“ห้องส้วม” หรือ “ห้องน้ำ” เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของมนุษย์อย่างแน่นอน ทุกวันเราจะใช้มันเพื่อถ่ายทุกข์จากการปวดปัสสาวะและอุจจาระ บางคนถ่ายง่ายถ่ายคล่อง ทำให้ต้องเข้าห้องน้ำหลายครั้งทีเดียวต่อวัน
หากแต่ว่าท่านทราบหรือไม่ว่า “ห้องส้วม” มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?
ห้องน้ำในยุคโบราณ
อารยธรรมแรกที่ปรากฏมีหลักฐานว่ามีห้องน้ำหรือห้องส้วมคือ อารยธรรมแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ (อินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน) โดยห้องน้ำที่พบที่เมืองโมเฮนโจ-ดาโรมีอายุมากกว่า 5,000 ปีเลยทีเดียว
ห้องน้ำของชาวโมเฮนโจ-ดาโรจะถูกสร้างขึ้นที่นอกบ้าน ของเสียจะไหลผ่านท่อไปเก็บในหลุมเก็บของเสีย หลังจากนั้นมีผู้มาทำความสะอาดมันอยู่เนืองๆ นอกจากนี้ภายในห้องน้ำยังปรากฏว่ามีการใช้น้ำเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกด้วย
ฟังดูล้ำสมัยไม่เบา ถ้าคำนึงว่าอายุของมันมากถึง 5,000 ปี!
ในช่วงเวลาเดียวกัน การใช้ห้องน้ำก็เริ่มปรากฏขึ้นในส่วนอื่นของโลกด้วย เช่นในอียิปต์ เปอร์เซีย และกรีซ ในอียิปต์ บรรดาชนชั้นสูงที่ร่ำรวยจะมีห้องอาบน้ำและห้องน้ำไว้ในบ้านของพวกเขา ตัวชักโครกจะทำมาจากหินปูน แต่ระบบการทำความสะอาดยังไม่ดีเท่าไรนัก ทำให้การทำความสะอาดต้องใช้มือช่วย
ถ้าเป็นชนชั้นสูงก็สบายไป เพราะทาสจะทำความหน้าที่ตรงนี้ให้ แต่ถ้าเป็นชนชั้นอื่น คุณต้องทำความสะอาดด้วยตัวเอง
เมื่อเวลาผ่านไป แนวคิดเรื่องห้องน้ำก็เริ่มพัฒนาขึ้น ในสมัยโรมัน เริ่มปรากฏว่ามีห้องน้ำรวมสำหรับสาธารณชน (Public Baths) ห้องน้ำลักษณะนี้ในกรุงโรมมีมากถึง 144 แห่ง แต่ละแห่งมีที่ปลดทุกข์ที่ใช้น้ำทำความสะอาดได้ดีในระดับหนึ่ง
ที่น่าแปลกใจคือ ชาวโรมันถือว่าการไปห้องน้ำเป็นการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง เพราะห้องน้ำรวมนี้เป็นสถานที่เปิดกว้างโดยไม่มีประตูกั้นแต่อย่างใด นั่นแปลว่าทุกคนจะเห็นหน้ากันหมดเวลาปลดทุกข์ ชาวโรมันจะถ่ายไป พูดคุยไป แลกเปลี่ยนข่าวสารกันไปด้วย
ในการทำความสะอาด พวกโรมันจะใช้ฟองน้ำติดกับไม้ในการเช็ดล้างสิ่งสกปรก ฟองน้ำนี้แน่นอนว่าจะถูกนำไปล้างและนำกลับมาใช้ใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกโรมันจะมีห้องน้ำสาธารณะที่ค่อนข้างดี แต่ชนชั้นสูงยังมีห้องน้ำไว้ใช้สำหรับส่วนตัวที่บ้านอยู่ดี
ขณะเดียวกันในสมัยราชวงศ์ฮั่น ชาวจีนจะใช้โถส้วมแบบหลุมในการถ่ายทุกข์ (แบบนั่งยองๆ ที่เรารู้จักกันดีนั่นแหละครับ) ห้องน้ำของชาวจีนโบราณจะถูกสร้างใกล้กับเล้าหมู ดังนั้นเมื่อถ่ายเสร็จ อุจจาระและปัสสาวะจะไหลไปอยู่ในเล้าหมูเพื่อเป็นอาหารของหมูอีกทีหนึ่ง!
ชาวจีนถ่ายทุกข์ด้วยวิธีนี้กันมานานหลายพันปี ทุกวันนี้ห้องน้ำแบบนี้ยังคงมีอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แม้รัฐบาลจีนพยายามจะกำจัดห้องน้ำแบบเดิมๆ ให้หมดไปก็ตาม
ห้องน้ำในยุคกลาง
ห้องน้ำในยุคกลางจริงๆ ก็ยังไม่ต่างกับสมัยโบราณมากนัก ในยุโรป ภายในห้องน้ำมักจะมีแค่หลุมและไม้ปิดเพียงเท่านั้น บางแห่งห้องน้ำจะสร้างเหนือแม่น้ำหรือทะเล กระแสน้ำจะได้พัดสิ่งสกปรกออกไป
ในปราสาทของชนชั้นสูง เราจะพบเห็นว่ามีห้องน้ำแยกออกไปเป็นการเฉพาะ ตัวห้องน้ำเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นไกลจากห้องนอนที่สุด เพื่อไม่ให้ส่งกลิ่น แต่มันจะถูกสร้างขึ้นใกล้กับห้องครัวหรือเตาผิงเพราะว่าเวลาถ่ายทุกข์จะได้รับไออุ่น
ส่วนพวกชนชั้นล่างในเมืองที่ไม่เจริญมากนัก พวกเขาจะเดินไปยังปลายสุดของชุมชน และอาศัยธรรมชาติเป็นที่ถ่ายทุกข์ แต่ในเมืองใหญ่ๆ ห้องน้ำสาธารณะยังมีอยู่ อย่างเช่นที่ปรากฏในกรุงลอนดอนในช่วงศตวรรษที่ 12 แต่ห้องน้ำนี้สร้างปัญหามาก เพราะมันถูกสร้างเหนือแม่น้ำ Thames ทำให้ความสกปรกและเชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วเมือง
ห้องน้ำที่มีคุณภาพดีที่สุดในยุคนั้นไม่ต้องสงสัยว่ามาจากโลกมุสลิม เนื่องจากศาสนาอิสลามให้ความสำคัญกับความสะอาดมาก ชาวมุสลิมเองก็มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในโลกในช่วงนั้น ทำให้ห้องน้ำในเมืองใหญ่ๆ ของโลกมุสลิมมีคุณภาพดีมาก เพราะมีระบบระบายน้ำที่ทรงประสิทธิภาพ กรุงแบกแดด เมืองหลวงของจักรวรรดิ Abbasid ในช่วงศตวรรษที่ 8 มีห้องน้ำสาธารณะมากถึง 65,000 แห่งเลยทีเดียว
ห้องน้ำในรูปแบบปัจจุบัน
เซอร์ จอห์น แฮร์ริงตัน (Sir John Harrington) ได้ประดิษฐ์ที่ถ่ายทุกข์แบบมีถังน้ำติดไว้ด้วยเป็นครั้งแรกของโลกในปี ค.ศ.1592 โถส้วมของแฮร์ริงตันมีท่อเล็กๆ ที่ปล่อยน้ำออกมาทำความสะอาดได้ แต่แนวคิดของเขาเหมือนว่าจะล้ำสมัยเกินไป ทำให้ไม่ได้รับความนิยม ชาวอังกฤษจึงยังคงใช้ห้องน้ำรูปแบบเดิมๆ อีกนานถึงเกือบ 200 ปี
ในปี ค.ศ.1770 อเล็กซานเดอร์ คัมมิ่ง (Alexander Cumming) ได้คิดค้นโถส้วมแบบที่คล้ายกับของแฮร์ริงตัน แต่ได้เพิ่มตัวท่อตัว S และวาล์วเข้าไปด้วย โถส้วมแบบนี้เองที่เป็นต้นแบบของโถส้วมแบบนั่งที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามโถส้วมแบบนี้ถูกใช้กันในหมู่ชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ด้วยประสิทธิภาพที่มากขึ้น ทำให้ห้องน้ำแบบใหม่ถูกลงและเริ่มกลายเป็นที่นิยมในช่วงศตวรรษที่ 19 ส่วนหนึ่งก็เพราะห้องน้ำแบบใหม่นี้สะดวกสบายและสามารถสร้างไว้ในบ้านได้ การจะออกไปถ่ายทุกข์ข้างนอกบ้านจึงไม่จำเป็นเหมือนอย่างแต่ก่อน
นานวันเข้าตั้งแต่ชนชั้นสูงไปจนถึงชนชั้นล่างก็ใช้ห้องน้ำในลักษณะนี้ทั้งหมดในยุโรป หลังจากนั้นห้องส้วมแบบนี้ได้แพร่หลายไปยังส่วนอื่นของโลก ทำให้ห้องน้ำแบบนี้เป็นแบบมาตรฐานไปในที่สุด
ในศตวรรษที่ 21 เทคโนโลยีต่างๆ เพิ่มประสิทธิภาพของโถส้วมให้มากขึ้น ปัจจุบันเราจึงเห็นโถส้วมแบบใหม่ๆ มากขึ้นตามลำดับ เช่นแบบกดอัตโนมัติที่จากประเทศญี่ปุ่นเป็นต้น
Sources:
- Kidd, Life in Medieval Times
- Baus
- Sixth Tone
- local histories