ประวัติศาสตร์รัสเซียครอบครัวซาร์สัญญาณแห่งจุดจบ: ยาคอฟ ยูรอฟสกี้ มาถึงบ้านอิปาตเยฟ (23)

สัญญาณแห่งจุดจบ: ยาคอฟ ยูรอฟสกี้ มาถึงบ้านอิปาตเยฟ (23)

การสังหารครอบครัวโรมานอฟเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของผู้นำระดับสูงของคณะกรรมาธิการอูรัลอย่าง เบโลบาโรดอฟ และโกโลเชคินมาได้สักพักใหญ่ๆแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนยังทำให้ภายในคณะกรรมาธิการมีการถกเถียงเรื่องนี้อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น

แต่แล้ววันที่ 26 มิถุนายน เบโลบาโรดอฟและโกโลเชคินก็ได้เห็นเหตุการณ์หนึ่งกับตาตัวเอง เหตุการณ์นี้เหมือนกับเป็นการตีแสกหน้าทั้งสองว่า จะปล่อยครอบครัวโรมานอฟต่อไปไม่ได้แล้ว

ยูรอฟสกี้

ความรัก

อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้ว ครอบครัวโรมานอฟกับพวกทหารสนิทสนมกันยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะสี่สาวโรมานอฟที่มักจะมาเล่นเกมกับพวกทหารเสมอๆ สถานะระหว่างสองฝ่ายจึงเหมือนนักโทษกับผู้คุมน้อยลงไปทุกที

นอกจากนี้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สี่สาวโรมานอฟเองก็หน้าตาดี โดยเฉพาะมาเรียที่เป็นขวัญใจของเหล่าทหารเลยก็ว่าได้ พวกทหารเองก็เป็นทหารหนุ่มๆ อายุน้อย (จากทหารยาม 60 คน มีแค่ 14 คนที่อายุมากกว่าโอลกา พี่สาวคนโต) หนุ่มสาวอายุใกล้เคียงกันอยู่ใกล้ชิดกัน “ตลอดเวลา” ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความรัก หรือความชอบพอ

สำหรับนิโคลัสแล้ว พวกทหารมองว่าเขาน่าสงสาร ทหารยามคนหนึ่งเขียนบันทึกบรรยายยืดยาวถึงนิโคลัส สรุปได้ว่าเขามองนิโคลัสเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เขามองว่านิโคลัสเป็นมิตร มีความอ่อนโยน น่าคบหา เขามักชวนพวกทหารคุยเล่นอยู่เสมอ พออยู่ไปนานๆ เขาจึงเรียกนิโคลัสว่า “Your Majesty”

อะไรแบบนี้เองเป็นสาเหตุที่ผู้นำของพวกบอลเชวิคสั่งห้ามไม่ให้พวกโรมานอฟและพวกทหารพูดคุยกัน พวกเขากลัวว่า ความรัก ความชอบพอ ความสงสาร จะเอาชนะ ระเบียบวินัยและความกลัวนั่นเอง

นานวันเข้าพวกทหารเริ่มคิดว่าการปล่อยให้พวกโรมานอฟหลบหนีไปก็ไม่เห็นเป็นไร ทหารส่วนใหญ่รู้สึกสงสารครอบครัวโรมานอฟขึ้นมา อย่างที่แอนโตลี ยาคิมอฟ ได้กล่าวไว้

หลังจากได้พบพวกเขาหลายๆ ครั้ง ความรู้สึกของฉันต่อพวกเขาเปลี่ยนไปมาก ฉันเริ่มสงสารพวกเขา ฉันสงสารพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์ ….. ในใจของฉันมีความคิดว่าจะปล่อยพวกเขาไป หรือทำอะไรสักอย่างที่ช่วยให้พวกเขาหนีรอดไปได้

อัฟดีฟเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน ต่อหน้าทหารของเขา อัฟดีฟมักจะชอบตะโกนเสียงดัง หรือพยายามแสดงออกว่าเขาเข้มงวดกับครอบครัวโรมานอฟ แต่เมื่อพวกทหารไม่อยู่ เขามักจะมาสอบถามความเป็นไปของครอบครัวโรมานอฟอย่างเป็นมิตรกว่าเดิมมาก

แต่ทหารบางคนคลั่งหนัก มีทหารนายหนึ่งชื่อ Ivan Kleschev ถึงกับประกาศต่อเพื่อนทหารว่า เขาต้องการแต่งงานกับอดีตแกรนด์ดัชเชสคนหนึ่ง (ไม่ระบุนาม) และถ้าพ่อแม่ของเธอปฏิเสธ เขาจะพาเธอหนีไปจากบ้านอิปาตเยฟด้วยตัวของเขาเอง

นอกจากนี้ยังมีบันทึกอื่นๆ มีมากมายที่แสดงให้เห็นว่า พวกทหารยามเปลี่ยนไปและพร้อมที่จะช่วยพวกโรมานอฟหลบหนีทุกเมื่อ ความเข้มงวดเริ่มลดลงจนเกือบจะเทียบเท่าหรือต่ำกว่าที่ทาบอสค์ด้วยซ้ำไป แนวคิดแบบนักปฏิวัติในหมู่ทหารพวกนี้หายไปจนหมดสิ้น

ดังนั้นพวกทหารเริ่มลักลอบนำสิ่งของจากภายนอกมามอบให้ครอบครัวโรมานอฟ อาทิเช่นขนมสำหรับสี่สาว และหนังสือสำหรับนิโคลัส สถานการณ์ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นใจสุดๆ ถ้ามีคนช่วยจากภายนอก มีโอกาสสูงมากที่ครอบครัวโรมานอฟจะหนีรอดไปได้

หากแต่ว่าอย่างที่หนังจีนบางเรื่องว่าไว้ คนทำไม่สู้ฟ้าลิขิต

ในกรณีนี้ดูเหมือนว่า ฟ้าจะลิขิตให้ครอบครัวโรมานอฟต้องจบชีวิตลงที่นี่ ในสถานที่ที่มีชื่อเดียวกับสถานที่ที่ราชวงศ์ถือกำเนิด

วันที่ 27 มิถุนายน เป็นวันเกิดของมาเรีย บุตรสาวของนิโคลัสที่สนิทสนมกับเหล่าทหารมากที่สุด ครอบครัวโรมานอฟช่วยกันจัดวันเกิดให้เธอตามปกติ

มาเรีย

แต่ที่ไม่ปกติคือ มีทหารคนหนึ่งชื่อ อีวาน สคราโคดอฟ แอบนำเค้กจากภายนอกบ้านเพื่อมาอวยพรวันเกิดให้กับเธอ ระหว่างที่มีการสังสรรค์นั้นเอง มาเรียและสคราโคดอฟก็ปลีกตัวออกมาจากคนอื่น และแอบไปพูดคุยกันสองต่อสอง

หากแต่ว่าในช่วงเวลานั้นเบโลบาโรดอฟกับโกโลเชคิน สองผู้นำของพวกบอลเชวิคกลับเดินเข้ามาในบ้านพอดี ทั้งสองทราบมานิดหน่อยว่าวินัยของพวกทหารหย่อนหยานลงมาก เลยตัดสินใจมาดูด้วยตาตัวเอง

โดยทั่วไปแล้วทั้งสองจะมาตามตารางที่กำหนดไว้ ทำให้อัฟดีฟและพวกทหารกลบเกลื่อนได้ทัน แต่ในวันนั้นทั้งสองมาเยือนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า

เบโลบาโรดอฟและโกโลเชคินเห็นสคราโคดอฟกับมาเรียอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ในท่าทางที่เรียกได้ว่าส่อไปในเชิงชู้สาว ไม่มีอะไรที่ชัดเจนกว่านี้อีกแล้วว่าระเบียบวินัยของพวกทหารอ่อนลงเพียงใด!

ทั้งสองหัวเสียมาก และรู้ทันทีว่าจะต้องจัดการโดยเร็วที่สุด ไม่กี่วันต่อมา อัฟดีฟก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชาทหารในบ้านอิปาตเยฟ ทหารในบ้านเกือบทั้งหมดถูกเปลี่ยนด้วยทหารหน้าใหม่ที่คัดเลือกโดยผู้บังคับบัญชาคนใหม่

เขาผู้นั้นคือ ยาคอฟ ยูรอฟสกี้

การปกปิดของฝ่ายนิยมกษัตริย์

ก่อนที่ผมจะเล่าต่อไป ผมขออธิบายประเด็นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของมาเรียเสียก่อน

ด้วยความที่ในปัจจุบัน ครอบครัวโรมานอฟมีสถานะเป็น “นักบุญ” ในคริสตจักรรัสเซียนออโธดอกซ์ และความนิยมของครอบครัวก็พุ่งสูงขึ้นในเรื่อยๆ ทำให้มีการบูชานับถือพวกเขาในหมู่ชาวรัสเซียพอสมควร หนังสือหลายๆ เล่มเลือกที่จะข้ามเรื่องของมาเรียไปโดยจงใจ และเน้นไปที่การลักขโมยของอัฟดีฟแทนว่าเป็นสาเหตุให้อัฟดีฟถูกปลด และทหารถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด

สำหรับผู้เขียนมองว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้ร้ายแรงอะไร ความสัมพันธ์ของมาเรียและสคราโคดอฟไม่มีอะไรเกินเลยกว่าการจีบกันใหม่ๆระหว่างหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ไม่มีพิษมีภัย ผมเลยขอเล่ารายละเอียดอย่างที่เล่าไปแล้วด้านบน

หากแต่ว่าสำหรับอเล็กซานดรา และโอลกา แล้ว เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ และดูน่าอับอาย ทั้งสองโกรธมาเรียมากในเรื่องนั้น สำหรับนิโคลัสนั้น เขาหยุดเขียนไดอารี่ไปหกวันนับตั้งแต่เกิดเรื่อง (27 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม) มีผู้สันนิษฐานว่าเขาอาจจะเสียใจมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นิโคลัสถึงกับหยุดเขียนไดอารี่ที่เขาไม่เคยหยุดเขียนมาก่อนเลยทั้งชีวิต

ส่วนสคราโคดอฟถูกนำตัวออกจากบ้านอิปาตเยฟทันที และนำตัวไปขังคุก ไม่มีใครทราบความเป็นไปของเขาหลังจากนั้น

ระหว่างที่ครอบครัวมีเรื่องมาเรียให้กลัดกลุ้ม พวกเขาไม่รู้เลยว่าพวกบอลเชวิคกำลังดำเนินแผนการสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว

การเตรียมการสังหาร

ช่วงปลายเดือนมิถุนายน เยกาเตรินเบิร์กกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของพวกนิยมกษัตริย์ กลุ่มต่างๆ มากมายได้ส่งคนเข้ามาดูลาดเลาในเมืองเยกาเตรินเบิร์ก เมื่อสบโอกาสจะได้เข้ามาช่วยเหลือครอบครัวโรมานอฟ

พวกบอลเชวิคทราบเรื่องทั้งหมด มันยิ่งทำให้เบโลบาโรดอฟและโกโลเชคินกังวลมากขึ้น จากที่กังวลมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งสองตัดสินใจได้ในเวลานั้นว่าจะสังหารนิโคลัสและครอบครัวโดยเร็วที่สุด ก่อนที่กองทัพเช็กจะยาตราทัพเข้ามา หรือก่อนที่พวกนิยมกษัตริย์จะปลดปล่อยครอบครัวโรมานอฟได้

หากแต่ว่าทั้งสองเองยัง “ไม่กล้า” ที่จะก้าวล่วงอำนาจของมอสโก ในเรื่องที่สำคัญเช่นนี้

โกโลเชคินเดินทางไปยังมอสโกในการประชุมพรรคครั้งที่ 5 ระหว่างที่อยู่ที่มอสโก เขาได้ไปพบกับสเวียตลอฟและเลนิน โกโลเชคินได้แจ้งต่อทั้งสองถึงแนวคิดของคณะกรรมาธิการอูรัลที่จะสังหารครอบครัวโรมานอฟ และกล่าวในเชิงขออนุญาตจากผู้นำสูงสุดของพวกบอลเชวิค

ไม่ปรากฎแน่ชัดว่าเลนินและสเวียตลอฟตอบสนองอย่างไร แต่ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ทั้งสองตอบว่าถ้าคณะกรรมาธิการแห่งอูรัลจะลงมือ มอสโกก็ไม่ขัดขวาง

ห้องพักผู้บังคับบัญชาในบ้านอิปาตเยฟ

ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ได้มีกระแสข่าวในมอสโกว่า อดีตซาร์นิโคลัสถูกสังหารแล้ว กระแสข่าวได้รั่วไหลไปยังสื่อของตะวันตก ว่ากันว่านี่เป็นแผนการของพวกบอลเชวิคที่จะทดสอบดูว่าประชาชนจะตอบสนองอย่างไรต่อข่าวนี้

ผลที่ออกมาคือ ประชาชนไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก นั่นทำให้พวกบอลเชวิคยิ่งมั่นใจว่าคณะกรรมาธิการอูรัลน่าจะลงมือได้ แม้จะมีกระแสบ้างในชาติตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษ แต่พวกบอลเชวิคก็ไม่สนใจอะไรในต่างประเทศอยู่แล้ว

เมื่อโกโลเชคินได้ไฟเขียวจากมอสโก คณะกรรมาธิการอูรัลจึงให้ยูรอฟสกี้เข้ามาในบ้านทันที พร้อมกับคำสั่งให้เตรียมการสังหารครอบครัวโรมานอฟ อย่างที่ยูรอฟสกี้ได้อธิบายไว้ในรายงานของเขา

เมื่อฉันเข้ารับหน้าที่ ประเด็นเรื่องการสังหารครอบครัวโรมานอฟได้มีการถกเถียงกันอยู่แล้ว เพราะพวกเช็กโกสโลวักกับพวกคอสแซกกำลังเข้าใกล้เยกาเตรินเบิร์กเข้ามาเรื่อยๆ และนิโคลัสก็ได้แอบติดต่อกับโลกภายนอก ในสถานการณ์ที่ถูกคุกคามเช่นนี้ ประเด็นนี้จึงยิ่งถูกเร่ง ฉันได้รับไว้วางใจให้จัดการเรื่องทั้งหมด แต่การลงมือเป็นความรับผิดชอบของคนอื่นๆ

ไม่แน่ชัดว่าในประโยค “นิโคลัสแอบติดต่อกับโลกภายนอก” ยูรอฟสกี้หมายถึงอะไร อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่อัฟดีฟจับได้ว่านิโคลัสวาดแผนที่ให้กับแกรนด์ดยุคนิโคลัสก็ได้ หรือนิโคลัสอาจจะติดต่อกับพวกนิยมกษัตริย์อยู่จริงๆ ก็เป็นได้

นอกจากให้เตรียมการสังหารแล้ว ยูรอฟสกี้ยังได้รับคำสั่งให้สรรหาเครื่องเพชรที่พวกโรมานอฟนำติดตัวมาด้วย

ไม่แปลกที่คณะกรรมาธิการอูรัลเลือกยูรอฟสกี้มาทำงานนี้ เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีระเบียบวินัยดีที่สุดคนหนึ่งในหมู่พวกบอลเชวิค เขาซื่อสัตย์และไม่คดโกงเหมือนกับคนอื่นๆ นอกจากนี้ยูรอฟสกี้ยังมีอุดมการณ์แน่วแน่ในการปฏิวัติ เชื่อมั่นในแนวคิดฝั่งซ้ายอย่างมาก แถมยังมีทักษะในการบริหารคนด้วย

แต่ที่สำคัญที่สุด เขาเคยเป็นช่างทำนาฬิกา และอัญมณีมาก่อน ยูรอฟสกี้จึงมีความรู้เรื่องของมีค่าดียิ่งกว่าพวกบอลเชวิคหรือเชกาทั่วไป

ดังนั้นคนที่เหมาะสมกับงานนี้จึงไม่มีใครเหมาะกว่า ยาคอฟ ยูรอฟสกี้อีกแล้ว

อ่านตั้งแต่ตอนแรกและติดตามตอนต่อไปได้ที่ วันสุดท้ายของครอบครัวโรมานอฟ ติดตามตอนที่ 24 ได้ที่นี่

หนังสืออ้างอิงอยู่ ที่นี่

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!