ประวัติศาสตร์ลามะอิติกิลอฟ: ลามะพุทธแห่งจักรวรรดิรัสเซีย ผู้มีร่างกายไม่เน่า

ลามะอิติกิลอฟ: ลามะพุทธแห่งจักรวรรดิรัสเซีย ผู้มีร่างกายไม่เน่า

แผ่นดินรัสเซียเป็นแผ่นดินแห่งศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออโธดอกซ์ แต่ด้วยความที่รัสเซียเป็นจักรวรรดิขนาดใหญ่ ประชาชนจึงนับถือศาสนาอื่นๆ ด้วยเช่นกัน อาทิเช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ หรือแม้กระทั่งศาสนาพุทธ

ในดินแดนไซบีเรียซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจีน มีชาวเบอร์ยัต (Buryat) จำนวนมากอาศัยอยู่ จักรวรรดิรัสเซียเองก็ได้เข้าปกครองดินแดนเหล่านี้ด้วย ชาวเบอร์ยัตจึงได้สถานะเป็นพลเมืองรัสเซียด้วยเช่นกัน

ชาวเบอร์ยัตเหล่านี้นับถือศาสนาพุทธมาเป็นเวลานานแล้ว ในปี ค.ศ.1852 มีเด็กชายผู้หนึ่งได้กำเนิดขึ้น เขาผู้นี้จะมีส่วนสำคัญในการสร้างวัดพุทธแห่งแรกในเมืองหลวงของรัสเซียอย่างเซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก

อิติกิลอฟ

เข้าสู่ร่มพระศาสนา

ชายผู้นี้มีชื่อว่า ดาชิ ดอร์โซ อิติกิลอฟ (Dashi-Dorzo Itigilov) เขาเป็นชาวเบอร์ยัตในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ อิติกิลอฟสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เด็ก เขาจึงต้องหาเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นเด็กเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าใกล้กับบ้านเกิด

ความยากลำบากไม่ได้ทำให้อิติกิลอฟย่อท้อ เขากลับสนใจที่จะศึกษาเล่าเรียน พออายุได้ 16 ปี เขาได้เรียนที่วิทยาลัยพุทธแห่งหนึ่งชื่อ Aninsky Datsan ซึ่งห่างจากบ้านเกิดของเขาหลายร้อยกิโลเมตร ที่วิทยาลัยแห่งนี้อิติกิลอฟได้ศึกษาศาสนาพุทธ รวมไปถึงตำราแพทย์และยาแบบทิเบตด้วย

Aninsky Datsan

ระหว่างการเรียน อิติกิลอฟต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่พระลามะผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เห็นในความตั้งใจของอิติกิลอฟเลยขอให้พวกชาวบ้านช่วยกันช่วยเหลือเจียดเงินมาเป็นค่าปรับให้กับรัฐบาล เพื่อที่อิติกิลอฟจะได้ไม่ต้องไปเป็นทหาร ด้วยเหตุนี้อิติกิลอฟจึงได้โอกาสศึกษาต่อไปได้

การศึกษาดังกล่าวใช้เวลายาวนานมาก โดยทั่วไปจะใช้เวลานานถึง 15-20 ปี หลังจบการศึกษาอิติกิลอฟได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิด และได้บวชเป็นลามะ และทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป

ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด

อิติกิลอฟได้ทำการเผยแผ่ศาสนาและทำงานเพื่อสังคมอยู่เป็นเวลานาน เขาให้ความรู้กับผู้คนแถบนั้น สอนศาสนา และรักษาผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารด้วย

ด้วยความพากเพียรอยู่เป็นเวลานาน อิติกิลอฟจึงได้รับตำแหน่งเป็นคัมโบลามะ หรือลามะสูงสุดแห่งไซบีเรียตะวันออก อิติกิลอฟได้รับเชิญเป็นหนึ่งในลามะให้เข้ามาเปิดวัดพุทธแห่งแรกในเซนต์ปีเตอร์สเปิร์กด้วย

วัดแห่งนี้มีชื่อว่า Datsan Gunzechoinei วัดแห่งนี้ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากคริสตจักรออโธดอกซ์ว่าไม่ให้มาเปิดในเมืองหลวงของรัสเซีย แต่ซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียทรงเปิดกว้างทางศาสนา พระองค์มีพระบรมราชโองการให้เปิดวัดดังกล่าวได้

วัด Datsan Gunzechoinei Cr: Vadim Tolbatov

เมื่อมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครบรอบ 300 ปีของราชวงศ์ อิติกิลอฟก็ได้รับเกียรติสูงสุดให้เข้าร่วมงานดังกล่าว ซึ่งอิติกิลอฟน่าจะเป็นตัวแทนของชาวพุทธ หรือ ชาวเบอร์ยัตนั่นเอง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อิติกิลอฟได้จัดตั้งองค์กร “พี่น้องชาวเบอร์ยัต” ขึ้นเพื่อรวบรวมเงินบริจาคเพื่อนำไปซื้ออาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคให้กับกองทัพรัสเซีย รวมไปถึงจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่งด้วย อิติกิลอฟและลามะที่มีความรู้ทางการแพทย์ต่างช่วยกันรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสมรภูมิ

อิติกิลอฟไม่ได้เรียกร้องสิ่งตอบแทน แต่ซาร์นิโคลัสก็พระราชทานเหรียญเกียรติยศเซนต์แอนนา และเซนต์สแตนนิสลัสให้กับเขาในเวลาต่อมา

หลังการปฏิวัติ

หลังจากการปฏฺิวัติตุลาคม และสงครามกลางเมืองรัสเซีย เหล่าลามะรัสเซียและศาสนาพุทธเริ่มถูกเบียดเบียนโดยพวกบอลเชวิค อิติกิลอฟแนะนำให้ลามะรัสเซียทั้งหลายอพยพออกนอกประเทศ เขาคาดการณ์ว่าพวกบอลเชวิคจะจับกุมเหล่าลามะในเร็วๆนี้แน่ ถ้าถูกจับกุมเหล่าลามะคงจะไม่รอดชีวิต เขาจึงแนะนำให้ลามะอื่นๆ ออกไปจากรัสเซียไปให้หมดสิ้น เพราะ “แนวคิดสีแดงกำลังมาถึงแล้ว”

ตัวอิติกิลอฟเองกลับปฏิเสธที่จะออกจากรัสเซียไปไหน เมื่อมีใครถามว่า แล้วทำไมอิติกิลอฟไม่หนีออกจากรัสเซียไป เขาพูดแค่ว่า

พวกเขาจะไม่มีเวลามานำตัวฉันไปหรอก

อิติกิลอฟ

ในปี ค.ศ.1927 อิติกิลอฟนั่งขัดสมาธิเพชรอยู่ในวิหาร เขาเรียกสานุศิษย์ที่ยังเหลืออยู่มาชุมนุมกันและประกาศว่า

พวกเธอจะพบร่างของฉันในอีก 75 ปีข้างหน้า

หลังจากนั้นอิติกิลอฟได้สั่งให้เหล่าสานุศิษย์สวดบทที่ใช้ในงานศพให้กับเขา แต่ไม่มีใครกล้าสวดแม้แต่คนเดียว อิติกิลอฟจึงนำสวดบทดังกล่าวด้วยตนเอง หลังจากสวดบทดังกล่าวจบแล้ว ร่างของอิติกิลอฟก็แน่นิ่ง ลมหายใจของเขาก็ขาดห้วงไป

ร่างของอิติกิลอฟไม่เน่า

ร่างของอิติกิลอฟถูกฝังในท่านั่งขัดสมาธิเพชร ร่างของเขาพบว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์เมื่อมีการตรวจสอบอย่างลับๆ โดยเหล่าลามะในปี ค.ศ.1955 และ 1973 ทุกคนที่ตรวจสอบพบว่าร่างของเขาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ไม่มีใครกล้าแพร่พรายเรื่องนี้ออกไป เพราะในขณะนั้นอยู่ในสมัยโซเวียต

ร่างของอิติกิลอฟ

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2002 หรือ 75 ปีพอดี ตามที่อิติกิลอฟได้พยากรณ์ไว้ หลุมฝังศพของเขาถูกเปิดอย่างเป็นทางการต่อเหล่าผู้นำระดับสูงของศาสนาพุทธในรัสเซีย จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่า ร่างของอิติกิลอฟสมบูรณ์มากเหมือนกับว่าเพิ่งจะเสียชีวิตไปเพียง 36 ชั่วโมงเท่านั้น

ร่างของอิติกิลอฟได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสิ่งหนึ่งของชาวพุทธรัสเซีย ท่ามกลางกระแสว่า เขายังไม่เสียชีวิต แต่เขาอยู่ในสมาธิขั้นสูงสุด ร่างของเขาจึงอยู่ได้โดยไม่ย่อยสลายไปตามธรรมชาติ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!