ท่องเที่ยวเที่ยวรัสเซียแบบคนชอบประวัติศาสตร์ (4): Hermitage (4)

เที่ยวรัสเซียแบบคนชอบประวัติศาสตร์ (4): Hermitage (4)

สวัสดีครับ ครับทุกท่าน กลับมารีวิวรัสเซียเหมือนเดิม หลังจากสองตอนผ่านไป เรายังอยู่ที่ชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ Hermitage ครับ เรามาต่อกันเลยดีกว่า

Grand Church

ที่นี่คือโบสถ์ใหญ่ของพระราชวังฤดูหนาวแห่งนี้ครับ ตอนที่ผมมาดู ค่อนข้างเงียบสงบไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก โบสถ์แห่งนี้อยู่ฝั่งตะวันออกของพระราชวังนะครับ

Grand Church

โบสถ์แห่งนี้สร้างเสร็จสิ้นและได้รับการทำพิธีในปี ค.ศ.1763 ตัวโบสถ์ในรับความเสียหายหนักมากเหมือนกันในไฟไหม้ใหญ่ หลังจากการปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบันโบสถ์ไม่ได้ใช้ทำพิธีใดทางศาสนาอีกต่อไปแล้วครับ

สำหรับท่านที่สนใจในประวัติของราชวงศ์โรมานอฟ สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟมาทำพิธีทางศาสนาหรือมาสวดมนต์ นอกจากนี้โบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 และซารินาอเล็กซานดราอภิเษกสมรสในปี ค.ศ.1894 อีกด้วย

The Raphael Loggias

ทางเดินแห่งนี้เรียกว่า Raphael Loggias ถือว่าเป็นทางเดินที่อลังการที่สุดจุดหนึ่งในบริเวณนี้ครับ ซารินาแคทเทอรีนมหาราชทรงโปรดให้สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1780 โดยลอกแบบมาจากพระราชวังของโป๊ปในกรุงวาติกันครับ

ตรงนี้สวยมากๆ แต่คนก็เยอะมากเช่นกัน มองไปมีแต่คนจีนทั้งนั้น รัสเซียนี่หาเงินกับคนจีนเป็นล่ำเป็นสันมากครับ ไกด์ชาวรัสเซียพูดจีนได้เป๊ะๆ เลย

Jordan Staircase

ตรงนี้เป็นบันไดฝากตะวันออกของพระราชวัง/พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ เป็นบันไดที่อลังการมากเลยทีเดียว ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนมากจะมาออกันอยู่ตรงนี้แหละครับ ทำให้ผมได้ติดแต่คนเต็มไปหมด จึงขอยืมรูปชาวบ้านมาให้ดูครับ

บันไดตรงนี้เป็นบันไดสำหรับซาร์แห่งรัสเซียที่จะเดินลงมาประกอบพิธี “Blessing of the Waters” ที่ริมแม่น้ำเนวา พิธีนี้เป็นพิธีที่เฉลิมฉลองพิธีรับศีลจุ่มของพระเยซูที่แม่น้ำจอร์แดนครับ

ไฟไหม้ใหญ่ได้ทำลายบันไดตรงนี้เสียจนยับเยิน สถาปนิกใหญ่อย่างวาซิลี สตาซอฟ จึงต้องสร้างเกือบทั้งหมดขึ้นมาใหม่มาแบบแปลนเก่าของฟรานเซสโก ราสเตรลีย์ โดยเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเองครับ

ในสมัยราชวงศ์โรมานอฟ บันไดแห่งนี้เป็นที่รับรองแขกชั้นสูงที่เดินเข้ามาในพระราชวังจากประตูตรงกลาง ในบริเวณนี้จะมีพวกทหารคอสแซกคอยรักษาการณ์อยู่นับร้อยนาย เพื่อดูแลความปลอดภัยครับ

งานศิลป์หลัก

Peacock Clock

Peacock Clock ไม่ใช่ห้องนะครับ แต่เป็นนาฬิกาตามชื่อเลย ตามรูปด้านล่าง

Peacock Clock

เจ้านี้คือนาฬิการูปนกยูงขนาดเท่าตัวจริงครับ มันมีสีทองเหลืองอร่าม แต่ในตัวนาฬิกาไม่ใช่ว่ามีแค่นกยูงเท่านั้นนะครับ ยังมีนกฮูกกับไก่แจ้ด้วย ที่โดดเด่นคือนกแต่ละตัวมันสามารถขยับหัวขยับหางได้ และสามารถส่งเสียงออกมาได้ครับ

นาฬิกานี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 18 แต่เจ้าชายโปเตมคิน ชู้รักของพระนางแคทเทอรีนมหาราชน่าจะซื้อและนำมาที่รัสเซีย จนสุดท้ายมันตกเป็นสมบัติของแผ่นดินรัสเซียครับ

Benois Madonna

อีกภาพหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก และคนมุงดูเยอะมากๆ คือภาพนี้ครับ ภาพนี้คือภาพชื่อว่า Benois Madonna วาดโดยเลโอนาร์โด ดาวินชี ถ่ายมาได้เท่านี้ครับ

Benois Madonna

ผู้หญิงในภาพนี้คือภาพมาดอนนา หรือ พระแม่มารี พระมารดาของพระเยซู ส่วนเด็กในรูปแน่นอนว่าพระเยซูนั่นเองครับ ภาพนี้วาดในปี ค.ศ.1478 ภาพนี้เดินทางมาสู่รัสเซียเพราะพ่อค้าชื่อ อเล็กเซย์ คอร์ซาคอฟซื้อมาในช่วงปี ค.ศ.1790 จนสุดท้ายมันตกอยู่ในมือของครอบครัว Benois และครอบครัวนี้ได้ขายภาพดังกล่าวให้พิพิธภัณฑ์ Hermitage ในปี ค.ศ.1914 ทำให้มันตกเป็นสมบัติของประเทศรัสเซียตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Madonna Litta

ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่คาดว่าเป็นของเลโอนาร์โด ดาวินชี เป็นรูปพระแม่มารีกำลังป้อนนมให้กับพระเยซูคริสต์ครับ ภาพนี้ชื่อว่า Madonna Litta

Madonna Litta

ตอนที่ผมไป ภาพนี้อยู่ในห้องเดียวกันกับภาพ Benois Madonna และ Peacock Clock ครับ ภาพนี้จุดเด่นอยู่ที่ Background สีฟ้า (ส่วนที่หลังหน้าต่างออกไป) ดาวินชีเก่งมากๆ ที่ทำให้ภาพมันดูมีความใกล้ความไกลได้อย่างชัดเจนขนาดนี้

ห้องจัดแสดงงานศิลป์อื่นๆ

ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมสักหน่อยนะครับ เผื่อหลายท่านจะงง ขอแปะรูปแผนที่พิพิธภัณฑ์ก่อนนะครับ

แผนที่พิพิธภัณฑ์ Hermitage (คลิกเพื่อขยาย)

จากแผนที่ เราจะสังเกตได้ว่าพระราชวังฤดูหนาว (Winter Palace) เนี่ยเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น คือส่วนสีเขียว ส่วนนี้จะเป็นสถานที่ที่ซาร์แห่งรัสเซียเคยพำนักอยู่ที่นี่ แต่ส่วนที่เชื่อมต่อกัน (ส่วนสีเหลือง สีฟ้า สีชมพู) ส่วนนี้คือพิพิธภัณฑ์ Hermitage เดิม

ตัวพิพิธภัณฑ์นี้เดิมทีแล้วเหมือนกับเป็น “ห้องเก็บของ” ครับ เพราะซารินาแคทเทอรีนชอบซื้องานศิลปะต่างๆมา ก็เลยต้องนำมาเก็บที่นี่ เดิมทีห้องเก็บของที่ว่าเนี่ยก็มีแค่ Small Hermitage หรือว่าสีฟ้าเท่านั้นเอง แต่พอผ่านไปหลายยุคหลายสมัย ของที่ซื้อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วจำนวนสิ่งของมากเกินกว่าอาคารจะรับไหว เลยต้องสร้างอาคารเพิ่มครับ เลยเกิดเป็นส่วนสีชมพู และสีเหลืองในแผนที่ขึ้นมา

ในตอนไฟไหม้ใหญ่ ไฟไม่ได้ไหม้มาถึงอาคารที่เป็นห้องเก็บของ เพราะว่าซาร์นิโคลัสที่ 1 สั่งให้เร่งทำลายส่วนที่เชื่อมติดต่อกันทั้งหมด ตัวอาคารที่เป็นพิพิธภัณฑ์เลยรอดมาได้ครับ

ในปี ค.ศ.1852 ส่วนที่เป็น “ห้องเก็บของ” ทั้งหมดก็ได้กลายสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม แต่ส่วนที่เป็นพระราชวังฤดูหนาว ซาร์แห่งรัสเซียก็ยังอาศัยเป็นที่พักส่วนตัวต่อไป จนกระทั่งในปี ค.ศ.1917 ที่มีการปฏิวัติตุลาคม พวกบอลเชวิคได้ประกาศรวมส่วนพระราชวังเข้ากับส่วนพิพิธภัณฑ์ ทำให้อาคารทั้งหมดถูกเรียกรวมๆกัน ว่า Hermitage Museum มาจนถึงทุกวันนี้ครับ

ในส่วนที่เป็น Hermitage (สีฟ้า สีชมพู และ สีเหลือง) จะเป็นส่วนที่จัดแสดงงานศิลปะทั้งหลาย ซึ่งมีมากเสียเหลือเกิน (3 ล้านชิ้น) ถ้าไปใหม่ เราอาจจะเห็นงานส่วนใหญ่ไม่ซ้ำกับชิ้นก่อนเลยก็เป็นไปได้

ส่วนนี้ผมเลยเห็นว่าน่าจะมากเกินกว่าที่ผมจะสามารถรีวิวให้ได้หมด จึงขอจบการรีวิวในโพสนี้แต่เพียงเท่านี้ครับ ตอนหน้าผมจะพาลงไปดูชั้นล่างว่ามีอะไรบ้างครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!