ประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ปลายรัชกาลของฮั่นหวู่ตี้ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น

โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ปลายรัชกาลของฮั่นหวู่ตี้ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าฮั่นหวู่ตี้ (汉武帝) เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์จีน ตลอดระยะเวลาห้าสิบกว่าปี ราชวงศ์ฮั่นได้กลายเป็นมหาอำนาจของโลก สามารถมีชัยเหนือพวกอนารยชนเผ่าซงหนู และยังให้กำเนิดเส้นทางสายไหมที่เป็นเส้นทางการค้าขายสำคัญของโลกในเวลานั้นอีกด้วย

อย่างไรก็ดีปลายรัชกาลของพระองค์กลับเป็นโศกนาฏกรรม ซึ่งเกิดจากการที่พระองค์ทรงวิตกและหวาดระแวงเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์จนนำมาซึ่งความวุ่นวายในราชสำนักที่ทำให้บุคคลใกล้ตัวที่พระองค์รักที่สุดต้องจบชีวิตลง

เราไปดูกันดีกว่าครับ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่

ปลายรัชกาลของฮั่นหวู่ตี้

ช่วงปลายรัชกาลของฮั่นหวู่ตี้เป็นช่วงที่เหล่าปัญหาที่อยู่ใต้พรมมาตลอดรัชกาลเริ่มแตกออก กล่าวคือก่อนหน้าที่ราชสำนักได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลไปกับการทำสงคราม ในต้นรัชกาลนั้น พวกซงหนูเป็นภัยอย่างหนักต่อความมั่นคงของราชวงศ์ฮั่น ดังนั้นการทุ่มงบประมาณในการทำสงครามกับพวกซงหนูจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

แต่ในปลายรัชกาลนั้น ภัยจากพวกซงหนูลดลงไปอย่างมาก แต่ฮั่นหวู่ตี้ก็ยังไม่หยุดทำสงคราม กองทัพฮั่นถูกส่งเข้าไปพิชิตหัวเมืองต่างๆ ในเอเชียกลาง รวมไปถึงดินแดนเกาหลีและเวียดนาม ซึ่งเป็นการขยายอาณาจักรให้ใหญ่โต ไม่ใช่การทำศึกเพื่อปกป้องอาณาจักรเหมือนแต่ก่อน

ฮั่นหวู่ตี้

การทำศึกอย่างไม่หยุดหย่อน ประกอบกับตัวฮั่นหวู่ตี้เองก็เริ่มฟุ่มเฟือยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทำให้ราชสำนักต้องรีดภาษีหนักกว่าเดิม ประชาชนจึงรู้สึกถึงการโดนกดขี่ กองโจรและกบฏต่อต้านราชสำนักหลายแห่ง ทำให้ฮั่นหวู่ตี้ต้องส่งกองทัพไปปราบปราม

แต่ปัญหาเรื่องกบฏนั้นเป็นเพียงปัญหาปลาซิวปลาสร้อย ถ้าเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวของฮั่นหวู่ตี้เอง

จากตอนต้นรัชกาลที่ฮั่นหวู่ตี้เป็นฮ่องเต้ที่ขยันขันแข็ง และยกย่องผู้มีสติปัญญา ฮั่นหวู่ตี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงปลายรัชกาล

ฮั่นหวู่ตี้เริ่มมีพฤติกรรมหวาดระแวงและดุร้าย พงศาวดารเล่าว่าพระองค์ฝันว่าถูกเฆี่ยนตีหลายต่อหลายครั้ง และพระองค์ทรงเห็นว่ามีนักฆ่าจะทำร้ายพระองค์อยู่ตลอดเวลา ถ้ามองแบบนี้ พระองค์อาจจะมีอาการทางจิตเวชอย่างเช่น Schizophrenia ซึ่งถ้าในปัจจุบันนี้ก็ต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อรักษา

แต่ด้วยความที่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ความรู้ในส่วนนี้ยังไม่มีเลยแม้แต่น้อย ที่พึ่งของคนในเวลานั้นจึงต้องเป็นไสยศาสตร์ มนต์คาถาและเวทมนตร์ต่างๆ

ด้วยเหตุนี้เองฮ่องเต้ที่เคยเฉลียวฉลาดและมีสติปัญญาจึงกลายเป็นผู้คลั่งไคล้เดรัจฉานวิชาทีละน้อย จนสุดท้ายก็ถอนตัวไม่ขึ้น พระองค์ทรงเชื่อว่ามีผู้ใช้เวทมนตร์คาถาพยายามจะทำร้ายพระองค์ ดังนั้นการกวาดล้างจึงเริ่มต้นขึ้น ผู้ที่ต้องรับเคราะห์โดยที่ไม่มีโทษผิดมีตั้งแต่ขุนนางไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ฮั่นทั้งหญิงชาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศในราชสำนักจึงเสื่อมถอยไปในทุกมิติ

โอรสคนใหม่

ฮั่นหวู่ตี้ทรงมีหวงโฮ่ว (ฮองเฮา) อย่างเว่ยจื่อฟูที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์มาสี่สิบกว่าปี เว่ยจื่อฝูหรือเว่ยหวงโฮ่วนี้เป็นพี่สาวต่างมารดาของยอดขุนพลอย่างเว่ยชิง แม่ทัพคนสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นเหนือพวกซงหนูได้สำเร็จ และให้กำเนิดรัชทายาทอย่างหลิวจี้ว์

อย่างไรก็ดีในเวลานั้นเว่ยชิงได้เสียชีวิตไปแล้ว ทำให้อิทธิพลของตระกูลเว่ยลดลงไปพอสมควร แต่เว่ยหวงโฮ่วเองก็เป็นที่รักของฮั่นหวู่ตี้อยู่ หลิวจี้ว์ก็เป็นรัชทายาทที่เอาใจใส่ราชการแผ่นดินเป็นอย่างดี เค้าลางของหายนะจึงยังไม่มีเท่าไรนัก เพราะในตอนที่ฮั่นหวู่ตี้ไม่ออกว่าราชการ หรือว่าเสด็จไปประพาสต่างแดน หลิวจี้ว์ก็สำเร็จราชการแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดีปัญหาเริ่มเกิดขึ้นในช่วง 100 ปีก่อนคริสตกาล นั่นคือฮั่นหวู่ตี้ก็เริ่มโปรดปรานสนมจ้าว สนมคนใหม่ที่พวกพ่อมดหมอผีแนะนำ (บ้างว่าได้มาจากการไปล่าสัตว์) หลังจากนั้นไม่นาน สนมสาวก็ตั้งครรภ์ แต่เมื่อครบกำหนดคลอดเก้าเดือน สนมจ้าวกลับไม่รู้สึกเจ็บท้องแต่อย่างใด เธอคลอดโอรสในอีกห้าเดือนต่อมา ทำให้อายุครรภ์รวมแล้วทั้งหมด 14 เดือน

อายุครรภ์ 14 เดือนนี้เท่ากับจักรพรรดิเหยาในตำนานของจีน ฮั่นหวู่ตี้จึงรู้สึกตื่นเต้นมากที่เป็นเช่นนั้น ประกอบกับการที่พระองค์มีโอรสในวัยชรา (62 ปี) พระองค์จึงโปรดปรานโอรสองค์นี้มากเป็นพิเศษ พระองค์ให้นามโอรสคนนี้ว่าหลิวฝูหลิง

ด้วยที่ความที่ฮ่องเต้โปรดปรานโอรสคนนี้มากเป็นพิเศษ ในราชสำนักจึงเริ่มลือกันว่าฮ่องเต้กำลังจะคิดเปลี่ยนตัวรัชทายาทจากหลิวจี้ว์ที่มีอายุ 38 ปีในเวลานั้นมาเป็นทารกน้อยวัยไม่กี่เดือน แต่ตัวฮั่นหวู่ตี้เองยังไม่แสดงออกใดๆ ว่าพระองค์ทรงต้องการเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

เวทมนตร์และหมอผี

กระแสข่าวเช่นนั้นในราชสำนักเปิดทางให้ศัตรูทางการเมืองของหลิวจี้ว์ใช้เป็นโอกาสในการกำจัดรัชทายาทผู้นี้ โดยศัตรูทางการเมืองที่สำคัญที่สุดมีอยู่สองคนได้แก่

  • เจียงชง ขุนนางระดับสูงสายกฏหมาย เขาผู้นี้เป็นคนชอบวางก้ามใหญ่โตและลุแก่อำนาจ เขาเคยมีปัญหากับคนสนิทของหลิวจี้ว์เรื่องการใช้ถนนหลวง นอกจากนี้เจียงชงยังเป็นคนโหดเหี้ยม และมักจะหาโอกาสจากนโยบายที่กดขี่ราษฎรเพื่อกอบโกยความมั่งคั่ง ดังนั้นจึงมักจะขัดแย้งกับหลิวจี้ว์ที่เป็นคนมีเมตตาและรักราษฎรไปโดยปริยาย
  • ซูเหวิน หัวหน้าขันทีในตำหนักใน และน่าจะเป็นคนสนิทของสนมจ้าว ก่อนหน้านี้เขาเคยใส่ความหลิวจี้ว์ว่าคบชู้กับสนมของฮ่องเต้มาแล้ว แต่เคราะห์ดีที่ฮั่นหวู่ตี้ไม่เชื่อถือ

ทั้งสองหมายใจว่าจะใช้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ให้เป็นประโยชน์ กล่าวคือฮ่องเต้ทรงหวาดระแวงการใช้เวทมนตร์ และมีกระแสว่าจะเปลี่ยนรัชทายาท เช่นเดียวกับความขัดแย้งระหว่างฮั่นหวู่ตี้กับตัวหลิวจี้ว์เอง

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย ช่วงที่ฮั่นหวู่ตี้เริ่มเปลี่ยนไปนั้น พระองค์ทรงขัดแย้งกับโอรสคนโปรดอย่างมากมาย เพราะหลิวจี้ว์เห็นว่านโยบายของฮั่นหวู่ตี้เกินตัวเกินไปและทำให้ประชาชนเดือดร้อน นอกจากนี้หลิวจี้ว์ยังเกลียดชังพวกคนสนิทของฮั่นหวู่ตี้อย่างเช่นเจียงชงที่พระองค์ทรงใช้ในการสอบสวนและจับกุมบุคคลที่ต้องสงสัยว่าใช้เวทมนตร์และไสยศาสตร์อีกด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าเขาจึงย่อมไม่อยู่เฉย และวิพากษ์วิจารณ์หรือต่อว่าบุคคลเหล่านี้ในท้องพระโรง ซึ่งฮั่นหวู่ตี้ก็ย่อมมองได้ว่ารัชทายาทวิจารณ์หรือต่อว่าพระองค์ด้วย

นอกจากนี้สุขภาพของฮั่นหวู่ตี้ก็ไม่ดีนัก พระองค์จึงออกไปประทับที่พระราชวังนอกเมืองหลวงฉางอาน (ซีอาน) พระองค์จึงไม่ค่อยออกว่าราชการ และยังพึ่งพิงทั้งเจียงชงและซูเหวินให้รายการสถานการณ์ต่างๆให้พระองค์ทราบ

เจียงชงจึงใช้สถานการณ์ทั้งหมดในเวลานั้นในการเล่นงานหลิวจี้ว์ สิ่งที่เขาทำก็คือใช้อำนาจในฐานะขุนนางผู้บังคับใช้กฎหมายของฮ่องเต้ในการสอบสวนเรื่องการใช้ไสยศาสตร์ ตอนแรกเขาเริ่มต้นโดยการสอบสวนผู้คนทั่วไป หลังจากนั้นก็ไล่มาเรื่อยๆ จนถึงวังของหลิวจี้ว์

หลิวจี้ว์เป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นจึงยินยอมให้ตรวจแต่โดยดี ตามแนวทางว่า “ไม่ได้ทำผิดจะกลัวอะไร”

แต่คนอย่างเจียงชงวางแผนไว้อยู่แล้ว เขาได้สั่งให้คนของเขาเจาะทุกซอกทุกมุมของวังรัชทายาทเพื่อหาของไสยเวท และหลังจากนั้นไม่นานก็ทำเป็นประกาศว่าได้เจอหลักฐานแล้วว่าหลิวจี้ว์ใช้เวทมนตร์ เจียงชงจึงรีบส่งคนเข้าวังไปทูลให้ฮ่องเต้ผู้หวาดระแวงได้ทราบ

หลิวจี้ว์ใช้ทหาร

หลิวจี้ว์ที่ได้เห็นสถานการณ์ดำเนินไปเช่นนั้นก็ตกใจอย่างมาก เขาจึงต้องการรีบเข้าวังเพื่อทูลฮ่องเต้เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของตน

อย่างไรก็ดีอาจารย์ของหลิวจี้ว์อย่างฉือเต๋อได้ทูลหลิวจี้ว์ว่า ฮั่นหวู่ตี้อาจจะสวรรคตไปแล้ว และพวกกังฉินอย่างเจียงชงน่าจะหาเหตุยึดอำนาจ ดังนั้นหลิวจี้ว์ไม่ควรที่จะเข้าวัง เพราะอาจจะโดนจับไปประหาร หลิวจี้ว์จึงควรจะนำกำลังทหารเข้ากำจัดพวกกังฉินเสียเลย

หลิวจี้ว์ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดี เพราะถ้าตนเองใช้กำลังทหารแล้วฮั่นหวู่ตี้ยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นกบฎทันที แต่ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรแล้วฮั่นหวู่ตี้สวรรคตไปแล้ว ตนเองก็จะไม่ต่างอะไรกับฝูซูในสมัยราชวงศ์ฉินที่ถูกจ้าวเกาใช้กลลวงทำร้ายจนสิ้นพระชนม์

ในตอนนั้นเองหลิวจี้ว์ได้ทราบว่าคนของเจียงชงกำลังเดินทางเกือบจะถึงวังแล้ว ตนเองจึงหมดทางที่จะแก้ต่างกับฮ่องเต้อีกต่อไป เพราะซูเหวิน หัวหน้าขันทีคงจะทำทุกวิถีทางไม่ให้ตนเองได้พบพระบิดา (ในกรณีที่ฮั่นหวู่ตี้ยังอยู่) หรือว่าพระศพของพระบิดา (ในกรณีที่ฮั่นหวู่ตี้สวรรคตไปแล้ว) ตัวเขาเองก็ไม่สามารถหาวิธีมายืนยันได้ว่าฮั่นหวู่ตี้มีชีวิตอยู่หรือไม่

ด้วยเหตุนี้หลิวจี้ว์จึงตัดสินใจเลือกวิธีการใช้ทหาร กำลังของหลิวจี้ว์เข้าจับกุมตัวเจียงชงและนำตัวมาประหารชีวิตได้สำเร็จ แต่โชคร้ายที่จับตัวซูเหวินไม่ได้ ซูเหวินจึงเข้าไปเพ็ดทูลให้ฮั่นหวู่ตี้ทราบว่ารัชทายาทเป็นกบฏ

ในตอนแรกฮั่นหวู่ตี้ก็ไม่เชื่อว่าหลิวจี้ว์จะเป็นกบฏ พระองค์จึงทรงให้ม้าเร็วไปเรียกตัวหลิวจี้ว์ให้มาเข้าเฝ้า แต่ม้าเร็วกลับไปไม่ถึงค่ายของหลิวจี้ว์ เขากลับมารายงานเท็จฮ่องเต้ว่าหลิวจี้ว์เป็นกบฏเสียอย่างนั้น!

ไม่มีใครทราบสาเหตุว่าทำไมม้าเร็วถึงทำเช่นนั้น แต่การรายงานของเขาทำให้ฮั่นหวู่ตี้เชื่อจริงๆ ว่ารัชทายาทเป็นกบฏ พระองค์จึงสั่งให้ทหารหลวงปราบปรามหลิวจี้ว์

โศกนาฏกรรม

ขณะเดียวกันหลิวจี้ว์ให้ส่งคนไปทูลเรื่องทั้งหมดให้เว่ยหวงโฮ่วทรงทราบ ทำให้พระนางตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้าข้างผู้ใด แต่สุดท้ายก็เลือกเข้าข้างบุตรชายด้วยการให้ทหารรักษาวังเข้าช่วยเหลือบุตรชายในการต่อสู้กับทหารหลวง

การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายดำเนินไปในเมืองหลวงกว่าห้าวัน จนสุดท้ายหลิวจี้ว์ก็พ่ายแพ้ หลิวจี้ว์หลบหนีไปได้พร้อมผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง แต่สมาชิกครอบครัวและคนอื่นๆ ถูกจับกุมและประหารชีวิตทั้งหมดตามคำสั่งของฮั่นหวู่ตี้

ผลสุดท้ายหลิวจี้ว์ถูกทหารหลวงที่อยากได้รางวัลล้อมเอาไว้ที่บ้านของชาวนาแห่งหนึ่ง หลิวจี้ว์ไม่มีทางหนีจึงตัดสินใจปลิดชีพตนเอง เหล่าทหารหลวงจึงเข้าสังหารผู้ติดตามและผู้ที่ให้การช่วยเหลือหลิวจี้ว์จนหมดสิ้น เว่ยหวงโฮ่วเองก็ปลงพระชนม์พระองค์เองเมื่อคนของฮั่นหวู่ตี้เข้ามาในตำหนัก รวมทั้งหมดแล้วผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะมีนับหมื่นคนเลยทีเดียว

ว่ากันว่าเมื่อมีข่าวว่าหลิวจี้ว์สิ้นชีวิตแล้วเข้ามาถึงในวัง ความโกรธของฮั่นหวู่ตี้ได้สงบลงไปมากแล้ว และกำลังจะพิจารณานิรโทษกรรมให้กับหลิวจี้ว์และผู้เกี่ยวข้อง แต่ก็สายไปเสียแล้ว พระมเหสี พระโอรส เชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และผู้คนอีกมากมายได้สิ้นชีวิตไปแล้ว

เรื่องนี้เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ไม่ควรปิดกั้นตนเองไม่ให้คนอื่นเข้าถึงได้โดยง่าย และไม่ควรจะเชื่อถือขุนนางคนสนิทโดยปราศจากการไตร่ตรอง

ฮั่นหวู่ตี้สำนึกตัว

หลังจากเหตุการณ์นี้ การจับกุมผู้คนมาสังหารเพราะข้อหาใช้เวทมนตร์ยังมีอยู่ต่อไป จนกระทั่งอีกหลายปีต่อมา ขุนนางผู้ดูแลรักษาสุสานบรรพชนฮั่นได้ทูลให้ฮั่นหวู่ตี้ทราบว่า เขาได้ฝันว่าชายชราผู้หนึ่ง (นัยว่าเป็นหลิวปัง ปฐมจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์) ได้บอกกับเขาในฝันว่า โทษของหลิวจี้ว์มากที่สุดก็แค่โทษโบยเท่านั้นไม่ใช่โทษตาย ฮั่นหวู่ตี้ที่เชื่อถือในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างหนักจึงเกิดตาสว่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ตั้งแต่บัดนั้นฮั่นหวู่ตี้จึงเห็นว่าผู้ที่โดนแจ้งข้อหาว่าใช้เวทมนตร์นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหล และจึงเข้าใจชัดเจนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลิวจี้ว์เป็นความผิดของพระองค์เอง

ฮั่นหวู่ตี้จึงย้อนกลับไปเอาโทษคนที่เคยร้องเรียนเรื่องเวทมนตร์ พระองค์โปรดให้นำซูเหวินมาเผาทั้งเป็นเช่นเดียวกับประหารชีวิตครอบครัวของเจียงชงทั้งหมด รวมไปถึงกวาดล้างบุคคลที่เคยใส่ความหลิวจี้ว์และพรรคพวกก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นก็แต่งตั้งสมุหนายกคนใหม่ และประกาศขอโทษต่อราษฎรทั้งประเทศอย่างเป็นทางการ

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ฮั่นหวู่ตี้โปรดให้เลิกนโยบายอันโหดร้ายก่อนหน้านี้ และให้ราชสำนักออกนโยบายใหม่ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน นโยบายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลิวจี้ว์สนับสนุนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยไม่ให้ราชวงศ์ฮั่นไม่ต้องเผชิญกับการกบฏใหญ่โตเหมือนกับราชวงศ์สุยของสุยหยางตี้

ชีวิตที่เหลืออยู่ของฮั่นหวู่ตี้ใช้ไปกับการระลึกถึงหลิวจี้ว์และเว่ยหวงโฮ่วผู้จากไป จนกระทั่งสวรรคตในปีที่ 87 ก่อนคริสตกาล บัลลังก์ฮั่นจึงตกเป็นของหลิวฟูหลิง โอรสคนสุดท้อง ผู้ครองราชย์เป็นจักรพรรดิในนามฮั่นจาวตี้ แต่ฮั่นจาวตี้เองกลับครองราชย์ไม่นานนัก ภายในเวลาไม่นานก็สวรรคตโดยไม่มีโอรสธิดา ท้ายที่สุดแล้วบัลลังก์ฮั่นจึงตกอยู่กับ หลิวสวิน หลานชายผู้เหลือรอดคนเดียวของหลิวจี้ว์ เท่ากับว่าบัลลังก์ได้กลับมาอยู่กับสายที่ชอบธรรมโดยสมบูรณ์

References

  • Book of Han
  • Zizhi Tongjian

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!