เทคโนโลยีซอฟต์แวร์10 เครื่องมือ "ฟรี" ชั้นยอดช่วยขายของออนไลน์ให้ปัง และประหยัดค่าโฆษณา

10 เครื่องมือ “ฟรี” ชั้นยอดช่วยขายของออนไลน์ให้ปัง และประหยัดค่าโฆษณา

ทุกวันนี้ร้านค้าที่ขายของออนไลน์คงกำลังประสบปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจไม่เอี้ออำนวย ขายของออนไลน์เท่าไรก็ไม่ปัง แถมต้นทุนโฆษณาใน Facebook หรือ Google ยังพุ่งสูงขึ้นอย่างมากอีก ส่วนจะหวังพึ่ง Organic Reach ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

อย่างไรก็ดีปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้เสมอ นั่นคือเครื่องมือชั้นยอดที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้นั่นเอง

เครื่องมือเหล่านี้มีศักยภาพสูง และจะช่วยคุณในหลากหลายรูปแบบด้วยกัน อาทิเช่นบางตัวอาจจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาของคุณ บางตัวอาจจะเพิ่มประสิทธิภาพในช่องทางการขายหรือการบริการลูกค้า ขณะที่บางตัวอาจจะช่วยเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งการโฆษณาเสมอไป

ส่วนในเรื่องการใช้งาน ผมเลือกมาแต่ตัวที่ใช้ไม่ยากนัก คุณไม่จำเป็นต้องมีความรู้ใดๆ ก็สามารถใช้ได้ (แต่อาจจะต้องอ่านวิธีใช้พอสมควร)

สำหรับใครที่อยากจะอัพเกรดเครื่องมือที่ใช้ฟรีเป็นแบบเสียเงิน ผมได้แนบเครื่องมือแบบ “Premium” ตัวอื่นเอาไว้ด้วยเพื่อเป็นตัวเลือกที่สองให้กับคุณ (ในกรณีที่มีตัวที่ดีกว่า) เพราะผมมองว่าบางครั้งการอัพเกรดตัวฟรีไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากมีเครื่องมืออื่นที่ไม่เปิดให้ใช้ฟรีแต่มีคุณภาพที่ดีกว่ามากมายครับ

ข้อควรทราบ: เงื่อนไขต่างๆ ของเครื่องมือแต่ละตัวอาจจะเปลี่ยนไปได้ โปรดตรวจสอบกับทางเว็บไซต์ก่อนที่จะตัดสินใจครับ

1. Adzooma

ผมเชื่อว่าร้านค้าในช่องทางออนไลน์น่าจะใช้ Facebook Ads หรือว่า Google Ads เป็นประจำ ซึ่งทุกคนน่าจะทราบดีว่าการโฆษณาผ่านสองช่องทางนี้มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากขึ้นตามลำดับ แถมการจัดการก็ยุ่งยากด้วย โดยเฉพาะถ้าคุณโฆษณาไปหลายกลุ่มลูกค้าด้วยกัน

นอกจากนี้โฆษณาบางตัวอาจจะไม่กระตุ้นยอดขายของออนไลน์เลย หรืออาจจะให้ ROI หรือ ROAS ที่ต่ำมาก แต่คุณไม่ทราบทำให้คุณโฆษณาแบบเดิมต่อไป และเสียเงินจำนวนมากไปฟรีๆ

วิธีที่จะใช้แก้ปัญหาเหล่านี้ก็คือเครื่องมือจัดการโฆษณาใน Facebook และ Google ฟรีอย่าง Adzooma นั่นเอง

Adzooma นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจมาก อาทิเช่น

Opportunities – หลังจากตรวจสอบบัญชีของคุณ AI จะให้คำแนะนำว่าคุณควรจะแก้ไขการโฆษณาของคุณอย่างไรให้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และคุณสามารถกดคลิกเดียวเพื่อแก้ไขได้ทันที อาทิเช่นเพิ่ม Keywords, ยกเลิก Keywords ที่ไม่ทำเงิน, ใช้งาน Location Targeting ฯลฯ

Automation – คุณสามารถสร้างกฎขึ้นมา และให้ Adzooma นำไปใช้กับโฆษณาของคุณ อาทิเช่นให้หยุดโฆษณาหรือลดงบโฆษณาเมื่อค่า ROI ต่ำมาก หรือเมื่อ CPC สูงมาก ในส่วนนี้คุณจะเลือกได้อย่างอิสระตามความต้องการของคุณ (มีให้เลือกเป็นสิบๆ แบบ) หลังจากนั้น Adzooma จะจัดการให้อย่างอัตโนมัติ

หลายคนอาจจะสับสนว่าจะตั้งกฎเป็นหรือไม่ ในส่วนนี้ก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะ Adzooma มีรูปแบบที่แนะนำไว้อยู่แล้ว คุณแค่เลือกมาใช้เท่านั้นเองครับ อย่างด้านล่างผมสั่งให้ Adzooma ลด Budget โฆษณาเหลือแค่ 500 บาททันทีที่ CPC พุ่งสูงกว่า 3 บาท

หลังจากใช้กฎเหล่านี้ โอกาสที่คุณจะเสียเงินโฆษณาไปฟรีๆ โดยไม่ได้ค่าตอบแทนมาเลยจะลดลงไปอย่างมาก และคุณจะได้นำงบโฆษณาไปใช้กับตัวที่ทำผลงานได้ดีเท่านั้น (คุณสามารถสั่งให้เพิ่มเงินโฆษณาในตัวที่ทำผลงานได้ดีได้เช่นกัน)

นอกจากนี้ในการสร้างกฎ ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้กับโฆษณาทุกตัว คุณสามารถสร้างกลุ่ม และให้ Adzooma เจาะจงใช้กฎบางอย่างเฉพาะกับกลุ่มที่คุณต้องการได้ครับ หลังจากนั้นคุณไม่ต้องไปแก้ที่โฆษณารายตัวอีกต่อไป แต่แก้ที่ตัวกฎก็เพียงพอแล้วครับ ในส่วนนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้คุณไปได้หลายชั่วโมงเลยทีเดียว

Analytics – สำหรับใครที่ชอบเรื่องข้อมูลแบบละเอียดยิบ Adzooma จะรวบรวมข้อมูลทุกอย่างใน Account ของคุณมาแสดงเป็นกราฟหรือตารางสวยๆ ที่เข้าใจง่ายให้คุณได้อ่านและวิเคราะห์ครับ

Management – ถ้าคุณมีหลาย account ที่ใช้ในการโฆษณาใน Facebook และ Google ทุก account สามารถถูกจัดการได้พร้อมกันในแพลตฟอร์มของ Adzooma ทำให้จบปัญหาต้องเปิดโน่นเปิดนี่ไปมาครับ

ในการเริ่มใช้งาน ในส่วนนี้ถือว่าง่ายมากครับ เพราะแค่สมัคร ดูวีดิโอวิธีใช้ (Tutorial) เชื่อม Account ของคุณกับ Google หรือ Facebook ด้วยการ Login ตามปกติ หลังจากนั้นก็เริ่มใช้งานได้ทันที

ส่วนใครที่กังวลเรื่องความปลอดภัย คุณไม่ต้องกังวลเลยครับ เพราะ Adzooma เป็น partner ของทั้ง Google และ Facebook ดังนั้นข้อมูลต่างๆ จะถูกปิดเป็นความลับ และการใช้งานก็ทำได้ฟรีตลอดชีพแน่นอน 100%

Premium: Revealbot

แต่ถ้าคุณต้องการเครื่องมือจัดการโฆษณาที่มีฟีเจอร์หลากหลายมากขึ้น การใช้งานกว้างขวางมากขึ้น และช่วยยกระดับประสิทธิภาพการโฆษณาอย่างก้าวกระโดดจริงๆ ผมแนะนำให้ใช้ Revealbot ครับ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้ใช้ฟรี แต่ประสิทธิภาพแน่นอนว่าคุ้มค่า

Revealbot ทำได้ทุกอย่างเหมือนกับ Adzooma ทุกประการ แต่จะเพิ่มฟีเจอร์เข้าไปหลายอย่างเพื่อช่วยให้การโฆษณาของคุณตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นอาทิเช่น

  • ทำ A/B Testing โฆษณาของคุณว่าใช้รูปภาพไหน, เขียนแบบไหน, จัดเรียงแบบไหนได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับกลุ่มโฆษณาในแต่ละกลุ่ม
  • มีกลยุทธ์ที่จัดทำโดยผู้เชี่ยวชาญให้คุณเลือกใช้อยู่แล้วจำนวนมากมาย
  • Boost Post ที่ Perform ดีใน Facebook โดยอัตโนมัติเพิ่มโอกาสที่โพสดังกล่าวจะกลายเป็น Viral
  • สร้าง Ads พร้อมกันๆ ได้นับสิบๆ แบบในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการจัดการโฆษณาไปนานนับชั่วโมง
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับเรื่องราคาจะเริ่มต้นที่ $83 หรือประมาณ 2,490 บาทต่อเดือนครับ อย่างไรก็ดี Revealbot ให้คุณลองใช้งานได้ฟรีเป็นเวลา 14 วัน

2. Crowdfire

ในปัจจุบันผมเชื่อว่าร้านค้าออนไลน์น่าจะใช้งาน Facebook, Instagram หรือแม้กระทั่ง Twitter ในการขายสินค้าของคุณ แล้วคุณรู้สึกเบื่อหน่ายหรือไม่ที่จะต้องเปิดหลาย account เพื่อจัดการกับ account เหล่านี้ และต้องหาอะไรมาโพสแทบทุกวันเพื่อไม่ให้เพจ Facebook หรือว่า ig ของคุณร้าง

เครื่องมือที่เข้ามาช่วยคุณก็คือ Crowdfire ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือจัดการโซเชียลมีเดียยอดนิยมครับ

สิ่งที่ Crowdfire ช่วยคุณได้คือ

  • จัดการ Facebook, Instagram และ Twitter ได้จากแพลตฟอร์มเดียว คุณไม่ต้องเข้าหลายแพลตฟอร์ม เพราะทุกอย่างจะถูกจัดการได้บน Crowdfire
  • ตั้งเวลาโพสล่วงหน้าได้ 10 โพส (มากกว่านั้นถ้าคุณจ่ายพรีเมียม)
  • หา content ดีๆ จากทุกที่ทุกแห่งเพื่อให้คุณนำมาแชร์ในเพจ
  • แนะนำ Hashtag ที่น่าใช้งานสำหรับ IG ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมมายังร้านของคุณได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสที่การขายของออนไลน์จะได้ปังๆ ครับ
  • ข้อมูลทั้งหมดของ account จะถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบอย่างสวยงาม เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์

อย่างด้านล่างคือตัวอย่างการตั้งเวลาโพสล่วงหน้าบน Crowdfire ครับ

สำหรับ Crowdfire นั้นให้คุณใช้งานฟรีได้ตลอดชีพ อย่างไรก็ดีคุณจะใช้บริการได้แค่ 3 accounts เท่านั้น ถ้าคุณต้องการมากกว่านี้จะต้องเสียเงินเพิ่มครับ

Premium: SocialPilot

จริงอยู่ว่าคุณสามารถอัพเกรดการใช้งาน Crowdfire เป็นแบบเสียเงินได้ แต่ในเรื่องความคุ้มค่าแล้วไม่อาจจะเทียบได้กับเครื่องมืออย่าง SocialPilot ครับ

SocialPilot คือเครื่องมือลักษณะเดียวกับ Crowdfire แต่ว่าไม่ได้ให้ใช้ฟรีตลอดชีพ SocialPilot ทำได้ทุกอย่างที่ Crowdfire ทำได้แต่เพิ่มเข้าไปอีกหลายอย่างอาทิเช่น

  • การจัดการ Facebook, Twitter, Instagram, Google My Business, Pinterest, LinkedIn หรือแม้กระทั่ง Tiktok รวมแล้วจัดการได้ถึง 25 accounts
  • ใช้งานได้พร้อมกัน 3 คน
  • วางแผนการโพสล่วงหน้าได้ถึง 2,500 โพส
  • ช่วยจัดการ Facebook Ads ได้ด้วย
  • ใช้ Video Posts, Multiple Image Post ได้
  • และอื่นๆ อีกมากมาย
  • รับ Message ของลูกค้าจากทุกโซเชียลมีเดีย และตอบสนองได้ทันทีบนแพลตฟอร์มของ SocialPilot (Small Plan ขึ้นไปเท่านั้น)

การใช้งาน SocialPilot เริ่มต้นที่ $25 หรือประมาณ 750 บาทต่อเดือนครับ แต่ทาง SocialPilot ให้คุณใช้ฟรีได้ 14 วัน โดยไม่ต้องใส่ข้อมูลเครดิตการ์ดใดๆ

3. ManyChat

หนึ่งในช่องทางในการขายทางออนไลน์ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในขณะนี้ก็คือการขายทาง Facebook Messenger นั่นเอง ผู้ใช้งาน app นี้ในประเทศไทยนั้นมีจำนวนมากมาย แถมโอกาสเปิดอ่าน Message ก็ยังเยอะกว่าช่องทางอื่นอย่างมีนัยสำคัญ บ้างว่าสูงถึง 80% เลยทีเดียว

ดังนั้นถ้าคุณอยากจะขายของออนไลน์ให้ปัง ไม่ต้องสงสัยว่าคุณจะต้องใช้ช่องทางนี้เป็นอีกช่องทางหลักในการขายครับ อย่างไรก็ดีในระยะยาวคุณไม่สามารถส่ง message ด้วยตัวคุณเองไปหาลูกค้าได้ทั้งหมดด้วยตัวเองอยู่แล้ว คุณย่อมต้องการ Chatbot ที่ช่วยส่งข้อความไปหาลูกค้า พร้อมทั้งให้ข้อมูลที่จำเป็น หรือแม้กระทั่งรับออเดอร์จากลูกค้าโดยตรง

เครื่องมือที่ช่วยคุณในการสร้าง Chatbot ใน Facebook Messenger ก็คือ ManyChat นั่นเอง ManyChat จะช่วยสร้าง Chatbot สำหรับเพจของคุณขึ้นมา ซึ่งมีศักยภาพในการทำสิ่งต่อไปนี้

  • เปลี่ยนผู้ที่เข้ามาติดต่อทาง FB Messenger หรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเพจ อย่างเช่นคนที่มาคอมเมนต์ใน Ads ของคุณให้กลายเป็น Subscriber หรือสมาชิกที่รับข้อความ Broadcast ใน FB Messenger ของเพจของคุณได้
  • Broadcast หรือ แจ้งเตือนข่าวสาร โปรโมชั่นพิเศษ ฯลฯ ไปให้สมาชิกทุกคนโดยไม่จำกัดคนในชั่วพริบตา
  • ให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ผู้สนใจ
  • มอบคูปองและโปรโมชั่นต่างๆ
  • เก็บ Feedback และ Reviews จากลูกค้า
  • ยืนยันออเดอร์
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

จุดแข็งของ ManyChat คือคุณจะใช้ฟีเจอร์หลักเกือบทั้งหมดได้ฟรี โดยเฉพาะฟีเจอร์อย่าง Broadcast ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหา Organic Reach ตกต่ำและช่วยให้ความจำเป็นในการ Boost Post น้อยลงมาก

ยกตัวอย่างเช่นคุณสามารถ Broadcast ให้กับสมาชิกทุกคนได้ทราบว่าสินค้าของคุณกำลังมีโปรโมชั่นลด 50% หรือว่ามีสินค้าตัวใหม่เข้ามา ฯลฯ ทำให้ลูกค้าประจำหรือผู้สนใจมาซื้อสินค้าของคุณได้ โดยไม่ต้องพึ่ง Ads ครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ก็คือ ManyChat ไม่มีการจำกัดจำนวนสมาชิกที่คุณจะส่งข้อความไปหาได้ ดังนั้นถ้าคุณรวบรวมสมาชิกได้เป็นหมื่นเป็นแสน คุณก็สามารถส่งข้อความแจ้งโปรโมชั่นไปหาพวกเขาได้ทุกคนด้วยการคลิกปุ่มเดียวครับ

ในการใช้งาน ManyChat นั้นฟรีตลอดชีพ แต่ก็มีข้อจำกัดก็คือ Template ที่มีให้เลือกในการสร้าง Chatbot จะจำกัดมาก รวมไปถึงไม่สามารถใช้ฟีเจอร์ระดับสูงได้ นอกจากนี้ทรัพยากรที่ให้ใช้อย่างเช่น Drip Sequences (การส่งข้อความแบบเป็นลำดับ), Audience Segmentation (การจัดกลุ่มลูกค้าเพื่อที่จะได้ Broadcast ให้ตรงกลุ่มที่สุด) และ Growth Tools (เครื่องมือช่วยเพิ่มสมาชิก) ก็จำกัดด้วยเช่นกัน

Premium: ManyChat Pro

สำหรับตัวเลือกแบบพรีเมียมนั้น ผมยังไม่เห็นตัวไหนที่ดีกว่า ManyChat Pro ซึ่งเป็นการอัพเกรดของ ManyChat นี่แหละครับ โดยสิ่งที่จะเหนือกว่าตัวฟรีคือ

  • ได้ Template ในการสร้าง Chatbot แบบ Advanced หรือเรียกได้ว่าทุกตัวที่มีอยู่ในคลัง
  • ฟีเจอร์ที่ให้ Chatbot เก็บข้อมูลของสมาชิกแต่ละคน
  • A/B Testing เพื่อดูว่าข้อความแบบใดได้รับการตอบรับที่ดีที่สุด
  • การเชื่อมต่อกับเครื่องมือ CRM และเครื่องมืออื่นๆ อีกกว่า 200 ตัว
  • ไม่มีข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรใดๆ อีกต่อไป
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

ฟีเจอร์เหล่านี้จะเพิ่มประสิทธิภาพของ Chatbot ใน Facebook Messenger ให้ขึ้นไปสู่อีกระดับหนึ่ง และช่วยให้คุณสร้างยอดขายทางออนไลน์ให้ปังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ

ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ManyChat Pro จะขึ้นอยู่กับจำนวนสมาชิก (ต่างจากแบบฟรีที่ไม่จำกัด) โดยค่าใช้จ่ายรายเดือนจะเริ่มต้นที่ $10 หรือ 300 บาทต่อเดือน และจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจำนวนสมาชิกครับ

4. Canva

การสร้าง content ที่น่าดึงดูดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับการขายสินค้าออนไลน์ให้ปัง เพราะจะช่วยกระตุ้นความอยากซื้อของคนทั่วไป โดยอาจจะถึงกับเปลี่ยนคนที่อ่านผ่านๆ เฉยๆ จนกลายเป็นผู้ที่แสดงความสนใจและกลายเป็นลูกค้าของคุณได้ทีเดียว

Canva คือเครื่องมือทำกราฟิกสารพัดประโยชน์ที่ช่วยให้คุณสร้างเครื่องมือทางการขายออนไลน์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ Infographic หรือโปสเตอร์ไปจนถึงออกแบบ Facebook/Instagram Cover และ Story รวมไปถึง Youtube Thumbnail และอื่นๆ อีกมากมายกว่า 50 แบบด้วยกัน ทำให้คุณมีตัวเลือกมากมายในการสร้าง content สวยๆ ออกมายั่วใจลูกค้าครับ

อย่างด้านล่างคือการสร้าง Infographic โดยใช้ Canva ผมแค่เลือก Template หลังจากนั้นก็ลบภาษาอังกฤษ และพิมพ์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของผมลงไป เพียงเท่านั้นก็เรียบร้อย ทักษะทางด้านกราฟิกเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลยสำหรับการใช้งาน Canva ครับ

การใช้งาน Canva จะง่ายถึงง่ายมาก เพราะว่าคุณแค่เลือก template ที่มีอยู่แล้ว และแก้ไขทุกอย่างให้ตามความต้องการของคุณเท่านั้นเอง คุณเองก็ไม่ต้องลงโปรแกรมอะไรอีกด้วย เพราะงานทุกอย่างทำได้ทั้งหมดผ่านทาง browser หรือ app ของคุณครับ

Canva ให้คุณใช้งานตั้งแต่ต้นจนจบได้ฟรี แต่ว่าในการดาวน์โหลดจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิเช่นคุณจะเปลี่ยนขนาด คุณภาพ และรูปแบบไฟล์ของงานไม่ได้ รวมไปถึงไม่สามารถอัพโหลดโลโก้และฟ้อนต์ของคุณได้ แต่โดยรวมแล้วการใช้งานฟรีถือว่ามีประสิทธิภาพ โดยที่คุณไม่ต้องใช้การตัวพรีเมียมของ Canva แต่อย่างใด

Premium: Canva Pro

สำหรับใครที่อยากจะเสียเงินแบบพรีเมียม คุณไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ผมมองว่า Canva Pro นี่แหละครับดีที่สุดแล้ว นอกจากตัวโปรแกรม Canva ที่ดีอยู่แล้ว คุณจะได้สิ่งเหล่านี้เพิ่มเข้าไปอีกครับ

  • Template ที่ใช้ออกแบบสิ่งต่างๆ อีกกว่า 420,000 แบบ
  • รูปภาพ วีดิโอ กราฟิกต่างๆ ให้ใช้งานได้ฟรีมากกว่า 75,000,000 ชิ้น
  • อัพโหลดฟ้อนต์และโลโก้ของตัวเอง
  • ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในการออกแบบอีกต่อไป คุณสามารถแก้ไขทุกอย่างได้อย่างอิสระ
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนของ Canva Pro จะเริ่มต้นที่ $9.95 หรือประมาณ 300 บาทต่อเดือนครับ โดยส่วนตัวผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งเลย สำหรับใครที่ต้องการสร้าง content อันหลากหลายอยู่บ่อยๆ ครับ

ทั้งนี้ Canva ให้คุณใช้บริการ Canva Pro ได้ฟรีเป็นเวลา 30 วันครับ

5. Elementor

หนึ่งในช่องทางการขายออนไลน์ที่น่าสนใจมากก็คือเว็บไซต์ เพราะจะเปิดกว้างเครื่องมือต่างๆ อีกมากมายที่คุณสามารถนำมาใช้ในการขายออนไลน์ให้ปังๆ รวมไปถึงทำหน้าที่เป็น Landing Page ชั้นยอดให้กับการโฆษณาทาง Facebook และ Google อีกด้วย

ทั้งนี้ Elementor เป็น Plugin สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยใช้ WordPress โดยหน้าที่หลักของ Elementor คือการสร้างหน้าต่างๆ ให้กับเว็บไซต์ได้อย่างสวยงาม และดึงดูดผู้มาเข้าชมเว็บไซต์ให้ซื้อสินค้า การใช้งาน Elementor เองก็ถือว่าง่ายดายสุดๆ เพราะใช้รูปแบบ Drag & Drop หรือว่าอยากได้อะไรตรงไหนก็ลากวาง เหมือนกับเว็บไซต์สำเร็จรูปครับ

คุณสามารถใช้งาน Elementor แบบฟรีได้อย่างยาวๆ เครื่องไม้เครื่องมือที่มีให้ใช้ฟรีนั้นมีมากกว่า 80 ชิ้นด้วยกัน ซึ่งเพียงพอต่อการเนรมิตเว็บไซต์ที่สวยงามครับ

Premium #1: Elementor Pro

Elementor Pro จะเป็นการยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้มีความหลากหลายมากขึ้น และเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและได้รับความนิยมสูงมากในการสร้างเว็บไซต์ โดยคุณจะได้ Widgets อีกมากกว่า 50 แบบและ Templates อีกกว่า 300 แบบที่คุณสามารถนำไปใช้สร้างเว็บไซต์ของคุณรวมไปถึงร้านค้าออนไลน์ต่างๆ ได้โดยอิสระ

นอกจากนี้ Elementor Pro ยังมีตัวสร้าง Pop Up ซึ่งจะช่วยแสดงผลโปรโมชั่นต่างๆ หรือข้อมูลที่คุณอยากให้มาชมเว็บไซต์ทราบเป็นพิเศษได้อีกด้วยครับ

สำหรับราคาจะอยู่ที่ $49 ต่อปีต่อเว็บไซต์ ซึ่งถ้าเฉลี่ยเป็นเดือนแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ $4 หรือประมาณ 120 บาทต่อเดือนครับ

Premium #2: Unbounce

จริงอยู่ว่าการใช้เว็บไซต์เป็น Landing Page ที่รองรับการโฆษณานั้นเป็นตัวเลือกที่ไม่แย่ แถมราคาก็ยังประหยัดด้วย หากแต่ว่าการมี Landing Page ที่ถูกสร้างมาโดยเฉพาะเลยจะช่วยให้คุณขายของออนไลน์ได้ปังมากกว่าอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นด้านล่าง คุณจะเห็นว่าเมื่อลูกค้าเข้ามาใน Homepage ของเว็บไซต์ ลูกค้าจะงงเพราะมีสินค้าของคุณละลานตาไปหมด ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่ซื้อ แต่ในทางกลับกัน ถ้าพวกเขาเจอแต่ Landing Page ที่มีแต่จักรยานในหน้าขวา พวกเขาจะไม่มีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจเลย ดังนั้นการจะตัดสินใจซื้อทันทีจึงเป็นไปได้มากกว่า

สำหรับเครื่องมือที่ใช้สร้าง Landing Page คุณภาพสูงก็คือ Unbounce ครับ โดย Unbounce จะช่วยให้คุณสร้าง Landing Page ทรงประสิทธิภาพอันหลากหลายในจำนวนที่ไม่จำกัดเพื่อรองรับการโฆษณาบน Keyword หลายสิบหลายร้อยคำ และยังมี A/B Testing ที่ช่วยคุณตรวจสอบด้วยว่าวางรูปหรือ content แบบไหนใน Landing page ที่เวิร์คและไม่เวิร์คครับ

ในส่วนของราคาจะเริ่มต้นที่ $72 หรือประมาณ 2,160 บาทต่อเดือนครับ ทั้งนี้ Unbounce ให้คุณลองใช้ได้ฟรีเป็นเวลา 14 วัน

6. MailChimp

อีกหนึ่งช่องทางการโฆษณาสินค้าที่น่าสนใจอย่างมากคือ Email Marketing หรือการทำการตลาดผ่านทาง Email นั่นเอง การตลาดแบบนี้ช่วยให้คุณติดต่อกับสื่อสารกับลูกค้าประจำและผู้สนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังมีราคาถูกอย่างมากด้วย

ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจจะแจ้งข่าวสารหรือโปรโมชั่นพร้อมกับแนบลิงค์ให้กับลูกค้าได้กดในอีเมล์ดังกล่าว แจ้งว่าลูกค้าลืมที่จะซื้อของในตะกร้า หรือแม้กระทั่งแจ้งว่าสินค้าที่ลูกค้าน่าจะสนใจกำลังมาใหม่หรือว่ากำลังจะลดราคา และอื่นๆ อีกมากมายเลยครับ

ตัวอย่าง Email Marketing ที่ผมได้รับจาก Shopback

สำหรับผู้ให้บริการ Email Marketing ที่คุณใช้ได้ฟรีตลอดชีพคือ MailChimp โดยคุณสามารถเก็บสมาชิกที่ส่งอีเมล์ไปได้มากถึง 2,000 คน นอกจากนี้ยังมี Marketing CRM ที่ให้ใช้งานอีกด้วย อย่างไรก็ดีถ้าคุณเก็บอีเมล์ได้มากกว่า 2,000 คน คุณจะต้องสมัครสมาชิกแบบเสียเงินครับ

Premium: Drip

ถ้าคุณต้องการผู้ให้บริการ Email Marketing แบบเสียเงิน ผมแนะนำให้คุณเปลี่ยนมาใช้งาน Drip ดีกว่าครับ เพราะ Drip เป็นผู้ให้บริการที่โฟกัสไปที่ผู้ค้าขายแบบ e-commerce โดยตรง นอกจากนี้ยังไม่มีปัญหาอีเมล์มักจะเข้าไปอยู่ใน Spam เหมือนกับ MailChimp อีกด้วย

Drip ไม่ได้ให้แค่การส่งอีเมล์ไปหาลูกค้าเท่านั้น แต่ยังให้ในสิ่งต่อไปนี้ด้วย

  • Customer Data Track – Drip จะเก็บข้อมูลของแต่ละ User ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณและลงชื่อและอีเมล์เอาไว้อย่างละเอียด คุณจะได้รับทราบว่าเขาสนใจอะไร และส่งอีเมล์ที่ตรงกับความต้องการของเขามากขึ้น
  • Personalization – ส่งอีเมล์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่นอีเมล์จะมีชื่อของลูกค้าอยู่ด้วย และจะแสดงสินค้าบนร้านค้าออนไลน์ของคุณที่พวกเขาน่าจะสนใจ โดยใช้ข้อมูลที่เก็บเอาไว้ ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการอ่านอีเมล์ เพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะเข้าไปซื้อสินค้านั่นเองครับ
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

ในส่วนของราคา Drip เริ่มต้นที่ $19 หรือประมาณ 570 บาทต่อเดือน สำหรับสมาชิก 500 คนครับ ถ้าต้องการสมาชิกมากกว่านี้ ค่าสมาชิกก็จะเพิ่มตามไปนั่นเองครับ

Drip ให้คุณใช้ได้ฟรี 14 วันครับ

7. WebPushr

นอกเหนือจาก Email Marketing แล้ว คุณยังมีอีกวิธีหนึ่งในการติดต่อและแจ้งโปรโมชั่นต่างๆให้กับลูกค้า นั่นคือ Push Notifications นั่นเองครับ หรือพูดง่ายๆ ก็คือแจ้งเตือนจากเว็บไซต์นั่นแหละครับ ถ้าคุณอ่านมาถึงตอนนี้ คุณคงจะเห็นแจ้งเตือนของ Victory Tale ไปแล้วเรียบร้อย

แต่ถ้าใครยังสงสัยอยู่ กล่องแดงด้านขวาล่างคือตัวอย่างของ Push Notifications ครับ

ข้อดีของ Push Notifications คือลูกค้าจะตอบรับให้ส่งไปง่ายกว่า Email Marketing และยังมีโอกาสที่จะถูกกดมากกว่า เพราะมันขึ้นมาตรงหน้าลูกค้าเลย คุณสามารถส่งข้อความสั้นๆ เกี่ยวกับโปรโมชั่น ข่าวสาร หรือแม้กระทั่งแจ้งว่าลูกค้าลืมซื้อสินค้ารึเปล่า ฯลฯ

สำหรับเครื่องมือฟรีที่ส่ง Push Notifications ที่ผมอยากจะแนะนำก็คือ WebPushr ครับ สาเหตุหลักๆ เลยก็เพราะให้จำนวนสมาชิกได้ถึง 60,000 คน และได้ฟีเจอร์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น Segmentation อย่างครบถ้วน ทุกวันนี้ผมก็ใช้บริการของ WebPushr อยู่ครับ

จากการสำรวจของ WebPushr พบว่าเหล่าผู้ค้าขายของออนไลน์ได้ปังมากหลังจากใช้บริการ โดยเฉลี่ยแล้ว ROI จาก WebPushr (แบบเสียเงิน) นั้นมากถึง 500% เลยทีเดียวครับ

Premium: PushEngage

จริงอยู่ว่า WebPushr เป็นเครื่องมือ Push Notifications ที่เยี่ยมยอด แต่ในส่วนของฟีเจอร์นั้น ผมมองว่าใช้งานยาก (คุณต้อง coding เป็นถึงจะใช้ฟีเจอร์ได้ครบสมบูรณ์) แถมฟีเจอร์ยังจำกัดกว่าตัวอื่นๆ อีกด้วย

ดังนั้นถ้าคุณต้องการแบบพรีเมียม ผมแนะนำให้ใช้งาน PushEngage จะดีกว่า เพราะว่าการใช้งานง่ายกว่ามาก (ผมเองก็ลองแล้ว แต่ราคาสูง ทำให้ต้องย้ายมา WebPushr ครับ)

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์หลากหลายเหนือกว่า WebPushr อาทิเช่น A/B Testing, Drip Autoresponder และคุณยังส่งแจ้งเตือนให้กับลูกค้าตาม action ของพวกเขาในเว็บไซต์ได้ด้วย และอื่นๆ อีกมากมาย

ราคาการใช้งานของ PushEngage จะเริ่มต้นที่ $25 ต่อเดือนสำหรับสมาชิก 5,000 คน และจะเพิ่มตามลำดับถ้าคุณต้องการฟีเจอร์และจำนวนสมาชิกที่มากขึ้นครับ

ทั้งนี้ PushEngage ให้คุณใช้งานได้ฟรี 15 วันครับ

8. Freshdesk Messaging

ถ้าคุณมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์เป็นของตนเอง ในปัจจุบันจะขาด Live Chat ไปไม่ได้เลย เพราะการที่ลูกค้าสามารถสื่อสารกับทีมขายได้อย่าง Real-time นั้นมีศักยภาพอย่างยิ่งในการเพิ่มยอดขายทางด้านออนไลน์ให้ปังแบบก้าวกระโดด ทีมขายของคุณอาจจะให้ข้อมูลและตอบคำถามที่ลูกค้าสงสัยได้ในทันที รวมไปถึงแจกโปรโมชั่นพิเศษเพื่อชักชวนลูกค้า ทำให้ลูกค้าตกลงปลงใจซื้อสินค้าในที่สุด

นอกจากนี้ Live Chat ยังช่วยให้ลูกค้ามี Customer Experience ที่ดีเพราะได้รับการบริการอย่างรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสที่พวกเขาจะหวนกลับมาซื้อสินค้าของคุณอีกด้วย เช่นเดียวกับภาพลักษณ์ของร้านที่จะเป็นไปในทางบวกครับ

โดยทั่วไปแล้วซอฟต์แวร์ Live Chat จะไม่มีให้ใช้ฟรีตลอดชีพเท่าไรนัก หากแต่ว่า Freshdesk Messaging นั้นให้คุณใช้งานได้ฟรี โดยจะรองรับ User ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณได้ถึงเดือนละ 10,000 คน ซึ่งจัดว่าเหลือเฟือสำหรับธุรกิจขนาดเล็กเลยครับ

Premium: Freshdesk Messaging

ถ้าคุณต้องการ Live Chat แบบพรีเมียม ผมแนะนำให้อัพเกรดตัวฟรีของ Freshdesk Messaging ให้เป็นแบบพรีเมียมครับ เพราะผมมองว่าทั้งในเรื่องราคาและฟีเจอร์สมเหตุสมผลมากที่สุดแล้ว

แบบพรีเมียมจะเพิ่มฟีเจอร์จำนวนมากเข้ามาหลากหลาย เช่นการเชื่อมต่อกับ Facebook Messenger, User Segmentation, Chatbot, Co-Browsing, Live Translate และอื่นๆ อีกมากมายครับ ในส่วนของราคาจะเริ่มต้นที่ $15 หรือประมาณ 450 บาทต่อผู้ใช้งานต่อเดือน และเพิ่มจำนวนขึ้นไปตามจำนวนฟีเจอร์ครับ

Freshdesk Messaging ให้คุณลองใช้แบบพรีเมียมได้เป็นเวลา 21 วัน

9. Ubersuggest

ถ้าคุณอยากจะทำการตลาดโดยใช้ SEO หรือแม้กระทั่งโฆษณาแบบ PPC ผ่านทาง Google Ads สิ่งที่สำคัญมากก็คือ Keyword หรือสิ่งที่ลูกค้า search ผ่านทาง Google ซึ่งถ้าคุณสามารถหา Keyword ที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการสินค้าของคุณ search ได้แล้วและเริ่มต้นโฆษณา ยอดขายของออนไลน์ของคุณย่อมเติบโตเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว

จริงอยู่ว่า Google Ads นั้นมีเครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner ให้ใช้งาน แต่ในปัจจุบันข้อมูลที่เครื่องมือตัวนี้ให้กลับละเอียดน้อยลงมาก คุณจึงต้องหา Keyword Planner หรือเครื่องมือหา Keyword ตัวใหม่ที่จะสรรหา Keyword ที่สร้างยอดขายได้ให้กับคุณ

Keyword Planner นั้นส่วนใหญ่จะไม่ฟรี หรือถ้าฟรีก็คุณภาพไม่ดีเท่าไรนัก สำหรับตัวที่ให้ใช้ฟรีและมีคุณภาพพอใช้ได้ก็คือ Ubersuggest ครับ

อย่างด้านล่างผมลอง search หาคำว่าย่างกุ้ง (เมืองหลวงของพม่า) Ubersuggest ก็จะแสดงให้ผมทราบว่ามีคน search เท่าไรในแต่ละเดือน ค่า CPC เท่าไร การแข่งขันสูงหรือไม่ และมี Idea อื่นๆ อะไรที่น่าเขียนบ้าง

ทั้งนี้คุณสามารถใช้ Ubersuggest ฟรีได้ตลอดชีพ แต่ผลของการค้นหาของแบบฟรีจะจำกัดอยู่แค่ 15 Keywords เท่านั้นครับ ถ้าอยากจะได้มากกว่านี้ คุณจะต้องสมัครแบบพรีเมียม ซึ่งผมมองว่าไม่คุ้มเท่าไรนัก

Premium: SEMRush

SEMRush เป็นเครื่องมือที่ไม่ได้เป็นแค่ Keyword Planner ธรรมดา แต่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นยอดเครื่องมือ Content Marketing เลยก็ว่าได้ เพราะครอบคลุมทุกอย่างแบบครบวงจร

คุณสามารถใช้ SEMRush หา Keyword ชั้นยอด, ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณและคู่แข่ง, ช่วยเหลือในการเขียน content คุณภาพสูง ฯลฯ เรียกได้ว่าทำได้ทุกอย่างที่ Ubersuggest ทำได้และบวกเข้าไปอีกมากมายเลยครับ ข้อมูลทุกอย่างบอกเลยว่าละเอียดมาก ซึ่งเอี้อต่อการวิเคราะห์อย่างมากเลยครับ

สำหรับเรื่องราคา ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน SEMRush จะเริ่มต้นที่ $99.95 หรือประมาณ 3,000 บาทครับ

10. Hubspot (ทำได้สารพัดนึก)

HubSpot เป็นซอฟต์แวร์การตลาดที่มีศักยภาพแบบ all-in-one หรือหมายความว่าตัวเดียวสามารถทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ SEO, Email Marketing, Ad Management, Social Media Management หรือแม้กระทั่ง Live Chat และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากด้านการตลาดแล้ว HubSpot ยังเป็น CRM และใช้จัดการ Customer Service ได้อีกด้วย

สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากคือ ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ยังไม่ต้องใช้ฟีเจอร์ซับซ้อนอะไรมาก HubSpot ให้คุณใช้ตัวซอฟต์แวร์ได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจะประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อย่างมากเลยทีเดียวครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!