ท่องเที่ยวนั่งเครื่องบินไป "อเมริกา" อย่างไรให้สบายและไม่ค่อยเหนื่อย?

นั่งเครื่องบินไป “อเมริกา” อย่างไรให้สบายและไม่ค่อยเหนื่อย?

การขึ้นเครื่องบินไปกลับอเมริกา-ไทย เป็นฝันร้ายสำหรับคนหลายคนที่ไม่ชอบนั่งเครื่องบิน เพราะว่าเราต้องใช้เวลานานมากกว่า 20 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ถ้าคุณนั่งชั้นประหยัด (economy) คุณยังต้องนั่งเบียดๆ ในที่นั่งแคบๆ อีกด้วย ทำให้เป็นประสบการณ์นี้เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากจะพบเจอเลยแม้แต่น้อย

ในช่วงที่ผมเรียนอยู่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ 5 ปีนั้น ผมบินไปกลับกรุงเทพ-นิวยอร์กปีละสองครั้ง ซึ่งการบินบ่อยๆ ทำให้ผมเรียนรู้วิธีการที่ทำให้การเดินทางสบายขึ้นมาหลายวิธี ในโพสนี้ผมจึงอยากจะแชร์วิธีการดังกล่าวครับ

เราไปเริ่มต้นกันเลยดีกว่า

Image by Ty Yang from Pixabay

1. จองตั๋วเครื่องบินให้ดี

“จองตั๋วเครื่องบินให้ดี” ในที่นี้มีความหมายกว้างมาก เพราะครอบคลุมหลายอย่างเลยครับ จริงๆ ผมเคยได้อธิบายไว้เยอะแล้วในบทความแนะนำการซื้อตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาที่เคยเขียนไว้ ในโพสนี้จึงขออธิบายสั้นๆ ครับ

นอกจากราคา สิ่งแรกที่ควรเลือกให้ดีเวลาจองตั๋วเครื่องบินคือ สายการบินครับ บางสายการบินคุณภาพต่ำ และไม่รับผิดชอบอะไรเลยถ้าเกิดปัญหาขึ้น

ดังนั้นผมแนะนำให้คุณเลือกใช้สายการบินเหล่านี้เป็นหลักครับ

  • Emirates
  • Qatar Airways
  • Etihad
  • Cathay Pacific
  • ANA
  • Korean Air
  • Asiana

ปัจจุบันไม่มีสายการบินใดที่บินตรงระหว่างกรุงเทพกับเมืองต่างๆ ในอเมริกา ดังนั้นคุณจะต้องแวะพักที่สนามบินใดสนามบินหนึ่งอย่างแน่นอน (layover) สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลา layover ที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าน้อยหรือมากกว่านี้ ผมมองว่าไม่ดีครับ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าว Layover น้อยกว่า 2 ชั่วโมงไม่ดีหรือ?

ผมบอกเลยว่าไม่ดีครับ เพราะถ้าไฟลต์แรกของคุณดีเลย์ คุณจะต้องวิ่งให้เร็วสุดชีวิตเพื่อให้ทันไฟลต์ที่ 2 หรือบางครั้งมันไม่ทันจริงๆ สายการบินก็ต้องเปลี่ยนไฟลต์ที่สองให้กับคุณใหม่ ไฟลต์ใหม่นี้อาจจะออกเดินทางในอีก 10 ชั่วโมงข้างหน้าก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้คุณต้องแกร่วในสนามบินอยู่อีกนานมากเลยครับ

อย่างเพื่อนผมคนนึง ตอนมันบินกลับไทยจากอเมริกา ตามกำหนดจะต้อง layover ที่ดูไบอยู่ที่ประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่เครื่องบินไฟลต์ที่มันบินมาจากอเมริกากลับดีเลย์ถึง 3 ชั่วโมง ทำให้มันตกเครื่องที่จะบินต่อมายังไทย

ที่พีคกว่าคือในวันนั้นไม่มีที่นั่งเหลือในเครื่องบินที่บินมาไทยแล้ว สายการบินเลยรับผิดชอบด้วยการออกตั๋วใหม่ให้ในวันรุ่งขึ้นหรือในอีก 18 ชั่วโมงข้างหน้า ยังดีที่สายการบินเปิดห้องในโรงแรมให้มันนอนฟรีๆ (โชคดีที่มันใช้บริการ Emirates) ไม่งั้นมันคงทรมานสุดๆ ไปเลยครับ

ส่วนถ้า Layover มากไปก็แน่นอนว่าไม่ดี เพราะคุณต้องรอที่สนามบินนานมากกว่าจะได้บิน การ layover นานๆ ทำให้คุณเหนื่อยจากการเดินทางเพิ่มขึ้นมากเลยครับ

2. เตรียมของแก้เบื่อให้ครบครัน

แน่นอนว่าในไฟลต์แบบ Long Haul มี In-flight entertainment (IFE) ที่ดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่คุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้มั้ยครับ

  • หนังกี่สิบเรื่องก็ไม่อยากดูสักเรื่อง
  • เกมกี่เกมก็ไม่อยากเล่น
  • มีแต่เพลงอะไรให้ฟังไม่รู้ เช่น ไม่มีเพลงไทยที่ชอบ

สรุปง่ายๆ คือสิ่งที่อยู่ใน IFE มันไม่ถูกจริตเรานั่นแหละ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถช่วยเราแก้เบื่อได้เลย

วิธีแก้คือ เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ครับ

ถ้าคุณชอบอ่านหนังสือ คุณก็พกหนังสือที่คุณชอบไป หรือโหลดหนังสือที่คุณอยากอ่านใส่ใน platform อย่าง Amazon Kindle, meb หรือ ookbee ให้เต็ม เพียงเท่านี้เราก็มีอะไรที่เราชอบอ่านแล้วละครับ

ต่อมาถ้าคุณชอบดูหนัง ดูซีรีส์ คุณก็ดาวน์โหลดหนังมาจาก Netflix หรือ Viu แล้วเอามาดูในมือถือหรือ Tablet ของคุณแบบยาวๆ เลยครับ อย่างผมชอบดู Talk Show ใน Netflix มาก ผมก็โหลดมาใน Tablet หลายตอนมากๆ และเก็บไว้ดูตอนอยู่บนเครื่องครับ ทำไปทำมาดูยังไม่จบ เครื่องก็ลงซะแล้ว 555

ส่วนใครที่ไปกับเพื่อน ผมแนะนำให้โหลดเกมที่หลายๆคนเล่นได้ในมือถือหรือ Tablet ครับ จะได้เอาไปเล่นกับเพื่อนแก้เบื่อบนเครื่องได้

3. เตรียมหมอนรองคอ

สำหรับคนที่จะนอนในเครื่องบิน (ผมว่าคนส่วนใหญ่ก็ต้องนอนเพราะว่าไฟลต์นาน) การนำหมอนรองคอไปด้วยถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะจะทำให้เราไม่ปวดเมื่อยบริเวณคอ ไหล่ และหลัง ซึ่งจะเกิดจากการนอนบนที่นั่งนานๆ ครับ

เวลาเลือกซื้อ ผมแนะนำให้เลือกแบบ Memory Foam ที่มีคุณภาพดีหน่อย ผมเคยใช้ของถูกๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับเอนนอนบนเก้าอี้ธรรมดาโดยไม่มีหมอนเลยครับ

4. เลือกที่นั่งให้ดี

การเลือกที่นั่งสำคัญกับการนั่งไฟลต์ยาวมาก เพราะถ้าที่นั่งไม่ดี คุณจะต้องทนทรมานอยู่กับสภาพแบบนั้นอยู่เป็นเวลานานเลยครับ

ที่นั่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงคือ ที่นั่งตรงกลางทั้งหลาย โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้เดินทางไปกับคนรู้จัก เพราะมันจะอึดอัดมากครับ ยิ่งถ้าคุณเจอคนตัวใหญ่ๆ นั่งข้างคุณด้วยแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ที่ทรมานสุดๆ เลยทีเดียว

ส่วนที่นั่งริมทางเดินกับที่นั่งริมหน้าต่างมีข้อดีคนละอย่าง สำหรับที่นั่งริมทางเดินคุณจะเดินเข้าออกง่าย เดินไปห้องน้ำหรือหยิบของอะไรก็ง่าย ส่วนที่นั่งริมหน้าต่าง คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการเข้าออกของชาวบ้าน และยังมีมุมให้ซุกหัวเป็นของตัวเองด้วยครับ

ในการเลือกที่นั่ง คุณควรจะเลือกที่นั่งในระบบล่วงหน้าไปก่อนบินนานๆ หรือไม่ก็รีบเช็คอินตั้งแต่เนิ่นๆ คุณอย่าไปคิดว่าที่นั่งตรงนี้มันจะเหลือให้คุณเลือกแน่ๆ เพราะมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็เป็นได้ ส่วนมากแล้วเที่ยวบินไฟลต์ Long Haul จากอเมริกานี่ผู้โดยสารเต็มแทบทุกไฟลต์เลยครับ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมประมาทไปหน่อย ผมเลยไม่ได้เลือกที่นั่งไว้ล่วงหน้า เพราะคิดว่ายังไงที่นั่งตรงทางเดินก็เหลือ แต่เอาเข้าจริงมันไม่เหลือครับ มันเหลือแต่ที่นั่งตรงกลาง สุดท้ายผมต้องทนนั่งตรงกลางและถูกกระหนาบด้วยคนตัวใหญ่เป็นเวลานานถึง 16 ชั่วโมง (จากนิวยอร์กไปฮ่องกง) นับเป็นประสบการณ์ที่เหนื่อยและลืมไม่ลงจริงๆ

5. “กิน” ก่อนขึ้นเครื่องทุกครั้ง

ไม่ว่าผมจะขึ้นเครื่องบินไปไหนก็ตาม ผมจะหาอะไรกินก่อนขึ้นเครื่องบินทุกครั้งครับ

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า “กินทำไม เดี๋ยวบนเครื่องก็มีให้กินอยู่แล้ว”

ใช่ครับ บนเครื่องมีให้กินก็จริง แต่บางครั้งคุณอาจจะเจอประสบการณ์แบบนี้ครับ

ขึ้นเครื่องไปแล้ว เครื่องยังไม่ออกไปไหนเลยเป็นเวลาถึงสองชั่วโมง เพราะสาเหตุอะไรที่เราก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือไม่มีการเสิร์ฟอะไรทั้งสิ้น นอกจากเครื่องดื่ม

ผมเคยเจออะไรแบบนี้ครั้งนึงที่สนามบิน JFK พอขึ้นเครื่องปุ๊ป ผมอ่าน Safety ที่แนบไว้กับที่นั่ง คาดเข็มขัดแล้วก็ม่อยหลับไปเลย ผมตื่นอีกที เวลาผ่านไปแล้วเกือบถึงสองชั่วโมง ผมรู้สึกหิวมากเลยนึกบ่นในใจว่า “ทำไมไม่เสิร์ฟอาหารอีกวะ”

เมื่อผมมองไปรอบๆ ก็ได้คำตอบครับ เพราะเครื่องบินยังอยู่บนลานจอดที่สนามบิน JFK และยังไม่ได้บินออกไปไหนเลย แอร์โฮสเตสจึงได้แต่เสิร์ฟเครื่องดื่มเท่านั้น สรุปคืออีกชั่วโมงนึง หลังจากที่เครื่องบิน take off ไปแล้ว ผมถึงจะได้กินอาหารที่เสิร์ฟบนเครื่อง

วันนั้นบอกเลยว่าผมหิวจนลมออกหู และอารมณ์เสียมากๆ นับตั้งแต่บัดนั้น ผมจึงแก้ปัญหาด้วยการหาอะไรกินให้อิ่มเลยตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน ไม่ว่าจะเป็น Fast Food หรืออะไรก็กินเข้าท้องไว้ก่อนเลยครับ

หรือถ้าคุณยังไม่อยากกินที่สนามบิน อีกทางเลือกหนึ่งคือซื้อขนมง่ายๆ ไว้กินบนเครื่องครับ นั่นสามารถช่วยให้คุณแก้หิวได้เช่นเดียวกัน

6. ไปหาของว่างเล็กๆกินบนเครื่อง

ในปัจจุบันไซส์ของอาหารบนเครื่องบินของชั้นประหยัดมีขนาดกระจุ๋มกระจิ๋ม ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่กินยังไงก็ไม่อิ่มอย่างแน่นอน โดยเฉพาะถ้าคุณเลือกกิน กินโน่นไม่กินนี่ด้วย

ถ้าคุณหิวขึ้นมาจริงๆ ด้านหลังที่นั่งผู้โดยสารชั้นประหยัด จะมีเป็นจุดที่แอร์โฮสเตสใช้เก็บถาดและของต่างๆ ที่บริเวณนี้อาจจะมีของว่างให้คุณหยิบมากินได้ตามใจชอบครับ

อย่างมีอยู่ไฟลต์นึง ผมบินกับสายการบิน Cathay Pacific อาหารว่างพวกนี้เป็นคุ้กกี้ และแซนวิชชิ้นเล็กๆ ซึ่งแอร์โฮสเตสจะจัดวางในตะกร้าให้ผมหยิบได้เลยโดยไม่ต้องขอแต่อย่างใด ก่อนจะหยิบผมถามเค้าก่อนว่านี่หยิบไปกินได้รึเปล่า เค้าก็บอกว่าหยิบไปได้เลย ผมก็จัดสิครับ

เชื่อหรือไม่ครับ มีผมหยิบอยู่คนเดียว เหมือนว่าคนอื่นจะไม่ทราบหรือขี้เกียจเดินมาหลังเครื่องก็ไม่รู้ แต่ผมไม่ได้หยิบเยอะนะประมาณ 2-3 ชิ้นเท่านั้นแหละ 555

นับตั้งแต่บัดนั้น ถ้าผมจะไปเข้าห้องน้ำด้านหลัง ผมจะไปมองดูตรงนี้เสมอว่าเค้ามีของอะไรวางไว้ให้หยิบหรือไม่ ซึ่งบางสายการบินก็ไม่มีให้หยิบเองครับ คุณอาจจะต้องขอจากแอร์โฮสเตสแทน

การเดินไปหาของกินยังช่วยให้เลือดของคุณไหลเวียนดีขึ้นด้วย หลังจากที่คุณนั่งนิ่งๆ ในที่นั่งของคุณบนไฟลต์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงครับ

7. แต่งกายให้สบาย

เครื่องแต่งกายของคุณไม่ควรจะรัดแน่นมากเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณอึดอัดมากเมื่อคุณต้องนั่งในเที่ยวบินยาวๆ นานนับสิบชั่วโมง นอกจากนี้คุณจะนอนยากขึ้นมากด้วย ทำให้คุณเหนื่อยและอารมณ์เสีย หรือเกิดอาการร้ายแรงที่เรียกว่า deep vein thrombosis ขึ้นมาได้

เวลาที่ผมนั่งเครื่องบิน ผมจะใส่เสื้อและกางเกงตัวที่ใส่สบายที่สุด ซึ่งอาจจะหลวมๆ หน่อยด้วยซ้ำไป ผมจะได้นอนบนเครื่องได้ง่ายมากขึ้นครับ

8. ชวนคนข้างๆ คุยบ้าง

ในเมื่อเราต้องนั่งข้างกันเป็นเวลานานนับสิบชั่วโมงอยู่แล้ว คุณไม่ควรพลาดโอกาสที่จะชวนคนที่นั่งอยู่ด้านข้างของเราคุยบ้าง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนไทยหรือชาติไหนก็ตาม เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ (หรือแฟน) ก็เป็นได้ครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!