- มีเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้คุณทราบถึงจุดอ่อนจุดแข็งของคุณ
- มีแบบฝึกหัดหลายพันข้อที่จะใช้วัดความสามารถของคุณ เช่นเดียวกับเฉลยละเอียดแบบวิดีโอ
- ทดลองเรียนได้ 5 วันในราคา $1
- การันตีว่าคะแนนจะเพิ่มขึ้นถึง 130 คะแนน
ข้อเสีย
- ขาดข้อสอบที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์แบบเต็ม (Full Practice Tests)
- ราคาที่ปรับใหม่ค่อนข้างสูง
4. Magoosh
Magoosh เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครที่ต้องการเรียน GMAT แบบวีดิโอที่ละเอียดสุดๆ ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ทั้งนี้คอร์สของ Magoosh จะมีทั้งแบบเรียนสดกับ self-study ซึ่งแบบเรียนสดนั้นจะเรียนได้ยาก ถ้าคุณอยู่ไทย ผมจึงแนะนำเป็นคอร์สแบบหลังจะดีกว่าครับ
สิ่งที่คุณจะได้จากคอร์สเรียนแบบ self-study มีดังต่อไปนี้
- ข้อสอบที่ใช้วัดความสามารถของผู้เรียน 2 ชุด (Diagnostic Tests)
- บทเรียนแบบวีดิโอกว่า 340 บท
- แบบฝึกหัดกว่า 1,300 ข้อทั้งส่วนของภาษาอังกฤษและเลข แต่ละข้อมีวีดิโออธิบายอย่างละเอียด
- Study Schedule ที่ช่วยให้คุณจัดสรรตารางเวลาในการเรียน
- Support แบบไม่จำกัดผ่านทางอีเมล์
ในส่วนนี้ราคาจะอยู่ที่ $249 หรือประมาณ 7,470 บาทใกล้เคียงกับ Prep Scholar และถูกกว่า The Princeton Review มากกว่าครึ่งอีกครับ
นอกจากนี้ Magoosh ยังมีคอร์ส GMAT สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนแบบตัวต่อตัวเช่นกัน ในราคา $799 คุณจะได้เรียนกับผู้เชี่ยวชาญเป็นเวลา 6 ชั่วโมง และได้คอร์สแบบ self-study แถมไปด้วยครับ
ข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- วีดิโอของ Magoosh ถือว่าละเอียดมากครอบคลุมทั้งเนื้อหาหลัก และแบบฝึกหัด
- เรียนผ่าน App ได้
- เรียนได้ตลอดทั้งปี (เริ่มต้นจากวันที่สมัคร)
- การันตีว่าคะแนนจะเพิ่ม 50 คะแนน
- มีระบบ Score Predictor ว่าคุณจะได้คะแนน GMAT เท่าไร (ในส่วนนี้ผมมองว่าดีมาก เพราะช่วยให้คุณรับทราบล่วงหน้า และอาจจะปรับกลยุทธ์ในการทำข้อสอบได้ทันเวลา
- สามารถ Pause สมาชิกได้ ระยะเวลาเรียนที่เหลืออยู่สามารถเก็บไปใช้ปีหน้าได้
ข้อเสีย
- Practice Tests น้อยมาก
- การเรียนจะเน้นเรียนกับวีดิโอ ถ้าคุณไม่ชอบวีดิโอ คำแนะนำของผมคือหาที่อื่นจะดีกว่าครับ
Magoosh ให้คุณลองเรียนฟรีได้ 7 วัน ถ้าสนใจลองเริ่มเรียนได้เลยที่นี่
5. Kaplan
Kaplan เป็นสถาบันติวสอบที่มีชื่อเสียงระดับโลกเช่นเดียวกับ The Princeton Review ดังนั้นทางสถาบันจึงมีคอร์สเรียน GMAT ออนไลน์คุณภาพเยี่ยมให้คุณได้เลือกสรร
คอร์ส GMAT ออนไลน์ของ Kaplan จะมีหลายแบบ (ปัจจุบันร่วมกับ Manhattan Review) แต่หลักๆ ก็คือแบบ self-paced และแบบตัวต่อตัว ซึ่งผมก็ยังคงแนะนำการเรียนแบบ self-paced ตามเดิมครับ เพราะราคาย่อมเยากว่า และได้ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนที่ไม่แพ้กัน
สิ่งที่คุณได้ในคอร์สคือ
- เนื้อหาให้เรียนกว่า 35 บท (รวมทั้งวีดิโอและแบบฝึกหัดต่างๆ)
- เจาะลึก GMAT Math อีก 7 ชั่วโมง
- ข้อสอบเสมือนที่ใช้วัดความสามารถก่อนเข้าสอบกว่า 6 ชุด
- หนังสือ GMAT ของ Kaplan
- GMAT Mobile App
- Quant eBook/GMAT Strategy Guide
- Test Simulation Booklet
ราคาของคอร์สนี้อยู่ที่ $999 สำหรับระยะเวลาที่เรียนได้อยู่ที่ 6 ชั่วโมงครับ ซึ่งแพงกว่าคู่แข่งอื่นๆ อยู่พอสมควร แต่ก็ได้ข้อดีตรงที่ทรัพยากรการเรียนที่ให้มาเยอะมาก ยากที่เรียนได้หมดครับ
ข้อดีข้อเสีย
ข้อดี
- แบบฝึกหัดและ Practice Tests มีจำนวนมาก และใช้ระบบ Adaptive เหมือนกับการสอบ GMAT ของจริง
- ครอบคลุมในส่วนของกลยุทธ์โดยเฉพาะฝั่ง GMAT Math ที่ให้คุณทำคะแนนสูงๆ ได้ไม่ยาก
- การเรียนการสอนมีคุณภาพ ใช้ทั้งวีดิโอและ interactive lessons
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง ($999)
- แบบฝึกหัดรวมไปถึงข้อสอบวัดความสามารถของ Kaplan โดยทั่วไปแล้วจะง่ายกว่าข้อสอบจริง
ส่งท้าย
ผมเชื่อว่าในโพสนี้คงจะตอบคำถามได้ไม่มากก็น้อยว่าจะเรียน GMAT ที่ไหนดี ผมขอให้ทุกคนสอบได้คะแนนดีๆ และติดมหาวิทยาลัยที่ฝันไว้นะครับ
อย่างไรก็ดี GMAT เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ถ้าใครต้องการการติวเข้มการสมัครเข้า MBA Program ผมแนะนำให้อ่านต่อที่บทความสถาบันเตรียมตัวสมัครเข้าปริญญาโทครับ