ในก่อนช่วงก่อนการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟนั้น แม้ครอบครัวของซาร์นิโคลัสที่ 2 จะไม่ได้ฟุ่มเฟือย แต่เหล่าแกรนด์ดยุคกลับฟุ้งเฟ้อสุดจะพรรณนา บางคนแทบจะใช้เวลาทั้งหมดสังสรรค์กินดื่มและเสพสุขกับสาวๆ อยู่ที่ปารีส
หนึ่งในแกรนด์ดยุคผู้ฟุ้งเฟ้อที่สุด คือ แกรนด์ดยุคบอริส วลาดิเมียรอฟวิช (Grand Duke Boris Vladimirovich, Борис Владимирович) ผู้นี้เอง
แต่แทนที่บอริสจะถูกเก็บเหมือนกับแกรนด์ดยุคผู้รักดีอย่างเช่น แกรนด์ดยุคนิโคลัส บอริสกลับรอดตายมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ! ทั้งๆ ที่โดนจับไปแล้วด้วย
ทำไมบอริสถึงเอาตัวรอดจากพวกบอลเชวิคมาได้กันแน่?
ชีวิตเพลย์บอย
บอริสเกิดในปี ค.ศ.1877 บิดาเขาคือ แกรนด์ดยุควลาดิเมียร์ อเล็กซานดรอวิช น้องชายของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ทำให้เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับซาร์นิโคลัสที่ 2 (นิโคลัส, นิกกี้) ส่วนมารดาคือแกรนด์ดัชเชสมาเรีย พาฟลอฟนา (Grand Duchess Maria Pavlovna) หรือ มีเชน
ครอบครัวของเขาทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในราชสำนักรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นิโคลัสครองราชย์ วลาดิเมียร์พ่อของบอริสเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญให้กับนิโคลัส ส่วนมีเชนเป็นผู้หญิงที่เป็นที่นิยมในสังคมชนชั้นสูงของรัสเซีย ทำให้ครอบครัวของเขาร่ำรวยด้วยเกียรติยศและเป็นที่นับถืออย่างมาก
บอริสเติบโตที่เซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก เมืองหลวงของจักรวรรดิรัสเซียในขณะนั้น เขาได้รับการศึกษาแบบติวเตอร์ ตามมาด้วยการศึกษาในโรงเรียนทหาร ธรรมเนียมของเชื้อพระวงศ์โรมานอฟทั่วไป
ชีวิตของบอริสจึงค่อนข้างจำเจ ทำให้เมื่อบอริสโตเป็นหนุ่ม เขาใช้เวลาไปกับการเข้าสังคมชั้นสูง กินดื่มและอวดร่ำอวดรวยไปเรื่อย โดยเฉพาะหลังจากที่เขาบรรลุนิติภาวะและได้รับมอบอำนาจการดูแลเงินเดือนและทรัพย์สินของตนเอง
ในปี ค.ศ.1895 บอริสสร้างบ้านใหม่เป็นของตัวเองเป็นบ้านทรงอังกฤษ เขาสั่งให้ใช้วัสดุทุกอย่างจากอังกฤษทั้งหมด คนรับใช้ทุกคนต้องเป็นคนอังกฤษ ไม่ต้องสงสัยว่าบอริสได้ผลาญทรัพย์สินไปมากเพียงใด
นิสัยของบอริสไม่ต่างอะไรกับเพลย์บอยทั่วไป เขาชอบดื่มเหล้า เป็นผีพนัน และชอบจีบสาวๆ ภายในเวลาไม่นาน บอริสก็ได้ชื่อเป็นมือหนึ่งทางด้านเพลย์บอยของจักรวรรดิรัสเซีย ขนาดในงานราชาภิเษกของนิโคลัสที่มอสโก บอริสยังอุตส่าห์ไปจีบเจ้าหญิงมารีแห่งโรมาเนียที่เพิ่งแต่งงานได้หมาดๆ ด้วย ปีต่อมาเขาถึงกับไปเยี่ยมเธอที่โรมาเนียเลยทีเดียว
บอริสไม่ใช่คนที่หน้าตาดี แต่เขาเป็นคนมีเสน่ห์ เขาพูดจาดี ยิ้มเก่ง หัวเราะเก่ง ทำให้สาวๆ ติดเขาได้ไม่ยาก แต่เขาใช้เสน่ห์ของเขาในทางที่ผิด บอริสไม่ค่อยคำนึงถึงศีลธรรมสักเท่าใดนัก เขาไล่จีบไปทั่วไม่ว่าพวกเธอจะมีสามีแล้วหรือไม่ก็ตาม บอริสคบหากับสาวๆ สังคมชนชั้นสูงมากมาย และรวมไปถึงนักบัลเล่ต์สาวสวยชื่อดังแห่งเซนต์ปีเตอร์สเปิร์กหลายคนด้วย
เวลาที่บอริสไปเที่ยวต่างประเทศ ช่างเป็นเวลาที่บอริสได้ปลดปล่อยมากที่สุด บอริสใช้เวลาไปกับการดื่มเหล้าและห้อมล้อมตัวเองด้วยเหล่าโสเภณี
การใช้เงินเป็นน้ำของบอริสทำให้เขาประสบปัญหาทางด้านการเงินบ่อยครั้ง เขาจึงต้องยืมเงินจากมีเชน แม่ของเขาเป็นเงินมากถึงห้าแสนรูเบิลด้วยกัน จากบัญชีในปีหนึ่งของบอริสพบว่า บอริสใช้เงินไปกับสิ่งเหล่านี้
- ค่าอาหาร: 25,000 รูเบิล
- ค่าคนรับใช้: 16,000 รูเบิล
- ค่ารถยนต์: 8,000 รูเบิล
ถ้าเทียบว่าข้าราชการทั่วไปได้เงินเดือนไม่ถึงพันรูเบิลต่อปีแล้ว โบริสใช้เงินไปมหาศาลมากจริงๆ แต่ด้วยความที่บอริสเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของแม่ (มีเชนรักบอริสเพราะชอบเข้าสังคมเหมือนกับเธอ) มีเชนจึงเข้าข้างและปกป้องบอริสอยู่ตลอดจากพ่อและพี่น้องของเขาที่มักจะด่าบอริสว่าใช้เงินฟุ่มเฟือย บอริสจึงจัดว่าเป็นเชื้อพระวงศ์โรมานอฟที่แย่ที่สุดคนหนึ่ง เพราะไม่คิดถึงเรื่องทำประโยชน์ให้กับประเทศใดๆ เลยทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บอริสไม่ค่อยถือตัว เขาไม่ค่อยแสดงออกว่าเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ ในสายตาของคนจำนวนมากจึงมองบอริสว่าเป็นลูกคนรวยคนหนึ่งเท่านั้น
ในปี ค.ศ.1901 บอริสไปเที่ยวปารีสเป็นเวลา 12 วัน ไม่ต้องสงสัยว่าเขาไปพบปะกับสาวๆ ตามเดิม มีอยู่วันหนึ่งบอริสเกิดพลาดและทำหญิงสาวฝรั่งเศสคนหนึ่งท้อง ครอบครัวของบอริสโกรธเขามาก และไม่ให้บอริสยอมรับลูกคนดังกล่าวเป็นของตนเอง วลาดิเมียร์และมีเชนขอให้นิโคลัสในฐานะซาร์ส่งให้บอริสไปเที่ยวรอบโลก เพื่อให้ห่างไกลหญิงสาวคนดังกล่าว และเป็นการดัดนิสัยบอริสไปโดยตัวด้วย
นิโคลัสยินยอมให้ตามคำขอ บอริสจึงต้องระเห็ดออกจากยุโรป และขึ้นเรือไปเที่ยวทวีปอื่นๆ ตามคำสั่งของซาร์แห่งรัสเซีย
เริ่มเบื่อหน่าย
เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่ บอริสผู้เสพสุขอยู่เป็นเวลานานจะเริ่มเบื่อหน่ายได้!
บอริสเดินทางไปทวีปต่างๆ เขาเดินทางไปแวะที่อียิปต์และอินเดีย เขามีโอกาสแวะมาที่สยามด้วย และเป็นแขกคนพิเศษของรัชกาลที่ 5 อยู่นาน 8 วัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังอินโดจีนของฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และไปถึงฮาวาย ฮอนโนลูลู อเมริกาในที่สุด
การมาของบอริสเป็นที่สนใจของสื่ออเมริกันอย่างล้นหลาม ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบรรยายว่าบอริสนั้น
เป็นชายหนุ่มเยาว์วัยผู้รูปงาม มารยาทดี และสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
แต่บางสำนักพิมพ์เล่าว่า บอริสใช้ชีวิตเพลย์บอยมาก มากเสียจนเขาถึงกับเทแชมเปญลงไปที่รองเท้าของนักร้องสาวและดื่มมัน แถมยังทิปสาวเสิร์ฟเป็นเงินถึง 20 ดอลลาร์ เรื่องทั้งหมดนี้บอริสปฏิเสธในเวลาต่อมาว่าเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นมา
แน่นอนว่าหลายคนเชื่อ รวมไปถึงเอดิท รูสเวลต์ สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกาด้วย ด้วยเรื่องนี้เองเธอจึงปฏิเสธที่จะพบหน้าเขาเมื่อบอริสมาพบกับประธานาธิบดีรูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้น
ไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่บอริสกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องกามารมณ์อย่างช้าๆ วันหนึ่งเขาเขียนจดหมายถึงแกรนด์ดยุคคิริลล์ พี่ชายของเขาว่า
ผู้หญิงทุกคนเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรใหม่ยกเว้นเพียงใบหน้าเท่านั้น
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยของบอริส เขาเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และไม่สามารถคาดเดาได้ ในปี ค.ศ.1904 บอริสถึงกับสมัครใจไปแนวหน้าเพื่อไปรบกับกองทัพญี่ปุ่นเลยทีเดียว!
อย่างไรก็ตามบอริสถือว่าเป็นทหารที่กล้าหาญคนหนึ่ง เขาออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่ทหารของเขาในสมรภูมิที่พอร์ตอาเธอร์ (Port Arthur) ในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ.1904 บอริสควบม้าอย่างรวดเร็วอยู่ที่เขา Dacha เพื่อไปช่วยเหลือในการป้องกันเมือง บอริสเห็นภาพอันโศกสลดที่ทำให้เขาถึงกับต้องหยุดม้าและร้องไห้ออกมาอย่างมากมาย
เรือรบของรัสเซียชื่อ Petropavlovsk ที่คิริลล์ พี่ชายของเขาอยู่ในนั้นระเบิดออกและจมลงกับตาสองข้างของบอริส เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาและฝังหน้าของเขาลงไปในนั้น
เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่คิริลล์รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ทั้งๆที่กะลาสีบนเรือแทบจะตายหมดทุกคน บอริสดีใจมากที่พี่ชายรอดตายมาได้
บอริสสู้รบอย่างเข้มแข็งจนได้รับดาบทองคำเพื่อตอบแทนความกล้าหาญ แต่ไม่ได้เหรียญตราใดๆ เมื่อสงครามสงบลง บอริสจึงกลับมาอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเปิร์กตามเดิม
ก่อนและระหว่างสงคราม
ในปี ค.ศ.1905 บอริสที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นตัวเป็นตนได้ขอเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูเจเนียแห่ง Battenberg แต่งงาน แต่เธอกลับลังเลและยังไม่ตอบตกลงกับบอริส เพราะว่าเธออายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วทั้งสองก็ไม่ได้แต่งงานกัน เจ้าหญิงวิกตอเรียได้แต่งงานกับกษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 และเป็นราชินีของสเปนในเวลาต่อมา
ครอบครัวของบอริสเป็นครอบครัวอนุรักษ์นิยมหัวแข็ง ต่างจากครอบครัวของซานโดรที่มีแนวคิดเสรีนิยมและต้องการให้ปฏิรูปประเทศ นิโคลัสเคยปรารถนาจะมอบดินแดนของราชวงศ์ให้กับเหล่าชาวนา เพื่อให้พวกชาวนามีฐานะดีขึ้นและสลายความไม่พอใจต่อราชวงศ์ แต่ครอบครัวของบอริสคัดค้านอย่างแข็งขัน เพราะเกรงว่าถ้านิโคลัสทำเช่นนั้น พวกตนจะได้รับเงินเดือนน้อยลงด้วย เนื่องจากทรัพย์สินที่ทำเงินอย่างที่ดินมีน้อยลงนั่นเอง
การตกลงกับนิโคลัสดำเนินไปอยู่เป็นเวลานาน ท้ายที่สุดครอบครัวของบอริสสามารถต่อรองให้นิโคลัส “ขาย” ที่ดินให้พวกชาวนา แทนที่จะมอบให้เปล่าๆ การขายที่ดินให้พวกชาวนาไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น พวกชาวนายังมองว่าราชวงศ์เป็นปรสิตสูบเลือดสูบเนื้อพวกตนอยู่ดี
นิโคลัสไม่พอใจมากกับเรื่องเหล่านี้ แต่นิโคลัสในฐานะซาร์ไม่เคยมีความแข็งแกร่งของจิตใจอย่างซาร์ที่แข็งแกร่งอย่างปีเตอร์มหาราช หรือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 บิดาของเขาทำให้นิโคลัสต้องยอมพวกแกรนด์ดยุคหัวแข็งเหล่านี้เรื่อยไป
ช่วงปี ค.ศ.1905-1914 เป็นช่วงเวลาที่บอริสไม่ได้ทำอะไรมากนัก แม้เขาจะไม่ได้เป็นเพลย์บอยเหมือนเดิมแล้ว เพราะอายุที่มากขึ้น เขาได้รับคำสั่งให้เป็นตัวแทนของรัสเซียไปในงานสำคัญหลายงานด้วยกัน หนึ่งในนั้นคืองานราชาภิเษกของรัชกาลที่ 6 แห่งสยามด้วย
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้น บอริสได้รับหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาพวกทหารคอสแซก ในครั้งนี้บอริสกลับหาทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้ในสงคราม และควบคุมกองกำลังของเขาแต่ในนามเท่านั้น ต่างกับไมเคิล น้องชายของนิโคลัสที่ต่อสู้ในสงครามอย่างจริงจัง
บอริสมักหาเรื่องกลับมาพำนักที่เซนต์ปีเตอร์สเปิร์กอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าเขากลัวตาย เขาใช้เวลาไปกับการจัดงานปาร์ตี้ในวังของเขาพร้อมด้วยอาหารที่หรูหรา ทั้งๆที่ภายนอกประชาชนชาวรัสเซียกำลังอดตายและต้องไปต่อสู้กับกองทัพศัตรูที่กำลังรุกรานแผ่นดินแม่
มีเชน มารดาของเขาเห็นบอริสอยู่ว่างๆ ยังไม่แต่งงาน เธอจึงพยายามจับคู่ให้บอริสแต่งงานกับแกรนด์ดัชเชสโอลกา ธิดาองค์โตของนิโคลัสและอเล็กซานดรา แต่อเล็กซานดราปฏิเสธอย่างไม่ไยดี เพราะบอริสอายุ 37 ปี ส่วนโอลกาอายุแค่ 20 ปี แถมบอริสยังฉาวจนทุกคนทราบกันดี ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ก็ตามบอริสไม่เหมาะสมกับโอลกาเลยแม้แต่น้อย
อเล็กซานดราอธิบายสิ่งที่เธอคิดกับบอริสต่อนิโคลัสว่า เธอคิดว่าใครก็ตามที่เป็นภรรยาของบอริสคงจะทรมาน เพราะบอริสเป็นผู้ชายที่บ้าคลั่ง และอาศัยอยู่ในบ้านกับโสเภณีเต็มไปหมด นิโคลัสเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา ทำให้เขาปฏิเสธไป
ก่อเรื่องใหญ่โต
ในปี ค.ศ.1916 บอริสก่อเรื่องราวใหญ่โต ระหว่างที่เขาดื่มเหล้าจนเมา เขาหลุดปากด่าอังกฤษต่อหน้านายทหารอังกฤษที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วย เขากล่าวว่า
พวกอังกฤษไม่สนใจอะไรกับสงครามครั้งนี้ทั้งนั้น พวกเขาปล่อยให้พันธมิตรถูกสังหาร พวกฝรั่งเศสกำลังเผชิญกับการไล่สังหารที่แวร์ดังมาสี่เดือนแล้ว แต่อังกฤษยังไม่ได้ออกจากสนามเพลาะมาเลย พวกเราชาวรัสเซียจะอยู่ในแบกแดดนานนับเดือนแล้ว ถ้าพวกอังกฤษไม่ได้ขอให้พวกเราอย่าได้เข้าไป เพื่อป้องกันไม่ให้พวกอังกฤษเองต้องยอมรับว่าไม่มีปัญญาไปที่นั่นด้วยตนเอง คุณสามารถแน่ใจได้เลยว่าเมื่อใดที่เราลงนามในสันติภาพกับเยอรมนี พวกเราจะทำสงครามกับคุณทันที
จริงๆ คำพูดของบอริสไม่ได้ผิดอะไร เขาพูดแทนใจคนรัสเซียทั้งมวลที่เห็นว่าพวกอังกฤษยังไม่ได้ทำอะไรเลย (ในปี ค.ศ.1916)
นายทหารอังกฤษผู้นั้นแจ้งไปที่เซอร์บูแคนันทูตอังกฤษในเซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก บูแคนันจึงประท้วงไปยังนิโคลัสทันที นิโคลัสจึงบังคับให้บอริสขอโทษต่อรัฐบาลอังกฤษ บอริสไม่มีทางเลือกนอกจากยอมทำตาม
ชีวิตหลังจากนั้น บอริสไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด ในปีเดียวกันนั้น เขาพบกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ ซิเนดา ราเชฟสกายา สาวสวยผู้อายุน้อยกว่าเขาถึง 20 ปี ปรากฏว่าเขาทำเธอท้องขึ้นมา บอริสอยากจะแต่งงานกับเธอ แต่บอริสรู้ดีอยู่แล้วว่านิโคลัสคงจะไม่อนุญาต บอริสจึงยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ แต่ใช้ชีวิตอยู่กับเธออย่างเปิดเผย
ก่อนที่จะมีการปฏิวัติเล็กน้อย บอริสร่วมกับแกรนด์ดยุคคนอื่นๆหลายคนที่จะโค่นล้มอเล็กซานดรา และอาจจะเลยเถิดไปถึงการเปลี่ยนซาร์พระองค์ใหม่ด้วย แต่แผนการที่พวกเขาวางไว้ไม่เกิดขึ้น เพราะการปฏิวัติกุมภาพันธ์เกิดขึ้นเสียก่อน
รอดตายอย่างหวุดหวิด
หลังจากที่นิโคลัสสละราชสมบัติ บอริสได้เดินทางไปพบกับนิโคลัสครั้งหนึ่งเพื่อถวายความเคารพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่นิโคลัสจะถูกคุมขัง บอริสใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ในวังของเขาอีกสักพักหนึ่ง ตัวเขาเองก็ถูกรัฐบาลชั่วคราวสั่งให้จับกุมไม่ต่างจากนิโคลัส
ชะตาของบอริสกำลังเป็นขาขึ้นพอดี ในช่วงที่เขาตกอับที่สุด คำสั่งขังเขาถูกยกเลิก ตัวเขาเองถึงกับได้รับอนุญาตให้กลับเข้าวังวลาดิเมียร์ของครอบครัวได้ บอริสได้นำของมีค่าออกมาจากวังได้เป็นจำนวนมาก บอริสได้ให้ชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เขาไว้ใจนำพวกมันไปฝากไว้ในนามของมีเชน มารดาของเขา หลังจากนั้นเขาจึงเดินทางไปสมทบกับมารดาและแอนดรูว์ น้องชายของเขาที่คอเคซัส
การอยู่ที่คอเคซัสทำให้บอริส แอนดรูว์และมีเชน ปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่แล้วบอริสกลับโดนจับโดยพวกบอลเชวิคในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1918 หลังจากที่พวกบอลเชวิคได้สังหารนิโคลัสและครอบครัวไปแล้ว
บอริสและแอนดรูว์ถูกนำตัวไปยังเมือง Platigorsk เพื่อนำตัวไปยิงทิ้ง แต่แล้วเรื่องน่าเหลือเชื่อกลับเกิดขึ้น!
ผู้บังคับบัญชาของหน่วยสังหารของบอลเชวิคกลับเป็นอดีตศิลปินชาวรัสเซียคนหนึ่งที่เคยขายภาพอยู่ที่กรุงปารีสเมื่อหลายปีก่อน! ตอนนั้นแทบไม่มีใครซื้อภาพของเขาเลย มีแต่เพียงบอริสเท่านั้นที่ซื้อภาพของเขาไปสองสามชิ้น เขาจำบอริสได้ไม่มีวันลืม
ในครั้งนี้เขาจึงตอบแทนบอริสด้วยการนำตัวบอริสและแอนดรูว์ขึ้นรถที่มีสัญลักษณ์พรรคบอลเชวิค และไปส่งในจุดที่กองทัพรัสเซียขาวครอบครองอยู่ด้วย บอริสและแอนดรูว์จึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
ทั้งสองได้หนีลงใต้ออกจากรัสเซียทางทะเลดำโดยการช่วยเหลือของกองทัพรัสเซียขาว ข้างกายของบอริสมีราเชฟสกายา ภรรยาที่ยังไม่ได้สมรสกันอยู่ข้างกาย แต่สุดท้ายบอริสก็ปลอดภัยแล้ว เขาออกจากรัสเซียในปี ค.ศ.1919
ชีวิตหลังจากนั้น
บอริสพยายามขอลี้ภัยไปหลายที่ เช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน แต่ได้รับการปฏิเสธทั้งสิ้น บอริสและราเชฟสกายาจึงอาศัยอยู่ที่อิตาลีไปพลางก่อน ทั้งสองได้แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ชีวิตของบอริสในช่วงการลี้ภัยถือว่าดีกว่าคนอื่น บอริสมีบัญชีเงินฝากอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยังมีเงินที่ได้จากการขายอัญมณีของมีเชนที่เสียชีวิตไปในปี ค.ศ.1920
เป็นเรื่องน่าแปลกที่บอริสและราเชฟสกายาสามารถครองคู่กันได้ยาวนาน อนึ่งคงเพราะทั้งสองผ่านการหนีตายมาด้วยกัน ทำให้บอริสเลิกนิสัยเพลย์บอยได้ และรักมั่นยั่งยืนอยู่กับเธอเพียงผู้เดียว
น่าแปลกอีกเช่นกันที่อดีตจอมผลาญเงินอย่างบอริสกลับไม่มีปัญหาทางการเงินเท่ากับคนอื่นๆ บอริสเสียชีวิตในกรุงปารีสในปี ค.ศ.1943 เขามีอายุได้ 65 ปี
เรื่องนี้เป็นส่วนเสริมของ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ
Sources:
- Perry & Pleshakov, The Flight of the Romanovs
- Grand Duke Alexander, Once A Grand Duke